จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 277 ข้าปฏิเสธได้หรือไม่
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 277 ข้าปฏิเสธได้หรือไม่
“ฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้ว เป็นเพราะกระหม่อมสมควรตาย ล้วนเป็นความเลอะเลือนของกระหม่อมทั้งนั้น ขอฝ่าบาทโปรดเห็นแก่ที่กระหม่อมเคยชีวิตฝ่าบาทในตอนนั้น อภัยให้ฮองเฮาเถิด
ขอเพียงฝ่าบาทไม่ปลดฮองเฮา กระหม่อมยินดีถวายทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลมู่ให้กับฝ่าบาท หลายปีมานี้ตระกูลมู่ดำเนินกิจการมากมายในสี่แคว้น กระหม่อมก็ยินดีจะถวายให้กับฝ่าบาทเช่นกัน
หากฝ่าบาทหาคนที่ช่ำชองการบริหารมารับช่วงต่อ เพียงแค่รายได้ปีเดียวก็เกินพันล้านแล้ว เรียกได้ว่ามีเงินเข้าทุกวัน สามารถเติมท้องพระคลังให้เต็มอย่างแน่นอน
กระหม่อมรู้ว่าตัวเองสมควรตาย ขอเพียงฝ่าบาทสามารถรักษาหน้าตาสุดท้ายของตระกูลมู่เอาไว้เท่านั้น ให้โอกาสกระหม่อมได้ไถ่โทษด้วยเถิด” มู่ฉิงเซินร้องไห้ปรับทุกข์น้ำตานองหน้า
คิ้วอันหล่อเหลาของฮ่องเต้ขมวดแน่น เมื่อเขายังเป็นหนุ่มน้อย ออกเยี่ยมเยียนราษฎรเป็นการส่วนพระองค์ถูกลอบสังหาร มู่ฉิงเซินเป็นคนรับกระบี่แทนเขา กระบี่นั่นเกือบจะแทงถูกหัวใจ ตอนนั้นบรรดาหมอหลวงช่วยชีวิตอยู่สามวัน ถึงได้ช่วยให้รอดพ้นจากอันตรายมาได้
ดังนั้นฮ่องเต้รู้สึกซาบซึ้งใจต่อมู่ฉิงเซิน ถึงได้ไม่สนใจว่าจะทำให้ไทเฮาโกรธก็จะแต่งตั้งมู่ซื่อเป็นฮองเฮา
“หลายปีมานี้ การกระทำของตระกูลมู่ ข้าล้วนทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หากไม่ใช่ว่าเห็นแก่บุญคุณที่เจ้าเคยช่วยชีวิตข้าในตอนนั้น ข้าจะทนเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร
ตอนนั้นไทเฮาคัดค้าน จะแต่งตั้งหลิ่วเฟยเป็นฮองเฮา เป็นเพราะข้าไม่ลังเลที่จะโต้เถียงกับไทเฮา ยืนกรานจะแต่งตั้งมู่ซื่อเป็นฮองเฮาให้ได้ มู่ซื่อไม่มีลูกมาโดยตลอด ข้าก็ปฏิบัติต่อนางเหมือนเดิม แต่พวกเจ้าพ่อและลูกสาวตอบแทนข้าอย่างไร
เห็นแก่บุญคุณที่ช่วยชีวิตของเจ้าในตอนนั้น ข้าไม่ปลดฮองเฮาก็ได้ แต่ก็เป็นเพียงฮองเฮาในนามเท่านั้น อำนาจการปกครองตำหนักทั้งหกข้าจะส่งมอบให้คนอื่น
สำหรับมู่ฟง ข้าจะแต่งตั้งยศข้าราชการเจ้าเมืองจินโจวแก่เขา เจ้าก็ติดตามเขาไปใช้ชีวิตเกษียณอายุที่จินโจวเถอะ หากกล้าก่อปัญหาอะไรขึ้นมาอีก ข้าจะประหารตระกูลมู่เก้าชั่วโคตร ไม่ลูบหน้าปะจมูกเด็ดขาด” น้ำเสียงที่เย็นชาดุร้ายของฮ่องเต้ เผด็จการน่าเกรงขาม
