คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 751 กับดักชิ่งอัน (1) / ตอนที่ 752 กับดักชิ่งอัน (2)
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 751 กับดักชิ่งอัน (1) / ตอนที่ 752 กับดักชิ่งอัน (2)
ตอนที่ 751 กับดักชิ่งอัน (1)
บุตรีของเขา บุตรีของเขาเผยชิงหาน ไม่คาดคิดเลยจริงๆ…
เป็นความผิดของเขาทั้งสิ้น มิน่าเล่าความเย็นชาในสายตาของนางยามที่มองเขาถึงได้เย็นยะเยือกนัก ยิ่งกว่าหิมะโปรยปรายบนท้องฟ้าเสียอีก
เมื่อคิดถึงชีวิตของเซี่ยเฉิน แล้วคิดถึงชีวิตของนาง หัวใจของเขาก็บีบรัดจนรู้สึกเจ็บปวดเสียจนแทบจะหายใจไม่ออก
เขาจะทำอย่างไรดี ต้องทำอย่างไรนางถึงจะให้อภัยเขา
ไป๋เจินจูยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะค่อยๆ ออกไปจากเรือนพร้อมกับความเบิกบานใจ
หลังจากไป๋เจินจูออกไปแล้ว ซื่อฝูก็เดินเข้ามาจากข้างนอก กล่าวกับเผยชิงหานว่า “ท่านโหว ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าต้องการขังคุณหนูใหญ่ไว้ ตอนนี้ยังต้องขังอีกหรือไม่ขอรับ”
เผยชิงหานดึงสติกลับมา แล้วเงยหน้ามองไปยังประตูที่ว่างเปล่า เขากัดฟันเอ่ย “ไม่ต้องขังแล้ว เจ้าส่งคนไปหาที่อยู่ของหลิวกว้าหัวและไป๋เสี่ยวเฟิง หากพบตัวแล้วก็อย่าแหวกหญ้าใ ให้งูตื่น จับตาดูเอาไว้”
ซื่อฝูรับคำก่อนจะออกไป จู่ๆ เผยชิงหานก็แค่นหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา “ชีวิตนี้ของข้าเผยชิงหาน เกลียดการถูกผู้อื่นข่มขู่เป็นที่สุด”
…
ตำหนักชิ่งอัน
ซูฉุนกำลังฟังนางกำนัลเล่าเรื่องราวต่างๆ ในวังอย่างเพลินเพลิน ก็มีนางกำนัลอีกคนหนึ่งเข้ามาจากข้างนอก นางกล่าวว่า “ฮองเฮา เซียวอ๋องมาเพคะ”
“เชิญเขาเข้ามา” ซูฉุนตอบทันที จากนั้นก็โบกมือไล่นางกำนัล “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”
เมื่อฉู่เฟิงเข้ามา นอกจากเสด็จแม่ของเขาแล้ว ภายในตำหนักไม่มีใครอื่นอีก เขายิ้มเอ่ย “เสด็จแม่รีบร้อนเรียกลูกมาเช่นนี้ มีเรื่องด่วนอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซูฉุนกวักมือเรียก เป็นสัญญาณให้โอรสเข้ามาใกล้ๆ
ฉู่เฟิงย่างสามขุมเข้าไป ถามเสียงเบา “ไทเฮาว่าอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่ายซูฉุนพยักหน้า บนใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “เจ้าเองก็รู้ว่าไทเฮายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเรา เพียงข้าเอ่ยถึงเรื่องนั้น พระนางก็ตอบตกลงทันที”
สีหน้าของฉู่เฟิงพลันแจ่มใส ในห้วงสมองปรากฏใบหน้างดงามของไป๋จื่อ พาให้เขาสุขใจยิ่งนัก จึงรีบถามต่อไปว่า “แต่ตอนนี้ตงฟางมู่รับนางกลับไปแล้ว ลูกไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้นางเลยพ่ ะย่ะค่ะ!”
