จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 229 แกล้งหาเรื่อง
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 229 แกล้งหาเรื่อง
พริบตาเดียวก็มาถึงงานเลี้ยงฉลองเทศกาลเรือมังกร ทั่วทั้งพระราชวังวุ่นวายกันแต่เช้า งานเลี้ยงฉลองเทศกาลเรือมังกรครั้งนี้ฮองเฮาเป็นผู้จัดการเอง ว่ากันว่าองค์หญิงและองค์ชายของแคว้นชางเยว่เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนมา ดังนั้นเลยยิ่งใหญ่มาก
ฟ้าพึ่งเริ่มมืด ขุนนางน้อยใหญ่พาครอบครัวทยอยเดินทางเข้าพระราชวัง ประตูพระราชวังที่ใหญ่โต ผู้คนมากมายสัญจรไปมาไม่ขาดสาย คึกคักยิ่งนัก
จวินหย่วนโยวกับหยุนถิงก็อยู่รายชื่อผู้ได้รับเชิญ แต่งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว พวกเขาสองคนถึงเปลี่ยนเสื้อผ้าขึ้นรถม้า มุ่งตรงสู่พระราชวัง
รอจนพวกเขามาถึง คนอื่นก็เข้าไปนั่งประจำที่หมดแล้ว จวินหย่วนโยวถึงพาหยุนถิง
เดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน
พอพวกเขาปรากฏตัว ก็ทำทุกคนตกตะลึง
คิ้วงามงอน ผมดำเป็นประกายแฝงกลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิ แซมด้วยเครื่องประดับไข่มุก ผมยาวสลายใช้เพียงปิ่นหยกขาวที่ทำอย่างประณีตเกล้าไว้เท่านั้น ดูงดงามนัก
หยุนถิงที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีแดงยิ่งส่งผลให้หยุนถิงดูสูงส่ง สง่างาม เย่อหยิ่งเย็นชา งามล่มเมืองมากขึ้น ทำทุกคนตกตะลึงในความงาม
และจวินหย่วนโยวที่อยู่ข้างนาง เขามาในชุดสีขาวสูงส่งไร้ไรฝุ่น ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา หว่างคิ้วฉายแววเย็นเยียบยะเยือกประหนึ่งคนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ ราศีรอบตัวแข็งกล้านัก ทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างน่าประหลาด
ทั้งสองคนยืนอยู่คู่กัน ชายหล่อหญิงงาม คู่สร้างคู่สม ทำคนอื่นอิจฉาไปตามๆกัน
“เจ้าคือหยุนถิง?” น้ำเสียงแหลมเสียดหูลอยมา คนที่พูดคือชางหยุนสี่ องค์หญิงสี่แห่งแคว้นชางเยว่
ชุดกระโปรงยาวผ้าซาตินสีเหลืองอ่อนยิ่งส่งเสริมให้ร่างนางดูอรชรแน่งน้อย คิ้วงามโก่งดั่งคันศร ใบหน้างดงาม กลางหน้าผากมีแต้มดอกไม้สีแดง อรชรอ้อนแอ้น หว่างคิ้วฉาบแววเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ พอเห็นก็รู้ทันทีว่าอยู่มาอย่างสุขสบาย
“ใช่ ข้าเอง” หยุนถิงตอบ
“ข้าอยู่ไกลถึงแคว้นชางเยว่ก็ได้ยินข่าวลือว่าจวินซื่อจื่อรักใคร่โปรดปรานคุณหนูหยุนเพียงผู้เดียว ที่แท้เจ้าหน้าตาเช่นนี้เอง นอกจากงดงามแล้วก็มิมีอันใดพิเศษนี่นา ยังนึกว่าเจ้าจะมีอะไรร้ายกาจเสียอีก” ชางหยุนสี่พูดอย่างดูถูก
“งดงามก็เพียงพอแล้ว ซื่อจื่อของข้าชอบความงามของข้า” หยุนถิงย้อนกลับ
“ใช่ ข้าชอบหน้าตาฮูหยิน” จวินหย่วนโยวเสริม
