จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 232 นางอยากหาเรื่องตายเอง ข้าห้ามนางไม่อยู่นี่นา
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 232 นางอยากหาเรื่องตายเอง ข้าห้ามนางไม่อยู่นี่นา
ทำเอาคนอื่นพากันมองตาค้าง ชางเยว่หมิงนี่เมื่อครู่ยังกร่างขนาดนั้น พอได้ยินองครักษ์เงามังกรก็ยอมหงอแล้ว เป็นคนโง่จริงๆด้วย
ทุกคนพากันหัวเราะ ต่างสะใจกันนัก ชางเยว่หมิงที่ฝ่าบาทยังจัดการไม่ได้ถูกคำพูดเดียวของซื่อจื่อทำตกใจหงอไปเลย มันสาแก่ใจจริงๆ
ชางหยุนสี่มีสีหน้าไม่พอใจ “พี่รอง ท่านขอโทษเขาทำไม ต่อให้องครักษ์เงามังกรเก่งกาจ แต่องครักษ์ลับแห่งแคว้นชางเยว่ของเราก็ไม่ได้น้อยหน้ากว่ากัน หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ยังมิแน่เลยว่าใครจะชนะ”
“เพี๊ยะ!” เสียงตบหน้าฉาดใหญ่ดังขึ้น ทำเอาทุกคนตกใจกันหมด
“พี่รอง ท่านตบข้า!” ชางหยุนสี่มองชางเยว่หมิงอย่างไม่เชื่อสายตา
พี่รองรักใคร่นางที่สุดตั้งแต่เล็ก อย่าว่าแต่ลงมือเลย ต่อให้ดุว่านางยังไม่อยากทำ ชางหยุนสี่ในตอนนี้น้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก
“หุบปาก ไม่อยากนำภัยพิบัติมาให้แคว้นชางเยว่ของเรา ก็อย่ามาพูดจาเช่นนี้!” ชางเยว่หมิงแค่นเสียงเย็น
ชางหยุนสี่น้อยเนื้อต่ำใจนัก พูดอย่างเคืองโกรธว่า “ท่านกลัวเขา แต่ข้าไม่กลัว วันนี้ข้าจะต้องเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของหยุนถิง ให้นางอับอายขายขี้หน้า ชื่อเสียงเสียหาย”
พอพูดจบ คนอื่นยังไม่ทันรู้สึกอะไร อินทรีทองที่นอนที่พื้นดวงตาวาวโรจน์ด้วยความแค้นและคมปลาบ มันบินขึ้นมาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ เข้าโจมตีชางหยุนสี่ทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ทุกคนยังไม่ทันรู้สึกอะไร ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังมา ชางหยุนสี่โดนอินทรีทองโจมตีจนล้มลงกับพื้น
“อ๊า เจ้านกบ้าไปไกลๆนะ พี่รองช่วยข้าด้วย พี่รอง!” ชางหยุนสี่ร้องด่ากราดไม่หยุด
ชางเยว่หมิงที่อยู่ข้างๆก็ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ รีบพึ่งเข้ามาจะมาไล่อินทรีทองไป แต่อินทรีทองตัวนั้นสูงเกือบหนึ่งเมตร ดุร้ายยิ่งนัก เขาเองก็ไม่กล้าใช้กำลังเข้าไปแยกออก หากทำให้มันหงุดหงิด มันจะยิ่งทำร้ายหยุนสี่หนักขึ้น
“พี่รองช่วยข้าด้วย อ๊าเจ็บนะ พี่รอง!” ชางหยุนสี่เจ็บปวดจนหน้าซีดเผือด ความเย่อหยิ่งจองหองหายไปในพริบตา ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดขึ้นมา
“ฝ่าบาท รบกวนให้องครักษ์มาช่วยหน่อยเถิด!” ชางเยว่หมิงร้องบอก
ที่นี่เป็นท้องพระโรง ไม่อาจพกอาวุธได้ ดังนั้นชางเยว่หมิงเลยค่อนข้างลำบาก
ฮ่องเต้ที่อยู่บนบัลลังก์สีหน้าร้อนใจ แต่สาแก่ใจนัก เมื่อครู่เย่อหยิ่งมากมิใช่รึ ก็โดนสัตว์ตัวนั้นสั่งสอนเข้าให้ด้วยนี่ สมน้ำหน้า
“มิใช่ข้าไม่อยากช่วย แต่องครักษ์เหล่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอินทรีทองเลยสักนิด เมื่อครู่ท่านก็เห็นแล้วนี่ มันสามารถหลบฝ่ามือของซวนอ๋องได้ เห็นได้ชัดว่ายากจะกำราบนัก อย่าได้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์เลยดีกว่า” ฮ่องเต้ถอนหายใจอีก
สีหน้าชางเยว่หมิงดำทะมึนทันที “หรือว่าพวกท่านจะมองดูอยู่เฉยๆเช่นนี้ หากน้องสี่ของข้าเป็นอะไร ข้าไม่ปล่อยพวกท่านไว้แน่”
“องค์ชายรองคำพูดนี้ผิดแล้ว ในเมื่ออินทรีทองมีนายแล้ว ท่านขอร้องฝ่าบาท มิสู้ขอร้องนายของอินทรีทอง” ซวนอ๋องโม่เหลิ่งเหยียนแค่นเสียงบอก
ชางเยว่หมิงถึงนึกขึ้นได้ รีบหันไปหาหยุนถิงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “หยุนถิง เจ้ารีบให้อินทรีทองออกไปซะ!”