ครั้นได้ยินดังนั้น ซูฉุนก็ป้องปากหัวเราะเบาๆ “ดูเจ้าสิ คงเห็นนางงดงามมากเป็นแน่ ถึงได้ร้อนอกร้อนใจเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย”
“เสด็จแม่ อย่าเพิ่งเย้าลูกสิพ่ะย่ะค่ะ ในใจของลูกมีเพียงเรื่องสำคัญ เรื่องอื่นวางไว้ไม่สนใจไปก่อน” ฉู่เฟิงปั้นหน้าเคร่ง
ซูฉุนพยักหน้า “เจ้าคิดเช่นนี้ได้ย่อมดีที่สุด ต้องรู้ว่าเมื่อคิดทำการใหญ่ให้สำเร็จ ความรักเป็นสิ่งที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยว แต่เมื่องานใหญ่นั้นสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ต้องการหญิง งงามคนใดก็ไม่มีปัญหา”
ฉู่เฟิงประสานมือคารวะ “เสด็จแม่กล่าวถูกต้อง ลูกจะจำไว้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินโอรสกล่าวเช่นนั้น ซูฉุนก็โล่งใจยิ่ง “เช่นนั้นแม้ไป๋จื่อจะกลับสกุลตงฟางไปแล้ว แต่ไทเฮาตรัสว่าขอเพียงพวกเราจัดการทุกอย่างอย่างดี พระนางจะออกราชโองการรับนางเข้าวั ง ต่อให้ตงฟางมู่ผู้นั้นแข็งข้อเพียงใด ก็ต้องให้หลานสาวทำตามราชโองการอยู่ดี”
ฉู่เฟิงข่มความรู้สึกดีในหัวใจเอาไว้ ยังคงมีใบหน้าเคร่งขรึมเช่นเดิม “เช่นนั้นดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าเสด็จแม่วางแผนไว้ว่าเป็นเวลาใดหรือ”
ซูฉูนใคร่ครวญดู เอ่ยว่า “วันที่เก้ากระมัง วันนั้นฝ่าบาทออกว่าราชการกับขุนนาง ไม่มีทางมาที่วังหลัง ตงฟางมู่ก็ต้องอยู่ข้างกายพระองค์เช่นกัน ฉู่เยี่ยนยังคงไม่กลับ ถือเป็นช่วงเว วลาที่สมบูรณ์แบบ”
วันนี้เป็นวันที่เจ็ด วันมะรืนคือวันที่เก้าแล้ว ช่างเป็นวันดีเสียจริงๆ
ฉู่เฟิงสนทนากับเสด็จแม่ต่ออย่างสบายใจอีกไม่นาน ก็เตรียมออกจากวังไป
ไป๋จื่อจะไปคาดคิดได้อย่างไร ว่ามีการวางแผนพุ่งเป้ามายังนางขณะที่นางกำลังหลับใหล รอเพียงนางเดินเข้ามาติดกับเองก็เท่านั้น
…
วันที่เก้า
แม้ไม่มีหิมะตกลงมาอีก ทว่าลมหนาวกลับยิ่งเสียดแทงกระดูเสียยิ่งกว่ายามหิมะโปรย ท้องฟ้าขมุกขมัวไปทั่วทั้งผืน จนไป๋จื่อแทบจะลืมไปแล้วว่าวันที่มีท้องฟ้าแจ่มใสเป็นเช่นไร
……….
ตอนที่ 752 กับดักชิ่งอัน (2)
หูเฟิงเดินทางไปกี่วันแล้ว นางลองนับนิ้วดู เขาบอกว่าจะกลับมาวันที่แปดไม่ใช่หรือ วันนี้เป็นวันที่เก้าแล้ว ไยยังไม่เห็นเขาแม้แต่เงา
ยังไม่ทันที่นางจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใด ก็มีราชโองการจากในวังส่งมาถึงคฤหาสน์ตงฟาง
ตงฟางมู่ไม่อยู่ เขาเข้าวังไปตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อราชโองการมาถึงที่เช่นนี้ พวกนางอยู่ในบ้านจึงต้องออกมารับ
คนกลุ่มหนึ่งคุกเข่าบนพื้นหิมะที่จับตัวแข็งไม่ต่างจากเหล็ก ท่ามกลางวันที่หนาวเย็นยะเยือกไปทั้งสรรพางค์กาย
นี่มันกฎเกณฑ์บ้าบออะไรกัน มิน่าถึงมีวันที่ราชสำนักล่มสลาย
ตอนนี้นางอยู่ในยุคนี้ย่อมไม่มีทางหลีกเลี่ยงไปได้ คุกเข่าก็คุกเข่าเถอะ คงจะคุกเข่าไม่นานเท่าไรกระมัง
แต่ใครจะรู้ว่าขันทีผู้นั้นจงใจหรือไม่ ทุกคนต่างก็คุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงกันแล้วแท้ๆ เขากลับชักช้าไม่อ่านราชโองการ เพียงมองทุกคนที่คุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่บนพื้นน้ำแข็งเย็น นเฉียบด้วยแววตาเฉยชา
ผ่านไปครู่ใหญ่ ขันทีผู้นั้นถึงเอ่ยปาก “ไป๋จื่อรับราชโองการ”
ตงฟางหว่านเอ๋อร์ดันไหล่บุตรี ให้คลานเข่าไปข้างหน้า “ไป๋จื่อรับราชโองการเจ้าค่ะ”
“ไทเฮาทรงมีคำสั่ง ให้ไป๋จื่อเข้าวังบัดเดี๋ยวนี้”
“รับราชโองการเจ้าค่ะ!” ไป๋จื่อขานรับ พลางโขกศีรษะลงบนพื้นเย็นๆ
นางลอบถอนหายใจอยู่เงียบๆ พลางต่อว่าตนเองว่าไยถึงได้มาที่นี่ อยู่ที่หมู่บ้านหวงถัวไม่ดีหรือไร ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้ผู้ใด แม้จะหาเงินได้เล็กน้อย แต่ก็มีชีวิตสุขสบาย น่าพอใ ใจยิ่งนัก
แต่พอมาถึงที่นี่ เฮ้อ…ต่อให้อยากร้องไห้เพียงใดก็ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาไม่ได้ ทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ ยิ่งไม่อาจแสดงความรู้สึกเสียใจต่อหน้าตงฟางหว่านอ๋อร์และตงฟางมู่ ไม่เช่นน นั้นพวกเขาต้องทุกข์ใจเป็นแน่
หากกลับไปที่ภูเขาฉีอวิ๋นได้ก็ดีน่ะสิ!