มู่ฉิงเซินตกใจจนตัวสั่น รีบแสดงความภักดีทันที: “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กระหม่อมไม่กล้าทำความผิดอีกเด็ดขาด ตระกูลมู่ก็จะไม่ทำอีกเช่นกัน”
“ออกไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้มองดูแผ่นหลังที่จากไปของมู่ฉิงเซิน ริมฝีบางยกขึ้นมาเป็นมุมโค้งเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันที่หลีอ๋องจะพบหลักฐานเพิ่มเติม ตระกูลมู่ก็ขัดแข้งขัดขาตัวเองแล้ว
จู่ๆกิจการที่ดำเนินการอยู่พวกนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นทั้งหมด แสดงให้เห็นว่ามีคนลงมืออยู่เบื้องหลัง ไม่รู้ว่าทำไม ฮ่องเต้นึกถึงจวินหย่วนโยวกับหยุนถิงขึ้นมา
ไม่ว่าจะใช่พวกเขาหรือไม่ สามารถตรวจสอบตระกูลมู่และริบมาเป็นของหลวงได้ สำหรับฮ่องเต้แล้วเป็นเรื่องที่พึงพอใจอย่างยิ่ง ทีนี้ท้องพระคลังก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความว่างเปล่าแล้ว
“เด็กๆ เรียกตัวหลีอ๋องกับองค์ชายสี่ โม่ฉีเฟิงมาเข้าเฝ้า!” ฮ่องเต้ออกคำสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์รีบไปประกาศทันที
ไม่นานนักหลีอ๋องกับองค์ชายสี่ก็เร่งเดินทางมา: “เสด็จพี่ ทรงหากระหม่อมด้วยเรื่องอันใด?” องค์ชายสี่ถาม
“หลีอ๋อง เรื่องของตระกูลมู่ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาวันนี้ ก็เพื่อรับช่วงต่อกิจการของตระกูลมู่ มู่ฉิงเซินตกลงส่งมอบกิจการทุกอย่างของตระกูลมู่ให้กับท้องพระคลังแล้ว
ดังนั้นกองกำลังเก่าก่อนหน้านี้ และกำลังทหารของตระกูลมู่หลีอ๋องจะเป็นผู้รับช่วงต่อ และร้านค้ากับหน้าร้านที่ตระกูลมู่ดำเนินกิจการอยู่ในสี่แคว้นให้เจ้าสี่เป็นผู้รับช่วงต่อ
ส่วนตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์วังหลวงของมู่ฟง จะมีโม่ฉีเฟิงเป็นผู้รับไป เช่นนี้พวกเจ้าสามคนก็แบ่งอิทธิพลของตระกูลมู่ไปเท่าๆกัน ดูแลจัดการแทนข้า ข้าก็อุ่นใจแล้ว” ฮ่องเต้เอ่ยปาก
หลีอ๋องขมวดคิ้ว ตระกูลมู่คร่ำหวอดในสามราชวงศ์ อยู่ในราชสำนักมาหลายปีขนาดนี้ อิทธิพลสลับซับซ้อน อำนาจที่อยู่เบื้องหลังก็ยิ่งสามารถจินตนาการได้เลย เสด็จพี่กลับไว้วางใจส่งมอบให้ตัวเอง สิ่งนี้ทำให้หลีอ๋องรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เสด็จพี่ ข้าปฏิเสธได้หรือไม่?” องค์ชายสี่เบะปาก
ใบหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความมืดมน: “ทำไม ข้าให้ร้านค้าของสี่แคว้นกับเจ้า เจ้ายังจะรังเกียจอีกหรือ?”