“เจ้า สมควรตายนัก ข้าจะดูสิว่าคืนนี้เจ้ายังจะได้ใจอยู่อีกไหม” ชางหยุนสี่แค่นเสียงโกรธ ก่อนกลับไปที่นั่งของตนเอง
หยุนถิงขี้เกียจจะสนใจ เธอกับจวินหย่วนโยวเข้านั่งประจำที่
ซวนอ๋องนั่งตรงข้ามกับหยุนถิงพอดี เขายกจอกเหล้าขึ้น หยุนถิงยกขึ้นมาทันที ทั้งสองสบตายิ้มให้กัน หยุนถิงจะดื่มหมด
สุดท้ายจอกเหล้าโดนจวินหย่วนโยวแย่งไป “ฮูหยินของข้าคอมิแข็ง หากซวนอ๋องอยากดื่ม ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนท่านเอง” จวินหย่วนโยวพูดเสร็จ เงยหน้าดื่มจนหมดจอก
โม่เหลิ่งเหยียนมองบนใส่จวินหย่วนโยว ช่างเป็นไหน้ำส้ม(คนขี้หึง)ที่ขยันเต็มขั้นจริงๆ ทำไมไม่เปรี้ยวตายไปเลยล่ะ
โม่ฉือหานที่อยู่ข้างๆเห็นภาพนี้เต็มตา รู้สึกเสียใจจริงๆ คนปัญญาอ่อนอย่างเจ้าสี่ยังสนิทสนมคุ้นเคยกับหยุนถิงได้ แต่เขากับหยุนถิงกลับเป็นศัตรูกัน
พวกซูชิงโยวกับโม่หลาน คุณหนูฉินพากันเข้ามาขอบคุณหยุนถิง หยุนถิงให้คนส่งเครื่องบำรุงผิวให้กับพวกนางคนละชุด ทั้งหมดพากันชอบมาก
“ฮ่องเต้เสด็จ ฮองเฮาเสด็จ!” ซูกงกงตะโกนเสียงดัง ทุกคนพากันลุกขึ้นถวายพระพร
ฮ่องเต้มาในชุดฉลองพระองค์มังกรสีเหลืองสว่าง ใบหน้าเย็นชา ราศีกล้าแกร่ง ดูมั่นคงอหังการ์ ทรงอำนาจเย็นชา ฮองเฮาที่อยู่ข้างๆมาในชุดราชพิธีสีแดงสด หรูหราสง่างาม ถึงจะอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่ดูแลผิวหน้าดี เลยทำให้ดูเหมือนแค่ยี่สิบกว่าๆเท่านั้น มั่นคงสง่างาม ทำเอาตกตะลึงไปทั่วทั้งงาน
เหมยเฟยที่อยู่ด้านหลังมาในชุดราชพิธีสีแดงเลือดหมู เทียบกับความสง่างามของฮองเฮาแล้ว นางมีความเรียบง่ายและถ่อมตนอยู่หลายส่วน ยิ่งส่งผลให้นางดูอ่อนโยนอ่อนหวานมากขึ้น
สาวงามอีกคนข้างๆหยุนถิงไม่เคยเจอมาก่อน ใบหน้างามล้ำ เป็นความงามที่มีพลังโจมตีอย่างมาก รูปร่างอรชร ชุดราชพิธีสีชมพูอ่อนส่งผลให้ผิวของนางยิ่งดูขาวมากขึ้น งดงามเย้ายวนนัก
หยุนถิงเหล่มองชางหลันเย่ฝั่งตรงข้าม อย่างประหลาดใจเล็กน้อย
เขาในวันนี้มิได้อยู่ในผ้าหนาหยาบกร้านอีก แต่เป็นชุดเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำ ดูหรูหรานัก ใบหน้าที่เดิมก็หล่อเหลาอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งมีแววสง่างามมีมารยาทมากขึ้นหลายส่วน ดูแล้วเป็นคุณชายผู้ดีคนหนึ่งเลย
ชางหลันเย่เห็นหยุนถิงพอดี สายตาสองคู่สอดประสานกัน พยักหน้าน้อยๆ เรียกได้ว่าทักทายแล้ว
พวกฝ่าบาทกับฮองเฮาพากันเข้าประจำที่ “ทุกคนตามสบายเถอะ งานเลี้ยงฉลองเทศกาลเรือมังกรปีนี้มีองค์หญิงและองค์ชายจากแคว้นชางเยว่มาร่วมด้วย และยังมีไท่จื่อกับองค์หญิงสามแห่งเป่ยหมิง ช่างครึกครื้นยิ่งนัก ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ ตามสบายเถิด”
ทุกคนถึงนั่งลง เหล่าขันทียกอาหารมา การแสดงร้องรำเริ่มขึ้น ทุกคนพากันชื่นชมดู
เริ่นเซวียนเอ๋อร์รีบให้คนเอาโต๊ะมาวางข้างโต๊ะหยุนถิง จากนั้นเริ่มกินขึ้นมา
