จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 248 ท่านยิ้มแล้วยิ่งหล่อเหลา
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 248 ท่านยิ้มแล้วยิ่งหล่อเหลา
จากนั้นบรรดาชาวบ้านก็ได้เห็น องค์ชายรองกับองค์หญิงสี่แห่งแคว้นชางเยว่ร่ายรำอยู่กลางถนน ทั้งสองคนร่ายรำได้น่าขำอย่างยิ่ง ดูตลกมากมาย ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา
หยุนถิงกับหลงเอ้อก็ซื้อๆๆอยู่ด้านหน้า อย่างไรเสียก็ไม่ได้ใช้เงินของตัวเองอยู่แล้ว เวลาใช้จ่ายจึงเป็นเรื่องสนุกมาก
ไม่ไกลออกไปก็คือหอชุนเฟิง ดวงตาคู่สวยของหยุนถิงกลอกหมุนมีความคิดขึ้นมาทันที สะบัดกลองป๋องแป๋งที่อยู่ในมือตรงไปยังหอชุนเฟิง
บรรดาสาวๆที่อยู่หน้าประตูต่างก็รู้จักหยุนถิง รู้ว่าความสัมพันธ์ของนางกับองค์ชายสี่ไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงถอยออกไปอย่างเคารพนบนอบ
หยุนถิงเดินเข้าไป ชางหยุนสี่กับชางเยว่หมิงติดตามอยู่ด้านหลัง
ห้องโถงชั้นหนึ่งของหอชุนเฟิง มีเวทีที่มีขนาดใหญ่มากพอดี ปกติจะใช้สำหรับการแสดงร่ายรำและร้องเพลงของสาวๆในหอ
หยุนถิงตรงไปยังห้องส่วนตัวชั้นสอง หาสถานที่ที่ทัศนวิสัยการมองเห็นที่ดีที่สุด จากนั้นก็เขย่ากลองป๋องแป๋งที่อยู่ในมือ
ชางเยว่หมิงกับชางหยุนสี่ที่ตามเข้ามาจู่ๆก็กระโดดขึ้นไปบนเวที ทั้งร้องทั้งเต้น ทำการแสดงขึ้นมา
เพียงแต่ว่าการแสดงของพวกเขาดูตลกอย่างยิ่ง บิดขาส่ายเอว ยั่วยวนไร้ที่เปรียบ ทุกคนมองด้วยความตะลึงงัน จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆขึ้นมา
คนที่มาที่นี่ล้วนมาเพื่อหาความสุขกันทั้งนั้น ในเวลาปกติก็มักจะดูสาวๆทั้งนั้น เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ดูการแสดงขององค์ชายกับองค์หญิง ย่อมต้องรายล้อมกันเข้ามา ชื่นชมกันด้วยความเพลิดเพลินอยู่แล้ว
ทันทีที่โม่ฉือชิงได้ยินว่าหยุนถิงมา ก็หยิบไหสุราชั้นดีเข้ามาทันที “ทำไมวันนี้เจ้าถึงมีเวลามาได้ ข้านำสุราชั้นเลิศมาให้เจ้าโดยเฉพาะ”
“ใจป้ำมาก ข้ามามอบการแสดงให้ท่าน” หยุนถิงกล่าว
“หมายความว่าการร่ายรำผีบ้าผีบอตามใจชอบของชางหยุนสี่กับชางเยว่หมิงนั่น เป็นเพราะเจ้าหรือ?” โม่ฉือชิงถามกลับ
“พวกเขามาให้ทารุณเอง โทษข้าไม่ได้”
“ฮ่าๆ สมกับที่เป็นหยุนถิง ถึงกับทำให้องค์ชายกับองค์หญิงร่ายรำ ร้ายกาจ” โม่ฉือชิงกล่าวพร้อมรินสุรามาสองถ้วย
ทั้งสองคนชนถ้วย และเริ่มดื่มขึ้นมา
“หยุนถิงเจ้าทำได้อย่างไร?” โม่ฉือชิงถาม
“ความลับ”
“ดื่มเหล้าทำไมไม่เรียกข้า?” เสียงที่ทุ้มลึกมีแรงดึงดูดดังมา โม่เหลิ่งเหยียนเดินเข้ามา
“ซวนอ๋อง ท่านก็มาเที่ยวหอชุนเฟิงหรือ?” หยุนถิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“มีธุระนิดหน่อย” โม่เหลิ่งเหยียนตอบ
“เจ้าคิดถึงสาวๆของหอชุนเฟิงข้ามากกว่า หาข้ออ้างเก่งจริงๆ” โม่ฉือชิงเบะปาก