“ไม่ใช่เสด็จพี่ พระองค์ก็ทราบดีว่าปกติข้าก็แค่ทำในระดับเล็กๆเท่านั้น พระองค์ดูร้านค้าต่างๆที่ข้าเปิดในอีกสามแคว้นพวกนั้นสิ ไม่ใช่รายรับไม่พอกับรายจ่าย ก็คือกำลังเลิกล้มกิจการเพราะขาดทุน
ตอนนี้ร้านค้าของตระกูลมู่เกิดปัญหามากมายขนาดนี้ ในสายตาของชาวบ้านกลายเป็นสิ่งปฏิกูลไปแล้ว ข้าไม่อยากจะรับช่วงต่อปัญหายุ่งเหยิงพวกนี้ หากข้าทำมันพังไป พระองค์จะให้ข้าชดใช้เงินจะทำอย่างไร
เสด็จพี่ ความจริงกระหม่อมยากจนมากเลย กระเป๋าสะอาดกว่าใบหน้าเสียอีก พระองค์อย่าทำให้คนที่กินแกลบทุกวันอย่างกระหม่อมลำบากใจเลย” องค์ชายสี่แสร้งทำเป็นร้องไห้น่าเวทนาทันที
ฮ่องเต้ยังถูกเขาทำให้โกรธจนหัวเราะออกมา: “ทำไมข้าถึงได้มีน้องชายที่ไม่มุ่งแสวงหาความก้าวหน้าเช่นเจ้า”
“เสด็จพี่ก็ทรงทราบดีว่า กระหม่อมไม่มีความทะเยอทะยานอะไร กินอิ่มนอนหลับและหาเงินได้เล็กน้อยก็พอแล้ว” โม่ฉือชิงเบะปาก
“อย่ามาตีฝีปากกับข้าหน่อยเลย กิจการของตระกูลมู่ดำเนินการมาหลายปี กระจายไปทั่วสี่แคว้น ถึงแม้ตอนนี้ชื่อเสียงอาจจะฉาวโฉ่ไปทั่ว แต่แค่เจ้าคิดหาวิธีกอบกู้ชื่อเสียง ก็ยังคงทำเงินได้ไม่น้อย
เช่นนี้ เจ้าเป็นคนรับผิดชอบดูแลร้านค้าทั้งหมดของตระกูลมู่ในทุกปี ขอแค่ส่งมอบผลกำไรร้อยละเจ็ดสิบในทุกๆปีให้กับท้องพระคลังก็พอ ร้อยละสามสิบที่เหลือเจ้าก็เก็บเอาไว้เอง ข้าจะไม่เอา” ฮ่องเต้แสดงความเป็นมิตรภาพ
โม่ฉือชิงครุ่นคิดอย่างจริงจัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ: “เสด็จพี่ นี่พระองค์ต้องการจะเป็นเถ้าแก่แค่ในนาม ไม่สนใจอะไรเลยถึงเวลาก็แบ่งเงินใช่ไหม”
ฮ่องเต้เหลือบมองไปทางเขาด้วยสีหน้าเย็นชา: “ใครบอกว่าข้าจะเป็นเถ้าแก่แค่ในนามกัน หากเจ้าบริหารล้มเหลว ข้าไม่ต้องปิดส่วนที่ขาดทุนหรือ ข้าก็ต้องแบกรับความเสี่ยงเช่นกัน”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แบ่งกันสี่สิบหกสิบ เสด็จพี่หกสิบ ข้าสี่สิบ ร้อยละหกสิบคือผลกำไรล้วนๆ แต่ร้อยละสี่สิบของข้าไม่ใช่ข้าได้เองหมด
การประกอบการร้านค้า เส้นทางการเข้าสินค้า การดูแลจัดการกำลังคนและจ่ายเงินเดือน ทรัพยากรวัสดุ การขนส่งและอื่นๆล้วนต้องใช้เงินทั้งนั้น ดังนั้นหลังจากคำนวณลงมาแล้ว สุดท้ายที่มาถึงมือข้าคาดว่าคงไม่ถึงร้อยละยี่สิบเลยด้วยซ้ำ