เป่ยหมิงฉี่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดูท่าทางไม่สนภาพลักษณ์ของนางนั้นแล้วบ่นออกมา “ผีอดอยากมาเกิดรึ ช่างทำความขายหน้ากับตระกูลนัก”
“ฝ่าบาท แคว้นชางเยว่ของข้าเตรียมของกำนัลชั้นดีมาถวายแก่ฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงรับไว้ด้วย” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
คนที่พูดคือ ชางเยว่หมิง องค์ชายรองแห่งแคว้นชางเยว่ เขาอยู่ในชุดรัดกุมสีดำ ใบหน้าอ่อนโยนเจ้าเล่ห์ อหังการ์ พูดจาโอหัง ราวกับไม่เห็นแคว้นต้าเยียนอยู่ในสายตา
องครักษ์คนหนึ่งถือกรงใหญ่เข้ามา กรงนั้นทำจากทอง ในนั้นขังอินทรีตัวใหญ่มากไว้ตัวหนึ่ง
ตอนนี้อินทรีนั่นดวงตามองทุกคนอย่างเป็นศัตรู มันกระพรือปีก อยากจะพุ่งออกมา แต่ชนกรงเข้า แล้วราวกับมิรู้จักเจ็บ มันยังคงพุ่งชนไม่หยุด
ฮ่องเต้เห็นอินทรีตัวใหญ่ขนาดนี้ ออกจะตกใจอยู่บ้าง “องค์ชายรองสามารถล่าอินทรีตัวใหญ่ขนาดนี้มาได้ ช่างมีน้ำใจนัก”
“แน่นอน ไท่จื่อแห่งแคว้นชางเยว่ของเราได้รับการดูแลจากฝ่าบาทที่แคว้นต้าเยียนนี่ ข้าแสดงน้ำใจเล็กน้อย ฝ่าบาทไม่ต้องเกรงพระทัยไปดอก แต่อินทรีตัวนี้นิสัยดุร้ายนัก ทั้งชีวิตจะมีเจ้านายเพียงคนเดียว ดังนั้นเพื่อแสดงความจริงใจข้าเลยมิได้กำราบ ดูท่าทุกคนก็คงอยากเห็นฝีมือของฝ่าบาทกระมัง” ชางเยว่หมิงบอก
ความหมายนั่นคือ ให้ฝ่าบาทกำราบอินทรีตัวนั้นต่อหน้าธารกำนัล
ทุกคนสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือก องค์ชายรองแห่งแคว้นชางเยว่นี่จงใจหลู่เกียรติต้าเยียน หลู่เกียรติฝ่าบาทกระมัง
“ฝ่าบาทเป็นประมุขแห่งแผ่นดิน จะมากำราบสัตว์นี่ในท้องพระโรงได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลเรือมังกร ผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเป็นขุนนางราชสำนัก หากทำร้ายผู้บริสุทธิ์ไปมันจะมิดี” ฮองเฮาปกป้องทันที
“ฝ่าบาทไม่ยินยอมหรือว่าไม่กล้า?” ชางเยว่หมิงถามอย่างดูถูก
“น้องรอง อย่าเสียมารยาท” ชางหลันเย่ที่นั่งเงียบมาตลอดพูดขึ้น
ชางเยว่หมิงเหล่มองชางหลันเย่ที่อยู่ห่างไปหลายเมตร ยิ้มหยันมุมปาก “ไอ้โหย นี่ไท่จื่อแห่งแคว้นชางเยว่ของเรารึ ท่านกล้าพูดแทนฮ่องเต้ต้าเยียน ข้าอยากจะถามท่านสักหน่อย ยังตำได้ไม่ว่าตนเป็นคนของแคว้นชางเยว่”
“ข้าย่อมไม่ลืมอยู่แล้ว เพียงแต่ข้ามาอยู่แคว้นต้าเยียนตั้งแต่สิบขวบ ฝ่าบาทดูแลเอาใจใส่ข้านัก ข้าซาบซึ้งในบุญคุณฝ่าบาทนัก” ชางหลันเย่อธิบาย
“เหอะ ดูแลเอาใจใส่ งั้นเหตุใดข้าได้ยินว่าเจ้าอยู่ในพระราชวังอย่างทุกข์ยากเสียยิ่งกว่าหมาแมว กินข้าวเหลืออาหารเลว ใส่เสื้อผ้าหยาบกร้าน ขนาดขันทีในพระราชวังยังกล้ารังแกเจ้าด้วยซ้ำ” ชางเยว่หมิงแค่นเสียงเย็นบอก
คำพูดเดียว สีหน้าชางหลันเย่ไม่น่าดูยิ่งนัก ซีดเผือดเล็กน้อย เขาราวกับอดทน และก็เหมือนโดนพูดแทงใจดำ สีหน้าดูกระอักกระอ่วนนัก