หยุนถิงขมวดคิ้ว มองชางเยว่หมิงอย่างเฉยชาว่า “ทำไมข้าต้องฟังท่านด้วย?”
คำพูดเดียวทำใบหน้าชางเยว่หมิงไม่น่าดูขั้นสุด “หยุนถิง เจ้าคิดจะจุดชนวนสงครามของสองแคว้นรึ?”
“องค์ชายรองใส่ความข้าเรื่องใหญ่นัก ข้าไม่กลัวเลยสักนิด เพราะต้นเหตุของเรื่องนี้ก็คือตัวท่านเอง ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย หากมิใช่ท่านเอาอินทรีทองเช่นนี้มา จะเกิดแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร นี่เรียกว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว!
ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่ได้ให้อินทรีทองไปทำร้ายองค์หญิงสี่เสียหน่อย นางพูดจาดูหมิ่นข้าเอง อินทรีทองน่ะจงรักภักดีปกป้องนายเป็นที่สุด ขนาดมันยังทนฟังคำพูดขององค์หญิงสี่ไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงสี่ทำเกินไปจริงๆ” หยุนถิงพูดตรงประเด็น ไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าชางเยว่หมิงดำทะมึนยิ่งนัก ดวงตาแดงก่ำ เขาเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ หากรู้ว่าเจ้าสี่จะโดนโจมตี ชางเยว่หมิงคงไม่ส่งอินทรีทองมาแน่
ชางเยว่หมิงในตอนนี้แค้นจนแทบอยากจับนางมาสับเป็นหมื่นๆชิ้น หากมิใช่ติดว่าจวินซื่อจื่ออยู่ข้างๆ ชางเยว่หมิงต้องไม่ยอมอยู่เฉยแน่
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างเลื่อมใสในตัวหยุนถิงนัก ก็มีแต่นางนี่แหละที่พูดจาตรงไปตรงมา พูดความจริงอย่างไม่หวาดเกรงสิ่งใด
“หยุนถิง เจ้าพูดได้ถูกต้องยิ่งนัก” ฟู่อี้เฉินยังทนไม่ไหวยกนิ้วโป้งให้นาง
“ข้าแค่พูดไปตามความจริงเท่านั้น” หยุนถิงตอบ
ชางหยุนสี่ที่อยู่บนพื้นยังคงร้องโหยหวนอยู่ แต่ไม่มีใครสักคนสนใจ กลับรู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก พากันแอบส่งสายตาเลื่อมใสไปทางหยุนถิงเป็นระยะๆ
“พี่รอง ช่วยข้าด้วย ข้าจะตายอยู่แล้ว เสด็จพี่ไท่จื่อขอร้องท่านช่วยข้าด้วย เสด็จพี่ไท่จื่อ!” ชางหยุนสี่ที่เจ็บปวดยิ่งนักร้องขอความช่วย นางไม่รู้ว่าควรจะขอร้องใครดีแล้ว
พอได้ยินคำนี้ ชางหลันเย่ที่นิ่งเงียบมาตลอดหันไปหาหยุนถิง พลางขอร้องอย่างนอบน้อม “คุณหนูหยุน น้องสี่ได้รับการลงโทษแล้ว ขอท่านโปรดมีเมตตาละเว้นนางด้วยเถิด”
“ในเมื่อชางไท่จื่อพูดเช่นนี้ ข้าจะไว้หน้าท่านแล้วกัน อินทรีทองกลับมา!”
