จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 311 พลิกกลับมาเอาคืน สะใจนัก
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 311 พลิกกลับมาเอาคืน สะใจนัก
“ฝ่าบาททรงได้ยินแล้วกระมัง นางจ้าวบอกว่านางมิใช่หยุนถิง นางเป็นตัวปลอม ทรงลงโทษนางเลยเพคะ!” จี๋ผินพูดอย่างสะใจ
โชคดีที่นางไปทำข้อตกลงกับนางจ้าวที่คุกหลวงก่อนแล้ว ไม่เช่นนี้วันนี้คงจบไม่สวยแน่
“กล้าแอบอ้างเป็นบุตรสาวเฉิงเซี่ยง ขอฝ่าบาทจับนางห้าม้าแยกร่าง เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างด้วยเถิด” ชิงหลัวจวิ้นจู่เสริม
“ฝ่าบาท นางกล้าแอบอ้างเป็นคุณหนูหยุนภายใต้สายพระเนตรของท่าน และยังได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิง นี่มันโทษหลอกลวงเบื้องสูงเลยนะ” คนของจวนไท่ผิงโหวพากันซ้ำเติม
คนอื่นก็ออกมาเรื่อยๆ ล้วนออกมาตอกย้ำความผิดของหยุนถิง
หลิ่วเฟยที่อยู่ข้างๆคิ้วขมวดมุ่น หันมองหยุนถิง
เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว นิสัยนางเปลี่ยนไปมากจริงๆ แต่หยุนถิงที่มีสติปัญญาอย่างนั้น ฝีมือแพทย์สูงส่งอย่างนั้นจะเป็นตัวปลอมจริงรึ
ยิ่งเห็นหยุนถิงสีหน้าเย็นชาเรียบเฉย ไม่ลนลานแต่อย่างใด จับจ้องมองทุกคนด้วยสายตาเย็นเยียบราวกับกำลังมองดูตัวตลก หลิ่วเฟยยิ่งดูนางไม่ออกมากขึ้น
หากนางเป็นตัวปลอม เผชิญหน้าพยาน และคนมากมายกล่าวโทษเช่นนี้ มิควรจะลนลานคิดหนทางหลบหนีรึ เหตุใดยังนิ่งได้ถึงเพียงนี้
สีหน้าโม่ฉือหานยิ่งเย็นชาขึ้นหลายส่วน สายตาคมปลาบดุจใบมีดปรายมองนางจ้าว เขารู้ว่า เมื่อก่อนนางจ้าวผู้นี้จงใจตามใจหยุนถิง บัดนี้กลับกล้าออกมาเป็นพยาน หากหยุนถิงเป็นตัวปลอมจริง เช่นนั้นผู้ที่ขายหน้าคือจวนตระกูลหยุน
ฮ่องเต้มองหยุนถิงด้วยสายตาเย็นชาตลอด พลางมองพิจารณานาง นังหนูนี่มีทางแก้เสมอ ถนัดในการพลิกมาเอาคืน ตอนนี้ท่าทางมั่นใจเรียบเฉยของนางนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะมีทางแก้เผ็ดอะไรอีก
หยุนถิงฟังคำกล่าวโทษของทุกคนมาพอประมาณแล้ว ถึงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อทุกคนพูดจบแล้ว ก็ถึงตาข้าบ้างแล้วนะ ขอฝ่าบาทให้โอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์แก่หม่อมฉันด้วย!”
“ฝ่าบาท ซูมามาและนางจ้าวได้พิสูจน์ไปแล้วว่าหยุนถิงเป็นตัวปลอม เจ้าอย่าคิดจะมาหลอกลวงฝ่าบาท ขอฝ่าบาทรีบลงโทษสตรีผู้ที่แอบอ้างเป็นหยุนถิงผู้นี้ด้วยเถิด!” จี๋ผินรีบบอก
“จี๋ผินรีบร้อนอยากลงโทษข้าถึงตายเช่นนี้ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?” หยุนถิงย้อนถาม
คำพูดเดียวทำจี๋ผินเลิกลั่กขึ้นมาทันที นางพยายามควบคุมตนเองให้สงบนิ่งไว้ “ข้าจะมีจุดประสงค์อะไรได้ ข้าแค่ไม่อยากให้ฝ่าบาทถูกเจ้าหลอกเท่านั้นมิได้รึ?”
