จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 432 ใครกล้ามาส่งสายตากับซื่อจื่อเจ้า
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 432 ใครกล้ามาส่งสายตากับซื่อจื่อเจ้า
ทางนี้ หยุนถิงช่วยลงเข็มให้ชางหลันเย่อย่างละเอียด พลางตรวจร่างกาย ออกใบสั่งยา ให้โม่ฉีเฟิงไปจัดยาที่สำนักโอสถด้วยตัวเอง จากนั้นให้ลูกน้องเขาต้มยาในเรือน ทุกขั้นตอนให้อยู่ภายใต้สายตาตน
โม่ฉีเฟิงยังตั้งใจส่งองครักษ์หลายคนคุมสถานที่ ไม่ให้คนอื่นเข้าออกเรือนเลย มีเพียงคนสนิทของตนไม่กี่คนที่สามารถเข้าออกได้
วันนี้บรรยากาศทั้งเรือนตื่นเต้นอย่างมาก จวบจนฟ้ามืด จวินหย่วนโยวถึงได้พาหยุนถิงออกจากวัง หมอหลวงหลิวโดนฮ่องเต้ส่งไปดูแลชางหลันเย่
ฮว๋าเหม่ยเหรินมองดูความมืดยามราตรีด้านนอนแวบหนึ่ง คืนนี้เป็นโอกาสเดียวของนาง จะให้ชางหลันเย่ฟื้นขึ้นมาไม่ได้เด็ดขาด
เห็นเพียงฮว๋าเหม่ยเหรินเปลี่ยนเป็นชุดกลางคืนสีดำมืด กระโดดทางหน้าต่างจากไป มีหลายร่างหายวับไปในความมืดเช่นกัน
นางไม่ได้มุ่งไปที่เรือนชางหลันเย่โดยตรง แต่กลับไปทางตำหนักของหลิ่วเฟย คืนนี้ฮ่องเต้พักอยู่ที่ตำหนักของหลิ่วเฟย ดังนั้นฮว๋าเหม่ยเหรินเลยไปวางเพลิงที่นั่น
ไฟโหมแรงนัก พริบตาเดียวทั่วทั้งตำหนักก็ไหม้ลุกลามขึ้นมา แน่นอนว่ากระเทือนไปถึงคนอื่นในวังหลวง
“แย่แล้ว ตำหนักของหลิ่วเฟยไฟไหม้ ทุกคนรีบไปช่วยฝ่าบาทเร็ว!” เสียงฆ้องปากแตกของซูกงกงดังขึ้น สะเทือนไปทั่วทั้งพระราชวัง
องครักษ์ที่ลาดตระเวนอยู่ อีกทั้งกองทหารหลวงพากันรีบไปดับไฟ
ส่วนเรือนของชางหลันเย่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตำหนักของหลิ่วเฟย วินาทีที่ไฟไหม้ ก็มีขันทีมารายงานโม่ฉีเฟิงทันที
พอโม่ฉีเฟิงได้ยินว่าฝ่าบาทพำนักที่ตำหนักหลิ่วเฟย จึงเหลือองครักษ์สองคนเฝ้ายาม รีบพาคนอื่นเร่งรุดไปทันที
ฮว๋าเหม่ยเหรินที่ซ่อนอยู่ในความมืดพลันยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา มองเห็นรอบด้านไร้ผู้คน รีบผลันร่างไป และทำองครักษ์สองคนสลบจากด้านหลัง จากนั้นผลักประตูเข้าไป
ในห้อง ชางหลันเย่นอนอยู่บนเตียง หมอหลวงหลิวที่อยู่ข้างๆกำลังเก็บยา พอหมอหลวงหลิวได้ยินความเคลื่อนไหวจากด้านหลัง กำลังจะหันกลับไป ก็โดนฮว๋าเหม่ยเหรินซัดฝ่ามือจนสลบไป
ในมือฮว๋าเหม่ยเหรินมีมีดสั้นขึ้น นางพุ่งไปที่เตียง ทำท่าจะแทงลงไปที่ชางหลันเย่นอนนิ่งไม่ขยับตัว!
ทันใดนั้นพลันมีกระบี่ยาวโจมตีเข้ามา โดนมีดสั้นนั้นพอดี ทำให้ชางหลันเย่รอดพอดี
“ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวแล้ว!” หลงเอ้อร์แค่นเสียงเย็น
ฮว๋าเหม่ยเหรินใจกระตุกวูบ “น่าตายนัก พวกเจ้ากล้าวางแผนหลอกข้า!”