ครั้นไป๋จื่อกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในเรือน ตงฟางหว่านเอ๋อร์กล่าวกับนางว่า “จู่ๆ ไทเฮาก็รับสั่งให้เจ้าเข้าวัง ไม่รู้ว่าต้องการทำอะไรกันแน่ วันนี้ปู่ของเจ้าไม่ว่างทั้งวัน จะสน นใจเรื่องอื่นไม่ได้เช่นกัน จิ้นอ๋องก็ยังไม่กลับมา น่าเป็นห่วงเหลือเกิน”
ไป๋จื่อยิ้มจาง “ข้าไม่มีความแค้นใดกับไทเฮา มีอะไรน่าเป็นห่วงกันเล่าเจ้าคะ ตอนนี้นางรับสั่งให้ข้าเข้าวัง หากไม่ใช่เพราะต้องการให้ข้าตรวจชีพจรให้ แล้วจะมีเรื่องอะไรไปได้เล่ า”
ตงฟางหว่านเอ๋อร์ส่ายหน้า “จื่อเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ใคร่ครวญเรื่องในวังง่ายๆ เช่นนั้น สตรีที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลังไม่เหมือนกับสตรีที่อยู่ข้างนอกอย่างพวกเรา พวกนางทำได้ทุกอย่างเพ พื่อให้บรรลุเป้าหมาย แม้กระทั่งใช้ประโยชน์จากครอบครัวของตนเองได้โดยไม่ลังเล ยิ่งไปกว่านั้น เทียบกับจิ้นอ๋องแล้ว ไทเฮาคล้ายจะโปรดปรานเซียวอ๋องยิ่งกว่า และนางก็ไม่ค่อยชอบหน้าท่ านพ่อเท่าไรนัก จริงๆ เลย ยิ่งพูดข้าก็คิดว่าต้องเกิดเรื่องอะไรแน่นอน”
ไป๋จื่อติดกระดุมแขนเสื้ออย่างว่องไว ก่อนจะยื่นมือไปจับมือตงฟางหว่านเอ๋อร์ นางยิ้มร่า “ท่านแม่ผู้แสนดีของข้า ท่านอย่าได้คิดไปเรื่อยเปื่อยเลยนะเจ้าคะ ข้าทำหน้าที่ของข้าให้ ดี ไม่ไปหาเรื่องใครเข้าก็พอแล้ว”
ทันใดนั้น เสียงเร่งเร้าของสาวใช้ก็ดังมาจากข้างนอก “คุณหนูใหญ่ สวีกงกงเร่งมาแล้ว บอกว่าไทเฮารอนานแล้วเจ้าค่ะ”
ตงฟางหว่านเอ๋อร์ตอบรับไปว่า “ข้ารู้แล้ว เสร็จแล้วละ”
นางพลิกฝ่ามือไปจับมือบุตรีไว้ เอ่ยเสียงเบา “เจ้าจำคำข้าไว้ หากวันนี้พบเรื่องอะไรที่จัดการได้ยากในวังหลวง เจ้าจงไปหาพระสนมซูเฟย นางนับว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับข้า เพียงเ เจ้าพูดชื่อของข้า หากนางช่วยเจ้าได้ย่อมต้องช่วยแน่นอน”
เมื่อพูดถึงพระสนมซูเฟย ไป๋จื่อก็นึกถึงใครบางคนขึ้นได้ นางยิ้มถามว่า “นางคืออาหญิงของเมิ่งหนานใช่หรือไม่”
ขณะนี้ตงฟางหว่านเอ๋อร์ก็นึกถึงมิตรภาพระหว่างไป๋จื่อและเมิ่งหนานขึ้นมาได้แล้วเช่นกัน จึงรีบเอ่ย “ถูกต้อง เป็นนางนั่นแหละ ปกติแล้วพระนางเอ็นดูเมิ่งหนานเป็นที่สุด นางต้องยื่นม มือเข้าช่วยเป็นแน่”
ไป๋จื่อพยักหน้า “เจ้าค่ะ ข้าจะจำไว้”