“งั้นรึ?” หยุนถิงยิ้มมุมปากอย่างเยาะหยัน
ไม่รู้ทำไม จี๋ผินเห็นรอยยิ้มเย็นที่มุมปากของหยุนถิงแล้ว รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีเลย
ห่างไปไม่ไกล องครักษ์เงามังกรพาคนสองคนเดินเข้ามา
“ท่านแม่!” หยุนเสี่ยวลิ่วกับหยุนหลิงร้องไห้โฮวิ่งเข้ามา
ทั้งสองคนผมเผ้ายุ่งเหยิง เนื้อตัวสกปรก ใบหน้ามีรอยเขียวช้ำ เสื้อผ้าขาดวิ่นไม่เหลือดี และยังมีรอยเลือด แค่ดูก็รู้ว่าโดนคนทุบตีทำร้ายมา
นางจ้าวน้ำตาไหลพรากทันที กอดลูกสองคนไว้แน่น “เสี่ยวลิ่ว หลิงเอ๋อร์พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง แม่ได้เจอพวกเจ้าอีกช่างดียิ่งนัก”
“ท่านแม่ ข้ากับพี่หญิงรองโดนคนลักพาตัว พวกเขารุมทุบตีพวกข้า โชคดีที่พี่หลงเอ้อร์ช่วยพวกข้าไว้!” หยุนเสี่ยวลิ่วร้องไห้บอก
“ท่านแม่ ข้านึกว่าจะไม่ได้เจอท่านอีกแล้ว!” หยุนหลิงก็น้ำตาไหลพรากเหมือนกัน
“ดียิ่งนักที่พวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ดียิ่งนัก” นางจ้าวร้องไห้โฮ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ฮ่องเต้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมพบสองคนนี้ในห้องเก็บของของตำหนักจี๋ผิน ตอนนั้นพวกเขาโดนมัดมือมัดเท้าไว้ และยังมีผ้าขาวยัดปากไว้อีก น่าอนาถนัก
ก่อนหน้านี้ตอนตามฮูหยินกลับจวนตระกูลหยุน เคยเจอสองคนนี้ เลยจำได้ว่าพวกเขาคือคุณชายเสี่ยวลิ่วและคุณหนูรองหยุนแห่งจวนตระกูลหยุน ดังนั้นกระหม่อมเลยพาคนมาที่นี่” หลงเอ้อร์ตอบทันที
จี๋ผินงงไปเลย “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่รู้จักพวกเขาเลยสักนิด ไม่เคยเจอด้วย ตำหนักข้ามิมีคนนอกคนใดเข้าไปเลย!”
“เช่นนั้นจี๋ผินเหนียงเหนียงจะอธิบายอย่างไรเล่า?” หยุนถิงย้อนถาม
คนอื่นยิ่งงงหนัก ไม่คิดว่าเรื่องจะกลับตาลปัตรอย่างนี้ พากันตกตะลึง
โดยเฉพาะพวกคนที่อิจฉาริษยาจนออกมากล่าวโทษดูถูกหยุนถิงเมื่อครู่ พากันรู้สึกเสียใจยิ่งนัก พวกนางลืมฝีมือในการเอาคืนของหยุนถิงไปได้อย่างไร นี่มิใช่ขุดหลุมฝังตัวเองหรอกรึ
นางกำนัลคนหนึ่งเดินออกมา นางคือนางกำนัลคนนั้นที่ทำชุดหยุนถิงเปียกชื้น “ฝ่าบาท ข้าน้อยเป็นพยานได้ จี๋ผินเหนียงเหนียงส่งคนไปจับตัวสองคนนี้มา จากนั้นทุบตีทำร้ายทรมานพวกเขา เมื่อครู่ก็เป็นจี๋ผินเหนียงเหนียงที่สั่งให้ข้าน้อยทำชุดคุณหนูหยุนเปียกชื้น จากนั้นเหนียงเหนียงก็พานางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนัก จะได้ให้ซูมามาใส่ร้ายได้ ขอฝ่าบาทช่วยท่านย่าของข้าน้อยด้วย เหนียงเหนียงเอาชีวิตของท่านย่ามาข่มขู่ข้าน้อย ข้าน้อยไม่อาจขัดขืนได้”