“โชคดีที่ซื่อจื่อเฟยของเราฉลาด นี่เรียกให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว ตายซะ!” กระบี่ยาวในมือหลงเอ้อร์แทงลงมา
ฮว๋าเหม่ยเหรินรีบหลบทันที แต่นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลงเอ้อร์เลย ไม่กี่กระบวนท่าก็พ่ายแพ้ เลยรีบหนีไปทางประตู
เพียงแต่วินาทีที่ประตูเปิดออกนั้น ในเรือนเต็มไปด้วยกองทหารหลวงโดยมีโม่ฉีเฟิงเป็นหัวหน้า ทุกคนมีธนูครบมือเตรียมพร้อม เล็งไปที่หน้าประตูโดยพร้อมเพรียง
“หากรู้สำนึกรีบมอบตัวซะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะตายไร้แผ่นดินกลบหน้าแน่!” โม่ฉีเฟิงบอกเสียงเย็น
สีหน้าฮว๋าเหม่ยเหรินเย็นชาราวน้ำแข็ง นางรู้ดีว่าตนไม่รอดแน่ พูดเสียงเย็น “วันนี้ข้าพลาดเอง!” พูดจบ ก็กัดยาพิษที่ซ่อนในฟันให้แตก ตายคาที่
หลงเอ้อร์อยากจะยับยั้งก็ไม่ทันการณ์แล้ว มองดูคนที่ล้มลงพื้นด้วยความโกรธ รีบไปกระชากผ้าปิดหน้านางออก
“ฮว๋าเหม่ยเหริน?” โม่ฉีเฟิงแปลกใจเช่นกัน
“ดันเป็นสนมของฮ่องเต้ ดูท่าสายลับในพระราชวังของพวกท่านนี่ไม่น้อยเลยนะ ข้าไปก่อนล่ะ!” หลงเอ้อร์หมุนตัวจากไป
“ใครก็ได้ หามฮว๋าเหม่ยเหรินไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท!” โม่ฉีเฟิงออกคำสั่ง
“ขอรับ”
ไฟในตำหนักของหลิ่วเฟยดับลงแล้ว โชคดีที่ฝ่าบาทและหลิ่วเฟยไม่ได้บาดเจ็บ ฮ่องเต้เดือดดาลเคียดแค้นนัก รีบให้คนไปสืบทันที
ตำหนักหลิ่วเฟยถูกเผา ฝ่าบาทให้นางไปพักผ่อนที่ตำหนักเหยียนซิ่ง ตนเองกลับไปห้องทรงพระอักษร
พอได้ยินว่าฮว๋าเหม่ยเหรินจะฆ่าปิดปากชางหลันเย่ ฮ่องเต้โกรธจัด “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ พูดมาให้ชัดเจนสิ?”
“กราบทูลฝ่าบาท อันที่จริงชางไท่จื่อตายแล้ว การที่คุณหนูหยุนแสดงละครว่าชางไท่จื่อยังไม่ตาย ก็เพื่อหาตัวฆาตกรที่วางยาพิษ
นางจงใจอยู่ในนี้หนึ่งวัน ให้กระหม่อมส่งคนมาช่วย ให้คนต้มยา และยังให้หมอหลวงหลิวช่วยดู เพื่อให้ทุกคนเชื่อว่าชางไท่จื่อยังมีชีวิตอยู่
คุณหนูหยุนบอกว่า นางพอคุ้นเคยกับชางไท่จื่ออยู่บ้าง ในเมื่อไม่อาจช่วยเขาได้ อย่างน้อยก็ต้องสืบหาตัวฆาตกรให้ได้ ให้เขาไปอย่างสงบ แบบนี้ฝ่าบาทก็จะมีคำบอกกล่าวแคว้นชางเยว่ได้!” โม่ฉีเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม
ฮ่องเต้สีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาดำขลับมีแววผิดหวังและเจ็บแค้น “หยุนถิงนี่กล้ากระทำการลงไปก่อนค่อยมารายงาน ทำเอาข้าคิดว่าชางหลันเย่รอดแล้วจริงๆ!”