นี่เป็นงานที่เหนื่อยทั้งกายทั้งใจ หากเสด็จพี่ไม่เห็นด้วยข้าก็ไม่ทำแล้ว พระองค์อยากหาใครก็เชิญเลยเถอะ อีกอย่างชื่อเสียงของตระกูลมู่ฉาวโฉ่ไปชั่วลูกชั่วหลานแล้ว ข้าจะต้องหาคนมาช่วยอีก หาคนก็ต้องใช้เงิน——” โม่ฉือชิงบ่นพึมพำ
“ตกลง เช่นนั้นก็สี่สิบหกสิบ ชำระสะสางบัญชีทุกต้นปี ข้าจะตรวจดูสมุดบัญชีรายรับเข้า-ออกทั้งหมดของปีนั้น หากเจ้ากล้าทุจริต ข้าไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่!” ฮ่องเต้ตรัสด้วยใบหน้าเย็นชา
“ตกลง เสด็จพี่รอนับเงินได้เลย เช่นนั้นข้ากลับไปคิดหาวิธีกอบกู้ชื่อเสียงก่อนดีกว่า” ขณะที่โม่ฉือชิงกล่าวไป ก็ทำความเคารพหันหลังก็จากไปเลย
โม่ฉีเฟิงเข้ามาจากด้านนอก คำนับด้วยความเคารพนบนอบ: “ถวายบังคมฝ่าบาท”
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้ารับช่วงต่อตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์วังหลวง ข้าจะประกาศในการประชุมเช้าวันพรุ่งนี้!” ฮ่องเต้ออกคำสั่ง
โม่ฉีเฟิงตกตะลึงไปสองสามวินาที ถึงได้ตอบสนองกลับมา: “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ในใจกลับกำลังสงสัย หรือจะเป็นเพราะมู่ฟงบกพร่องต่อหน้าที่ปล่อยให้คนเผายุ้งฉาง ดังนั้นถึงได้ปลดเขาออกจากตำแหน่ง?
ทางด้านนี้ โม่ฉือชิงออกจากพระราชวัง ขึ้นรถม้าก็จากไปเลย
มองดูรถม้าของโม่ฉือชิงจากไป นัยน์ตาที่ลึกล้ำของโม่ฉือหานมีความคาดหวังแว๊บผ่านไปเล็กน้อย เขารู้ว่าโม่ฉือชิงต้องไปหาหยุนถิงแน่นแน ผลิตภัณฑ์ใหม่ของหอชุนเฟิงหลายๆครั้งที่ผ่านมานี้ล้วนเป็นฝีมือของหยุนถิงทั้งนั้น ไม่รู้ว่าครั้งนี้หยุนถิงจะพลิกสถานการณ์อย่างไร
บางทีแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เขาเชื่อว่าหยุนถิงมีความสามารถพลิกแพลงสถานการณ์อย่างอธิบายไม่ได้ และเขาก็มีความคาดหวังเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน
จวนซื่อจื่อ
โม่ฉือชิงเล่าเรื่องเกี่ยวกับตระกูลมู่ให้หยุนถิงฟังโดยสังเขป หยุนถิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะฮุบกิจการของตระกูลมู่มาเป็นของตนอย่างรวดเร็วและเฉียบขาดเช่นนี้ วิธีการนี้แม้แต่นางก็ยังอดรู้สึกนับถือไม่ได้
“หยุนถิงเจ้ารีบคิดเร็ว ควรจะกอบกู้ชื่อเสียงร้านค้าของตระกูลมู่อย่างไรดี?”
“กอบกู้ไม่ได้แล้ว ท่านให้คนไปกระจายข่าวลือ บอกว่าตระกูลมู่ล้มลงแล้ว ร้านค้าถูกท่านซื้อเอาไว้ และจัดตั้งใหม่แล้ว!”