จี๋ผินถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล กำลังจะค้าน นางจ้าวกลับตัดหน้าก่อน พลางคุกเข่าร้องว่า “ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ไม่นานจี๋ผินเหนียงเหนียงไปที่คุกหลวงกลางดึก จะร่วมมือกับหม่อมฉัน บอกว่าให้ใส่ความว่าหยุนถิงเป็นตัวปลอม เพื่อกำจัดหยุนถิง หากหม่อมฉันไม่ยอมร่วมมือด้วย นางจะฆ่าลูกสองคนของหม่อมฉัน เมื่อครู่หม่อมฉันไม่มีทางเลือก ลูกชายหญิงสองคนอยู่ในมือจี๋ผินเหนียงเหนียง ในฐานะแม่ ได้แต่ทำใจพูดโกหกออกไป ใส่ความหยุนถิง ขอฝ่าบาทลงโทษด้วย คุณหนูหยุนคือหยุนถิงจริงแท้แน่นอน มิได้แอบอ้างแต่อย่างใด ทั้งหมดนี้เป็นแผนการร้ายของจี๋ผินเหนียงเหนียง”
ทุกคนในที่นั้นอึ้งไปตามๆกัน นี่มันพลิกตาลปัตรมากไปไหม ทุกคนไม่อาจรับได้ในเวลาสั้นแค่นี้
จี๋ผินถลึงตาใส่สองคนนี้อย่างเดือดดาลเคียดแค้น “ฝ่าบาท อย่าฟังพวกเขาโกหกนะเพคะ หม่อมฉันไม่รู้เลยว่าทำไมสองคนนี้ถึงมาปรากฏตัวในตำหนักของหม่อมฉันได้ หยุนถิง ต้องเป็นฝีมือหยุนถิงแน่เพคะ นางจงใจใส่ความหม่อมฉัน ฝ่าบาท หม่อมฉันบริสุทธิ์จริงๆนะเพคะ ขอฝ่าบาททรงให้ความเป็นธรรมด้วย!”
“คำพูดนี้ของจี๋ผินช่างน่าขันนัก สาวใช้นี้เป็นคนของเจ้า เจ้าเป็นคนเสนอให้เบิกตัวนางจ้าวมาเอง เสื้อผ้าของคุณหนูหยุนเจ้าก็เป็นคนทำเปียก กลลูกโซ่นี่เจ้าเป็นคนวางแผนเอง เมื่อครู่เจ้ายังยืดอกยืนกรานอยู่เลยว่า คุณหนูหยุนน่ะเป็นตัวปลอม อยากให้ฝ่าบาทลงโทษนาง!” หลิ่วเฟยเยาะหยัน
คำพูดนี้เท่ากับตบหน้าจี๋ผิน
“หลิ่วเฟย ปกติเจ้าก็ริษยาที่ข้าได้รับการโปรดปรานจากฝ่าบาท ใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าสนิทสนมกับหยุนถิง ถ้าพวกเขาโดนเจ้าซื้อตัวล่ะ?” จี๋ผินลนลานจนลืมคิดแล้ว
“ทำไมข้าต้องซื้อตัวพวกเขาด้วย ข้าเป็นเฟย ส่วนเจ้าเป็นแค่ผิน ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังเป็นหลานอาแท้ๆของไทเฮา ท่านพ่อก็เป็นผู้ช่วยสะสางเรื่องราชสำนัก แค่สนมตำแหน่งผินคนเดียวข้าจะเห็นในสายตารึ?” หลิ่วเฟยย้อนถาม
จี๋ผินรู้สึกหน้าแสบร้อนยิ่งนัก เมื่อครู่นางลนลานจนพูดผิดก็เสียใจมากแล้ว ชาติกำเนิดของหลิ่วเฟยกดทับนางตายได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์กับไทเฮาอีก
“นั่นเป็นเพราะเจ้าริษยาที่ฝ่าบาทโปรดปรานข้า” จี๋ผินได้แต่เชิดคอแข็งเถียง
“ความงามมิอาจคงอยู่ได้ตลอดไป สนมนางในวังหลังรับเข้ามาใหม่ทุกปี วันนี้ฝ่าบาทโปรดปรานเจ้า พรุ่งนี้ก็โปรดปรานคนอื่น ส่วนข้ายังคงเป็นหลิ่วเฟย หนึ่งในสี่พระสนมตำแหน่งเฟย!” หลิ่วเฟยตอกให้อีกดอก
จี๋ผินโกรธจนหน้าขาวซีด ลมขึ้นแทบจะเป็นลมไปเลย
หยุนถิงรีบย่อตัวลง ดึงปิ่นในมือออกมา แทงเข้าไปที่ไหล่ของจี๋ผินอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
“อ๊า! เจ็บนะ หยุนถิงเจ้ากล้าทำร้ายข้า!” จี๋ผินถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล เจ็บจนใบหน้าบิดเบี้ยว
“ท่านตั้งใจวางแผนมานานขนาดนี้ หากมาแกล้งสลบไป มิเท่ากับสบายไปหน่อยรึ!” หยุนถิงบอกอย่างไม่แคร์