“ท่านเปิดร้านเพื่อทำการค้าขายไม่ใช่หรือ ซวนอ๋องไม่ได้ให้เงินท่านน้อยกว่าเสียหน่อย มา ดื่มด้วยกัน” หยุนถิงหยิบถ้วยที่อยู่ด้านข้างขึ้นมารินอีกหนึ่งถ้วย
บ่าวรับใช้ชายยกกับแกล้มเข้ามา จากนั้นหยุนถิงกับโม่เหลิ่งเหยียน และโม่ฉือชิงก็กินพร้อมดื่มไปด้วย
“หยุนถิงธุรกิจร้านไก่ทอดของเราเฟื่องฟูมาก ข้าคิดเอาไว้ว่าอยากจะขยายร้านนี้ไปยังอีกสามแคว้น เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” โม่ฉือชิงถาม
“องค์ชายสี่จัดการตามเห็นสมควรได้เลย ข้ารอแค่เงินปันผลเท่านั้น” หยุนถิงกล่าวตอบ
“ฮ่าๆ เจ้านี่แอบอู้เก่งจริง”
“เร็วๆนี้ข้าคิดค้นเมนูใหม่ๆขึ้นมาอีกสองสามอย่าง สามารถขายให้กับกองทัพได้ หรือไม่ก็ทำเป็นเสบียงที่จัดส่งให้กับทหารได้ แต่จำเป็นต้องให้องค์ชายสี่ออกหน้า หากบอกว่าข้าเป็นคนคิดค้นขึ้นมา ฝ่าบาทต้องบังคับซื้อโดยตรงแน่นอน หรือไม่ก็ให้เงินทุนเล็กน้อย ก็จะไม่สามารถทำกำไรได้แล้ว” หยุนถิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“กิจการทางกองทัพเจ้าหาเขาไม่ได้หรอก” โม่เหลิ่งเหยียนฮึออกมา
“ทำไมถึงไม่ได้ เสด็จพี่ชอบข้ามากนะ?” โม่ฉือชิงตอบโต้
“ในเวลาปกติฝ่าบาทดีต่อเจ้าจริงๆ แต่เรื่องเกี่ยวข้องกับกองทัพ กองทัพเกี่ยวพันถึงความมั่นคงของแคว้น เขาตัดสินใจไม่ได้”
“ข้าตัดสินใจไม่ได้ หรือว่าเจ้าทำได้?” โม่ฉือชิงถามกลับ
“ข้าย่อมทำได้อยู่แล้ว” โม่เหลิ่งเหยียนตอกกลับอย่างแข็งกร้าว
หยุนถิงถึงได้เข้าใจในทันที ว่ากันว่าซวนอ๋องคือเทพสงครามของแคว้นต้าเยียน คุณงามความดีอยู่เหนือหลีอ๋อง นำทัพออกรบเพื่อฝ่าบาทมาหลายปี และก็เป็นเพราะนิสัยที่อารมณ์ร้ายไม่มีเหตุผลของเขา วิธีการโหดเหี้ยมทารุณ ดังนั้นจึงทำให้คนรู้สึกเกรงกลัว ถึงขั้นลืมความดีความชอบในอดีตของเขาไป
“เมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าทำการค้ากับซวนอ๋องก็หมดเรื่องแล้ว” หยุนถิงเอ่ยปาก
“ตกลง” โม่เหลิ่งเหยียนรับปาก
หยุนถิงหยิบหม้อไฟกึ่งสำเร็จรูปออกมาจากมิติสองกล่องทันที ให้บ่าวรับใช้ชายยกน้ำสะอาดมา หยุนถิงอธิบายวิธีการกินโดยสังเขปหนึ่งรอบ จากนั้นก็เปิดต่อหน้าองค์ชายสี่และซวนอ๋อง จากนั้นก็เทน้ำลงไป ใส่เครื่องปรุงกับผักต่างๆ และปิดฝา
ไม่นานนัก บนฝ่าก็มีควันร้อนลอยขึ้นมา มีเสียงต้มสิ่งของดังมาจากด้านใน
โม่เหลิ่งเหยียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเจ้าสิ่งนี้จะสามารถต้มเองได้โดยไม่ต้องจุดไฟ
เวลาครึ่งก้านธูป ควันร้อนก็หยุดลง เสียงก็หยุดลงเช่นนั้น หยุนถิงรีบร้อนเปิดฝาออก “ลองชิมดูสิ”
มองดูส่วนผสมที่อยู่ด้านใน สีแดงเถือก โม่ฉือชิงรู้สึกต่อต้านเล็กน้อย แต่ว่าเขารู้ฝีมือของหยุนถิงดี หยิบตะเกียบคีบขึ้นมากินหนึ่งคำด้วยความสงสัย
คำนี้ โม่ฉือชิงตะลึงงันไปทันที
