คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 85 เงินหลุดมือไปแล้ว / ตอนที่ 86 แยกบ้าน
ตอนที่ 85 เงินหลุดมือไปแล้ว
หลังจากใคร่ครวญอยู่หลายรอบ ในที่สุดนางก็เปิดปาก บนใบหน้าหมองหม่นฝืนยิ้มปลอมๆ ออกมา “มีอะไรก็พูดจากันดีๆ นะ เมื่อครู่ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ บัดนี้ข้าเข้าใจดีแล้ว ข้าเข้าใจทั้งหมดแล้ว”
หยางซื่อเกินก็ไม่ได้ต้องการจะฟ้องร้องพวกเขาจริงๆ สิบตำลึงเงินไม่ใช่จำนวนน้อยๆ จะบอกว่าไม่ต้องการก็ไม่ต้องการได้อย่างไร หากพวกนางคืนเงินมาได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เช่นนั้นย่อมดีที่สุด
“เช่นนั้นก็พูดจาไร้สาระให้น้อยๆ หน่อย คืนเงินมาให้มากที่สุด วันนี้ข้าจะเห็นแก่หน้าท่านหัวหน้าหมู่บ้าน นับว่าปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป” หยางซื่อเกินกล่าวด้วยความเบิกบาน
หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้า “เช่นนั้นดีนัก ไป๋ซื่อ ยังไม่รีบคืนเงินให้เขาไปอีก?” เขาจะไม่รู้นิสัยโลภในเงินทองของหญิงชราสกุลไป๋ผู้นี้ได้อย่างไร เงินเข้ากระเป๋าของนางแล้ว อยากจะให้นางนำออกมา นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก วันนี้พบเจอคนดุร้ายอย่างหยางซื่อเกิน หากเป็นผู้อื่น ไม่แน่ว่าสุดท้ายแล้วเงินนี้จะไม่ได้คืนจริงๆ
ต่อหน้าคนเช่นหยางซื่อเกิน ถึงแม้ว่าหญิงชราอยากจะบิดพลิ้วก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเห็นได้ชัดว่าหยางซื่อเกินดุร้ายและไร้เหตุผลยิ่งกว่านาง ลูกไม้ที่นางถนัด ใช้ไม่ได้ต่อหน้าหยางซื่อเกินแม้สักนิด
นางทำได้เพียงไปนำสิบตำลึงเงินจากในเรือนออกมาอย่างครบถ้วนด้วยความจนใจ ในใจเจ็บปวดยิ่งนัก ราวกับเฉือนเนื้อของนางไปก็ไม่ปาน
หยางซื่อเกินรับถุงผ้าเล็กๆ ในมือนางมา หลังจากเปิดดูแล้ว เขาก็ชั่งน้ำหนักด้วยมือเล็กน้อย เป็นจำนวนเดียวกันพอดิบพอดี
เขาคารวะหัวหน้าหมู่บ้าน “ขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้านนัก ที่วันนี้เข้ามาช่วยออกหน้าตัดสิน ข้าขอลาแต่เพียงเท่านี้” ในที่สุดใบหน้าบึ้งตึงของหยางซื่อเกินก็เผยให้เห็นรอยยิ้ม
หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้า “กลับไปเถิด จำทุกอย่างไว้ให้ดี ต่อไปอย่าได้กระทำการใดด้วยความบุ่มบ่ามเช่นนี้ มีอะไรให้พูดจากันดีๆ”
“หัวหน้าหมู่บ้านพูดถูก ข้าขอลา” หยางซื่อเกินพยักหน้าหงึกหงัก เขาย่อมเคารพหัวหน้าหมู่บ้าน ทว่ากลับไม่จำคำพูดเหล่านี้ของอีกฝ่ายใส่ใจเลย คนบางคนสามารถพูดกันด้วยเหตุผลได้ ทว่าคนบางจำพวก ไม่ว่าอย่างไรต้องให้พวกเขาเห็นธาตุแท้เสียก่อน พวกเขาถึงจะยอมพูดด้วยเหตุผล
หยางซื่อเกินนำคนจากไป หญิงชราถึงเผยใบหน้าชั่วร้ายออกมา นางชี้หน้าต่อว่าไป๋จื่อ “ล้วนเป็นเพราะเจ้า ทำเอาเงินในมือข้าหลุดลอยไป เจ้าจะว่าอย่างไร?”
ไป๋จื่อยักไหล่ สีหน้าเย็นชานัก “ท่านย่า จะพูดกันย่อมต้องมีเหตุผล นี่เป็นเรื่องที่ข้าทำได้อย่างไร? พวกท่านเป็นคนตีข้า เรื่องการแต่งงานก็เป็นพวกท่านที่จัดแจง ส่วนเงินพวกท่านก็เป็นคนเก็บไว้เช่นกัน วันนี้งานแต่งงานล่มไม่เป็นท่า สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะความชั่วร้ายและไร้ความเมตตาของพวกท่าน ตั้งแต่ต้นจนจบ ข้าเกี่ยวข้องอะไรด้วย?”