บัดนี้ชางหลันเย่หมดทางช่วยแล้ว ฮ่องเต้ผิดหวังยิ่งนัก
“ฝ่าบาท คุณหนูหยุนทำอย่างนี้เป็นเพราะความจำเป็น นางบอกว่า ฝ่าบาทมิต้องประทานรางวัลให้นาง ขอเพียงไม่ลงโทษนางที่ตัดสินใจเองพลการก็พอแล้ว
นางบอกว่าคืนนี้ต้องมีคนไปลอบฆ่าชางไท่จื่อแน่ ขอเพียงจับตัวฆาตกรคนนี้ได้ก็จะสืบได้ว่านางเป็นสายลับของแคว้นใด แบบนี้ฝ่าบาทก็จะได้หลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัย”
“นางรู้ตัวดีอยู่นี่ โม่ฉีเฟิง เจ้ารีบไปสืบพื้นเพหนาบางของฮว๋าเหม่ยเหริน กล้ามากระทำการเหิมเกริมในวังหลังของข้า ข้าจะไม่ละเว้นแน่!” ฮ่องเต้ตะคอกดังอย่างเดือดดาล
ฮว๋าเหม่ยเหรินน่าตายนัก ดันเป็นสายลับที่คนอื่นวางไว้ข้างกายตน กล้ามากระทำการเหิมเกริมในวังหลังของข้า ฮ่องเต้จะไม่ยั้งมือเด็ดขาด
“กระหม่อมรับบัญชา!”
……
จวนซื่อจื่อ
หลงเอ้อร์รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงให้หยุนถิงฟังอย่างละเอียด ทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของหยุนถิง
จวินหย่วนโยวฟังแล้วขมวดคิ้ว “คิดไม่ถึงว่า คนของวังแคว้นชางเยว่นั่งไม่ติดแล้ว”
“ซื่อจื่อ พูดเช่นนี้แสดงว่าฮว๋าเหม่ยเหรินเป็นคนของแคว้นชางเยว่?” หยุนถิงถาม
“อืม นางเป็นคนของหยางเฟยแห่งแคว้นชางเยว่ หยางเฟยเป็นแม่ของชางหยุนสี่และชางเยว่หมิง” จวินหย่วนโยวอธิบาย
หยุนถิงถึงบางอ้อทันที “คือกลัวชางหลันเย่กลับไป แล้วจะส่งผลเสียกับตำแหน่งของชางเยว่หมิงกระมัง จิตใจสตรีนี่เหี้ยมโหดที่สุดจริงๆ”
“ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เจ้าเป็นข้อยกเว้น” จวินหย่วนโยวเลิกคิ้วบอก
หยุนถิงหัวเราะแหะๆ “นั่นเป็นเพราะผู้อื่นยังไม่ได้แตะเส้นตายของข้า เช่น มีคนต้องการแย่งคนของข้า ส่งสายตาชม้อยชม้ายแลตากับซื่อจื่อ ข้าจะต้องควักลูกตานางแน่”
“ฮะฮะ เช่นนั้นได้”
ทั้งสองคนพูดจาหัวเราะต่อกัน หยุนถิงอาเจียนลมอีกครั้ง จวินหย่วนโยวีบยกเบย์เบอร์รี่มาทันที
“กินเสียก่อน นี่จะต้องทรมานไปถึงเมื่อไหร่กัน เจ้าเด็กนี่ดื้อดึงเสียจริง กล้าทำให้ท่านแม่เจ้าไม่สบาย รอเจ้าเกิดมาแล้วข้าจะตีก้นเจ้า!” จวินหย่วนโยวตะคอกเสียงเย็น
หยุนถิงถูกเขาทำขบขัน “ซื่อจื่อ ตอนนี้เขายังเล็กนัก ดูท่าจะใหญ่เท่าไข่ไก่กระมัง ฟังมิรู้ความดอก”
“ฟังไม่เข้าใจก็ต้องฟัง กล้าทำเจ้าไม่สบายขนาดนี้” จวินหย่วนโยวยื่นเบย์เบอร์รี่มาให้หนึ่งชิ้น และส่งให้ถึงปากหยุนถิงด้วยตัวเอง
นอกเรือน คนรับใช้คนหนึ่งมารายงาน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย หลู่อ๋องและหลู่หวางเฟยขอเข้าพบขอรับ!”
หยุนถิงถึงนึกขึ้นมาได้ “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”
“ขอรับ!”
ไม่นานคนรับใช้ก็พาตัวหลู่อ๋องและหลู่หวางเฟยเข้ามา หลู่อ๋องคุกเข่าโขกศีรษะให้หยุนถิงทันที “ซื่อจื่อเฟย ขอบคุณท่านมากนัก คราวนี้จวนหลู่อ๋องของข้าได้มีผู้สืบทอดเสียที บุญคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก!”
“ขอบคุณคุณหนูหยุนนักที่ทำให้ข้าได้มีลูกเป็นของตนเอง ต่อไปหากคุณหนูหยุนต้องการเมื่อใด ข้าจะมิรอช้าแน่นอน!” หลู่หวางเฟยบอกอย่างซาบซึ้ง ดวงตาแดงเรื่อ