โม่เหลิ่งเหยียนก็หยิบตะเกียบขึ้นมาเช่นกัน ชิมไปหนึ่งคำ เผ็ดชาและอร่อย รสชาติดีไม่เค็มไม่จืด ผักและเนื้อเข้ากันได้เป็นอย่างดี
“อันนี้ไม่เลว”
“ทำให้ซวนอ๋องชื่นชมได้ เช่นนั้นก็คือไม่เลวจริงๆ หม้อไฟกึ่งสำเร็จรูปอันนี้ไม่กลัวความชื้น พกพาสะดวก แค่ใส่น้ำเล็กน้อยก็กินได้ทุกเวลา เช่นนี้ถึงแม้ทหารจะกำลังสู้รบก็สามารถกินอาหารร้อนๆได้ ขอซวนอ๋องโปรดเสนอต่อฝ่าบาทในภายหลังด้วย เมื่อได้กำไรเรามาแบ่งกัน” หยุนถิงเสนอแนะ
“ตกลง”
ทั้งสามคนกินไปดื่มไป บรรยากาศปรองดองอย่างมาก
เพราะมีความสุข หยุนถิงจึงดื่มมากไปหน่อย คนทั้งคนเซไปเซมา นั่งไม่นิ่งแล้ว
“องค์ชายสี่ท่านให้คนถือกลองป๋องแป๋งอันนี้เอาไว้แล้วเขย่าอย่างแรง” หยุนถิงเอ่ยปาก
“เพราะเหตุใด?” โม่ฉือชิงถามด้วยความงุนงง
“นี่ก็คือกุญแจสำคัญในการควบคุมชางหยุนสี่กับชางเยว่หมิง ท่านเขย่าอย่างไร พวกเขาก็เต้นอย่างนั้น”
ทันทีที่โม่ฉือชิงได้ยิน ก็ถือกลองป๋องแป๋งออกไป และเขย่าอย่างแรงทันที
และสองพี่น้องที่ร่ายรำจนเหนื่อยหอบอยู่บนเวที จู่ๆก็เต้นขึ้นมาอย่างแรง เหนื่อยเจียนตายอยู่แล้ว แต่กลับต้องร่ายรำต่อไป ท่าทางดูตลกอย่างมาก ราวกับกำลังเต้นม้าทรง ยิ่งทำให้ทุกคนหัวเราะกันเกรียวกราว
โม่ฉือชิงมองดูสองพี่น้องชางเยว่หมิงถูกกลั่นแกล้งจนอนาถไร้ที่เปรียบ รู้สึกได้ใจอย่างยิ่ง
และหยุนถิงที่อยู่ในห้องส่วนตัวดื่มสุราไปอีกหนึ่งถ้วย แก้มแดงระเรื่อ ดวงตาพร่ามัวเลือนราง เหลือบมองไปทางโม่เหลิ่งเหยียนที่อยู่ด้านข้าง มองดูใบหน้าที่หล่อเหลาและเย็นชา ลักษณะโครงหน้าที่องอาจกล้าหาญ กลายเป็นคนบ้าผู้ชายในทันที
“ซวนอ๋อง ท่านช่างดูดีจริงๆ” หยุนถิงกล่าวชม
โม่เหลิ่งเหยียนเลิกคิ้ว มองดูท่าทางที่เมาสุราของนาง ใบหน้าเล็กที่งดงามน่าทึ่ง แก้มที่แดงระเรื่อราวกับผลแอปเปิลที่สุกงอม ดวงตาคู่สวยใสสะอาดพร่ามัวเลือนรางเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย จมูกที่สูงโด่ง ปากเล็กดุจเชอรรี่บุ้ยขึ้นมา น่ารักอย่างมาก
ไร้เดียงสา และเย้ายวน ราวกับปีศาจตัวน้อยที่ล่อลวงจิตใจ โม่เหลิ่งเหยียนหายใจติดขัดในทันใด
“ซวนอ๋อง ความจริงเวลาท่านยิ้มแล้วดูดีจริงๆ หากท่านยิ้มบ่อยๆอีกหน่อยต้องหาเมียได้แน่นอน” หยุนถิงหัวเราะแฮะๆ ก็ยื่นมือไปดึงแก้มของโม่เหลิ่งเหยียน
โม่เหลิ่งเหยียนค่อนข้างรักความสะอาดที่สุด รู้สึกถึงความเจ็บปวดของแก้ม ไม่รู้ว่าทำไม เขากลับไม่ได้ผลักหยุนถิงออกไป ปล่อยให้นางดึงตามความพอใจ
“เช่นนี้ ยิ้มแล้วดูหล่อเหลายิ่งกว่า”
“เจ้าชอบให้ข้ายิ้ม?” จู่ๆโม่เหลิ่งเหยียนก็เอ่ยปากกะทันหัน
หยุนถิงพยักหน้าอย่างแรง “อืม ข้าชอบเวลาที่ท่านยิ้ม”
“ตกลง เช่นนั้นต่อไปข้าจะ——” คำพูดของโม่เหลิ่งเหยียนยังไม่ทันได้พูดจบ เสียงที่ดุร้ายก็ขัดจังหวะพวกเขา
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” สีหน้าของจวินหย่วนโยวดำมืด เดินเข้ามาด้วยความโกรธเกรี้ยว