จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 457 ซื่อจื่อของเรากำลังดูแลซื่อจื่อเฟย ไม่ว่าง
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 457 ซื่อจื่อของเรากำลังดูแลซื่อจื่อเฟย ไม่ว่าง
ทางด้านนี้ ฮูหยินหานกั๋วกำลังได้ใจอยู่ ฉางเซิ่นส่งคนมาส่งข่าวว่าทำสำเร็จแล้ว เมื่อคิดว่าหยุนถิงกำลังจะตายในไม่ช้า ฮูหยินหานกั๋วก็ดีใจอย่างมาก
แต่แล้วประตูลานก็ถูกคนผลักออก จากนั้นฉางเซิ่นก็วิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก “ฮูหยินช่วยด้วย!”
ทันทีที่เห็นฉางเซิ่น สีหน้าของฮูหยินหานกั๋วก็เคร่งขรึมลงมาทันที “เจ้ามาหาข้าเวลานี้ทำไมกัน?”
“ฮูหยิน ได้โปรดช่วยข้าน้อยด้วย จวินซื่อจื่อนำกำลังคนไปที่ค่ายทหาร และตรวจสอบทีละคน ยอมฆ่าผิดหนึ่งพันคน ก็จะไม่ปล่อยให้หนึ่งร้อยหนีไปได้เด็ดขาด แค่มีความน่าสงสัยก็ถูกซ้อมจนกระอักเลือด ข้าลงมือตามคำสั่งของท่านนะ ท่านจะไม่สนใจข้าไม่ได้!” ฉางเซิ่นขอร้อง
“เลอะเลือน เจ้าวิ่งมาเช่นนี้มิเท่ากับยอมรับสารภาพออกมาเองโดยไม่ต้องคาดคั้นหรอกหรือ รีบกลับไปเลย ข้าคิดว่าวิธีเอง” ฮูหยินหานกั๋วกล่าวด้วยความโกรธ
“ฮูหยิน ข้าไม่กลับไป หากกลับไปก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น ถ้าอย่างไรท่านให้เงินข้า ข้าหนีไปแล้วกัน ข้าสัญญาว่าชาตินี้จะไม่เข้าเมืองหลวงอีก จะไม่ให้คนของจวินซื่อจื่อหาเจอเด็ดขาด” ฉางเซิ่นคุกเข่าคารวะหน้าผากแตะพื้นทันที
เสียงดังตึงๆ แค่ฟังก็รู้ว่าโขกแรงมาก
“ฮูหยิน ท่านเป็นคนเลี้ยงจวินซื่อจื่อจนเติบโต หากไม่มีท่าน เขาคงมีชีวิตไม่ถึงตอนนี้ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเราเป็นคนลงมือ อย่างมากก็แค่ชดใช้ซื่อจื่อเฟยให้เขาคนหนึ่งก็พอ เราจะได้ส่งคนของเราไปอยู่ข้างกายของจวินซื่อจื่อด้วย” มามารีบเอ่ยปาก
ตั้งแต่ถูกหยุนถิงจัดการครั้งก่อน มามาก็ผูกใจเจ็บ การลอบโจมตีหยุนถิงในครั้งนี้มามาย่อมเป็นผู้เสนอขึ้นมาอยู่แล้ว
สีหน้าที่โมโหของฮูหยินหานกั๋วถึงได้บรรเทาลงเล็กน้อย “ถูกต้อง จวินหย่วนโยวฟังคำพูดของข้าที่สุด ครั้งก่อนข้าไม่ได้พบจวินหย่วนโยว นังแพศยาหยุนถิงถึงได้กำเริบเสิบสาน หากจัดการนางจริงๆ จวินหย่วนโยวก็ยังต้องฟังคำพูดข้าอยู่ ส่งเขาออกไปเถอะ”
“ขอบคุณฮูหยินที่ช่วยชีวิต!” ฉางเซิ่นรู้สึกขอบคุณไม่สิ้นสุด
มามาหยิบถุงเงินออกมาหนึ่งถุง ฉางเซิ่นรับเงินและจากไปทางประตูหลัง
เขาเดินผ่านถนนสองสาย ในใจกำลังคิดว่าจะไปหลบที่ไหนดี แต่แล้วองครักษ์ลับคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมา ใช้ฝ่ามือสับเขาหมดสติ และพาเขาจากไป
ทางด้านนี้ หยุนถิงและคนอื่นๆกลับมาจากค่ายทหาร ในตอนที่ลงมาจากรถม้า จวินหย่วนโยวอุ้มหยุนถิงเข้าไปในจวนซื่อจื่อ คนผ่านไปผ่านมาเห็นภาพฉากนี้ ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป ข่าวเรื่องหยุนถิงถูกลอบสังหารที่ค่ายทหารก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงของแคว้นต้าเยียน
โดยเฉพาะชาวบ้านที่เห็นหยุนถิงถูกอุ้มเข้าไปในจวนซื่อจื่อก่อนหน้านี้ ก็ยิ่งเชื่อในเรื่องนี้
รั่วจิ่งนำบรรดาองครักษ์ไปโอบล้อมลานของฮูหยินหานกั๋วด้วยตัวเอง แน่นหนาจนแม้แต่น้ำหยดก็ไม่สามารถไหลผ่าน แมลงวันตัวหนึ่งก็ยังไม่สามารถบินเข้าไปได้
หลังจากฮูหยินหานกั๋วที่อยู่ในลานได้ยินเข้า ก็โกรธจนใบหน้าซีดขาว “น่าชิงชังนัก ถึงกับกล้ามาล้อมลานของข้า พวกเขากินดีหมีหัวใจเสือเข้าไปหรือถึงได้ไม่กลัวตาย!”