บัดนี้หญิงชราแค้นใจยิ่งนัก จะให้นางพูดจาด้วยเหตุผลได้อย่างไร นางก้มลงเก็บกระบองไม้ที่เมื่อครู่หยางซื่อเกินและคนอื่นๆ ทิ้งไว้ขึ้นมา ถือพลางจะเข้าไปตีไป๋จื่อและจ้าวหลาน “วันนี้ข้าจะตีพวกชั่วอย่างเจ้าสองคนให้ตาย เพื่อระบายความแค้นในใจของข้า”
ท่านหมอลู่และหัวหน้าหมู่บ้านรีบเข้ามาห้ามไว้ ก่อนที่ท่านหมอลู่จะกล่าวว่า “แม่เฒ่า อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ ไป๋จื่อถูกเจ้าตีจนให้กำเนิดลูกไม่ได้แล้ว มือของจ้าวหลานก็พิการ ต่อไปทำงานหนักไม่ได้อีกต่อไป หากเจ้าทำให้มือของนางบาดเจ็บอีก เกรงว่าแม้แต่ข้าวนางก็ยกไม่ไหวแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าจะดูแลนางไปตลอดชีวิตหรือไม่?”
ประโยคนี้ราวกับฟ้าผ่า เสียงดังลั่นแสกลงมาที่กลางกระหม่อมของคนสกุลไป๋ ทำเอาพวกเขาเวียนศีรษะเลยทีเดียว
จ้าวหลานเป็นกำลังหลักของสกุลไป๋ งานในที่นาและที่ดิน หากนางทำไม่ได้ แล้วผู้ใดจะทำเล่า?
มือพิการหรือ? นี่เท่ากับว่าต่อไปนางจะทำงานในที่นาและดินไม่ได้แล้วไม่ใช่หรืออย่างไร?
สีหน้าของเจ้าใหญ่และเจ้ารองดูอมทุกข์เหลือเกิน ในใจรู้สึกเสียใจในภายหลัง…วันนั้นพวกเขาไม่รู้จักเบามือเลยหรืออย่างไร? คราวนี้จะทำอย่างไรดี
……….
ตอนที่ 86 แยกบ้าน
น่าเสียดายนัก บนโลกนี้ไม่มียาแก้ความเสียใจในภายหลังให้กิน
หัวหน้าหมู่บ้านก็กล่าวเช่นกัน “เรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว จะโทษก็โทษตัวพวกเจ้าเองเถอะ จิตใจโหดเหี้ยม มือหนักยิ่งนัก ทำร้ายชีวิตของจ้าวหลานและไป๋จื่อ ต่อไปพวกนางสองแม่ลูกจะมีชีวิตอย่างไร”
หญิงชรากลอกตารอบหนึ่ง ก่อนจะถลึงตาใส่หมอลู่ “ท่านหมอลู่ ป่วยหรือไม่ เจ็บไข้มากหรือน้อย นี่เป็นสิ่งที่เจ้าล้วนตัดสินออกมา ไม่ใช่ว่าเจ้าตกลงกับพวกนางไว้ สร้างเรื่องเหล่านี้มาหลอกพวกข้าหรือ”
หมอลู่แค่นหัวเราะ “หากเจ้าไม่เชื่อข้า ก็พาพวกนางสองแม่ลูกไปในเมืองเดี๋ยวนี้ เสาะหาหมอที่ดีที่สุดมาตรวจดู ดูสิว่าข้าลู่จ่างชุนพูดโกหกสักคำหรือไม่”
ด้วยนิสัยรักเงินยิ่งชีพของหญิงชรา จะพาไป๋จื่อและจ้าวหลานไปหาหมอในเมืองได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
ไป๋จื่อรีบเติมเชื้อไฟ “ท่านย่า คงจะดีกว่าหากท่านพาข้าและท่านแม่ไปหาหมอในเมือง ไม่แน่ว่าอาจจะรักษาอาการบาดเจ็บของข้าและท่านแม่จนหายดีก็ได้”
หญิงชราถลึงตามองนาง “อย่ามาเรียกข้าว่าย่า ข้ารับไม่ได้ที่มีหลานสาวเช่นเจ้า พวกข้าสกุลไป๋รับไม่ได้”
ไป๋จื่อกำลังรอคอยประโยคนี้อยู่ จึงทำหน้าตาเย็นชาในทันที “ท่านย่าหมายความว่าอย่างไร ต้องการจะแยกบ้านกับข้าหรือเจ้าคะ”
“แยกบ้าน ในบ้านนี้มีพวกเจ้าด้วยหรือ พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแบ่ง พวกเจ้าเป็นใครกัน ถึงได้กล้ามาพูดเรื่องแยกบ้านกับข้า” หญิงชราแค่นหัวเราะ