ยามหยุนถิงพูดประโยคสุดท้าย บรรยากาศรอบตัวพลันแข็งกล้าเย็นชาทันที คนอื่นที่อยู่รอบๆรู้สึกกดดันอย่างประหลาด
อินทรีทองบินกลับมาทันที มันมาอยู่แนบเท้าหยุนถิงอย่างว่าง่าย พลางเงยหน้าขึ้น ราวกับเด็กที่จะขอรางวัล ท่าทางเช่นนั้นแตกต่างกับความดุร้ายเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว
ชางเยว่หมิงรีบพุ่งเข้าไปทันที “น้องสี่ น้องสี่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ชางหยุนสี่ที่อยู่ที่พื้นเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด เสื้อผ้าโดนรุมทึ้งจนขาดฉีก ใบหน้าก็บาดเจ็บเช่นกัน นางร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ดูแล้วน่าเวทนานัก
ชางหลันเย่เดินเข้ามา และยื่นผ้าคลุมบนตัวให้ “คลุมให้นางเถอะ”
“ไม่ต้องให้เจ้ามาเสแสร้ง” ชางเยว่หมิงตะคอกดัง ปัดผ้าคลุมตกพื้นไป
สีหน้าชางหลันเย่กระอักกระอ่วนยิ่งนัก แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร หันไปทางฮ่องเต้ที่อยู่บนบัลลังก์ “รบกวนฝ่าบาทเรียกหมอหลวงมาดูองค์หญิงสีเสียหน่อยเถอะ”
“ใครก็ได้ เชิญหมอหลวงเร็ว” ฮ่องเต้ถึงเอ่ยปาก
“ฝ่าบาท เสื้อผ้าขององค์หญิงสี่ขาดวิ่นหมดแล้ว หม่อมฉันพานางไปห้องข้างๆนะเพคะ” เหมยเฟยบอก
“ไปเถอะ”
เหมยเฟยเดินเข้ามา หยิบผ้าคลุมที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมา คลุมให้องค์หญิงสี่ “ที่นี่เป็นราชสำนัก บุรุษมากนัก หากองค์ชายรองยังคิดถึงเกียรติยศหน้าตาองค์หญิง ก็เชิญคลุมให้นางเถอะ”
ชางเยว่หมิงเหล่มองคนที่นั่งในห้อง ถึงรับผ้าคลุมมาอย่างเสียมิได้ และคลุมให้ชางหยุนสี่ พลางอุ้มนางขึ้นมา เดินไปทางหน้าประตู
พอไม่มีชางเยว่หมิงกับชางหยุนสี่ ท้องพระโรงที่กว้างใหญ่ก็ครึกครื้นขึ้นมา บรรยากาศดูมื่นชื่นขึ้นมาเหมือนกัน
“หยุนถิง เมื่อครู่เจ้าสง่างามนัก ย้อนจนชางเยว่หมิงพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ต่อไปข้าจะชื่นชมเจ้าละ” โม่หลานพูดอย่างเลื่อมใส
“หยุนถิง เจ้าเก่งกาจจริงๆ พึ่งจะกำราบอินทรีทองไป มันก็เชื่อฟังคำพูดเจ้าขนาดนี้ ยินดีด้วย” ซูชิงโยวอดไม่อยู่ชื่นชมออกมา
หยุนถิงยิ้มอย่างถ่อมตน “นางอยากหาเรื่องตายเอง ข้าก็ห้ามนางไม่อยู่นี่นา”
ต่อมา ทุกคนกินดื่มดูการแสดง บรรยากาศดีมาก
หยุนถิงกินมากไปหน่อย เลยบอกกับจวินหย่วนโยวว่าจะออกไปปลดทุกข์สักหน่อย จวินหย่วนโยวจะลุกขึ้นไปเป็นเพื่อนนาง ฮ่องเต้กลับเรียกเขาไว้ถามเรื่องบางอย่าง”
“ซื่อจื่อท่านอยู่ที่นี่เถอะ ข้าไปครู่เดียวก็กลับ” หยุนถิงลุกขึ้นเดินออกไป
“เจ้าจะไปไหน ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าไหม?” องค์ชายสี่ถาม