หัวหน้าหมู่บ้านขมวดคิ้ว “เจ้าพูดเช่นนี้ไม่ได้ จ้าวหลานเป็นภรรยาของเจ้าสาม เจ้าสามเป็นบุตรชายของสกุลไป๋ ทรัพย์สินของสกุลไป๋นี้จะไม่มีส่วนของเจ้าสามได้อย่างไร แล้วจ้าวหลานกับไป๋จื่อจะแบ่งสมบัติตระกูลไม่ได้ได้อย่างไร”
ตอนนี้หญิงชรามองใครก็ขัดตาไปเสียหมด แม้แต่มองหัวหน้าหมู่บ้านก็เหมือนเข็มตำตา “นี่เป็นเรื่องของสกุลไป๋ ไม่ต้องให้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยว ตอนนี้ข้าเป็นใหญ่ในสกุลไป๋ ข้าจะแบ่งอย่างไรก็จะแบ่งอย่างนั้น”
ไป๋จื่อกล่าวกับหัวหน้าหมู่บ้าน “ท่านลุงหัวหน้าหมู่บ้าน ดูท่าข้ากับท่านแม่จะอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว ในเมื่อท่านย่าไม่ยอมแบ่งสมบัติให้พวกข้า เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่กล้าขอร้อง รบกวนท่านลุงหัวหน้าหมู่บ้านช่วยข้าเขียนหนังสือแยกบ้านฉบับหนึ่ง ต่อไปไม่ว่าร่ำรวยหรือยากจน พวกข้าแม่ลูกจะไม่เกี่ยวข้องกับสกุลไป๋อีก”
หัวหน้าหมู่บ้านมองหญิงชรา “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ใช่หรือไม่”
หญิงชราพนักหน้า “ตกลงตามนี้ แยกบ้านเสียตอนนี้เลย ข้าไม่อยากเห็นพวกนางอีกแม้แต่วินาทีเดียว ให้พวกนางรีบไสหัวออกไป อย่าได้โผล่มาให้ข้าเห็นอีกตลอดไปได้ยิ่งดี”
พูดเหมือนกับว่ามีใครอยากอยู่ต่อหน้านางอย่างนั้นแหละ ไป๋จื่อหัวเราะเสียงเย็น พลางกล่าวในใจ ‘ต่อไปพวกเจ้าคนสกุลไป๋ ถึงแม้มาคุกเข่าขอข้าวกินต่อหน้าข้า ข้าจะไม่มีทางชายตามองพวกเจ้าสักครั้ง’
หัวหน้าหมู่บ้านขอยืมพู่กันและหมึกจากหมอลู่ ก่อนจะเขียนหนังสือฉบับหนึ่งเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดแบ่งเป็นสามชุด ชุดหนึ่งมอบให้หญิงชรา ชุดหนึ่งมอบให้ไป๋จื่อ ส่วนตัวเองเก็บไว้เองชุดหนึ่ง เพื่อไม่ให้เป็นการสับสนในภายภาคหน้า ที่เขาจึงต้องมีหลักฐานด้วยเช่นกัน
หญิงชราให้ไป๋เสี่ยวเฟิงช่วยอ่าน ส่วนไป๋จื่อกลับอ่านหนังสือนั้นทุกตัวอักษรด้วยตนเอง
หลิวซื่อขึ้นเสียงพูดว่า “โอ้…รู้จักหนังสือด้วยหรือ แสร้งทำให้ผู้ใดดูกัน เด็กชั่วช้าอย่างเจ้า กล้าทำท่าทางเช่นนี้ต่อหน้าเสี่ยวเฟิงของพวกข้า ไม่กลัวคนหัวเราะจนฟันร่วงเอาเสียเลย”
ไป๋จื่ออ่านหนังสือในมือจบแล้ว นางช้อนสายตาขึ้นกวาดมองหลิวซื่อ แล้วกล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “ก็ไม่รู้ว่าเป็นบุตรชายของผู้ใด แม้จะบอกว่าเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียน ทว่าผลการสอบทุกครั้งล้วนย่ำแย่ที่สุด คนเช่นนี้ยังหวังว่าต่อไปจะได้ทำงานราชการ ข้าล่ะอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วงเสียจริงๆ! ข้าว่านะ แม้แต่ซิ่วไฉ[1]คงจะสอบไม่ได้หรอก”
[1] ซิ่วไฉ (秀才) หนึ่งในคุณวุฒิในการสอบเป็นขุนนางสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของจีน นับเป็นคุณวุฒิระดับแรกในการสอบเข้ารับราชการในสมัยก่อน