“ฮูหยิน ฉางเซิ่นจากไปแล้ว พวกเขาไม่มีหลักฐานเลยด้วยซ้ำ ขอเพียงเรายืนกรานไม่ยอมรับ พวกเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้” มามาปลอบโยน
“เจ้าพูดถูกแล้ว จวินหย่วนโยวช่างเป็นคนอกตัญญูจริงๆ ข้าอุตส่าห์ใจดีเลี้ยงดูเขา เขากลับปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่” ฮูหยินหานกั๋วกล่าวด้วยความโมโห
ดังนั้นฮูหยินหานกั๋วจึงพามามากับผู้ติดตามสองคนออกจากประตูไป
รั่วจิ่งที่อยู่นอกประตูเห็นพวกนางออกมา ไม่ได้ขัดขวาง เพียงแค่มองดูด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก
“พวกเจ้าล้อมลานของข้าเช่นนี้ถือเป็นอะไรกัน ให้จวินหย่วนโยวมาพบข้าเดี๋ยวนี้!” ฮูหยินหานกั๋วกล่าวโดยแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า
รั่วจิ่งมองดูนางด้วยนางด้วยสายตาเย็นชาครู่หนึ่ง “ซื่อจื่อของเรากำลังดูแลซื่อจื่อเฟย ไม่ว่าง!”
ฮูหยินหานกั๋วโกรธแทบตาย “องครักษ์เล็กๆคนหนึ่งก็กล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้าข้า ให้คนของพวกเจ้าถอนกำลังออกไปเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะไปร้องเรียนที่พระราชวัง”
“เชิญฮูหยินตามสะดวก!” รั่วจิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ
“เจ้า น่าชิงชังนัก คอยดูเถอะ ข้าจะต้องให้พวกเจ้าเจอดีแน่นอน! เด็กๆไปเตรียมรถม้า ข้าจะเข้าวัง!” ฮูหยินหานกั๋วโกรธจนใบหน้าซีดขาวไปหมด
ผู้ติดตามไปสวมรถม้าทันที จากนั้นกลุ่มคนของฮูหยินหานกั๋วก็ขึ้นรถม้าจากไป
รั่วจิ่งนำกำลังคนสองสามคนตามหลังรถม้าด้วยตัวเอง จับตาดูจากระยะไม่ใกล้ไม่ไกล ในขณะที่องครักษ์คนอื่นๆอยู่โอบล้อมลานเอาไว้
พระราชวัง
ทันทีที่นึกถึงท่าทางที่โอหังของรั่วจิ่ง ฮูหยินหานกั๋วก็โมโหแทบแย่ เมื่อเห็นฮ่องเต้ก็รีบร้องไห้ปรับทุกข์และร้องเรียนทันที
เพียงแต่ยังไม่ทันที่นางจะกล่าวจบ เสียงที่เย็นชาดุร้ายของฮ่องเต้ก็ดังมาจากเหนือศีรษะ “ฮูหยินหานกั๋วเจ้าสั่งการให้คนไปลอบโจมตีหยุนถิง ทำให้นางได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ได้สติ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตื่น เจ้ารู้ความผิดหรือไม่!”
เสียงที่เฉียบคม แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม ทำให้คนฟังสั่นสะท้านแม้จะไม่หนาว
ฮูหยินหานกั๋วตัวสั่นขึ้นมา มองไปทางฮ่องเต้อย่างไม่อยากจะเชื่อ ฝ่าบาทรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร หรือว่าจวินหย่วนโยวชิงเข้าวังก่อนตัวเองก้าวหนึ่ง
เป็นไปไม่ได้ ฉางเซิ่นก็จากไปแล้ว เขาไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด
“ฝ่าบาท ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสมา จวินหย่วนโยวยโสโอหัง ให้องครักษ์ล้อมลานของข้าเอาไว้ ยังกล่าววาจาให้ข้าอับอาย ขอฝ่าบาทโปรดตรวจสอบอย่างชัดเจนด้วยเถิด!” ให้ตายอย่างไรฮูหยินหานกั๋วก็ไม่ยอมรับ
นัยน์ตาสีดำที่ลึกล้ำของฮ่องเต้เฉียบคมและมืดมน แนวกรามเกร็งตึง เวลานี้ท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดลงแล้ว ภายใต้แสงเทียนยิ่งเสริมให้ฮ่องเต้ดูอันตรายและชั่วร้าย
“ซูกงกง!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ซูกงกงให้คนนำฉางเซิ่นเข้ามาทันที
องครักษ์สองคนหิ้วตัวฉางเซิ่นเข้ามา และโยนเขาลงไปบนพื้น
ฉางเซิ่นที่หมดสติถึงได้ตื่นขึ้นมา เมื่อลืมตาและเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า ก็ตกใจแทบแย่ทันที “ฝ่าบาท ทำไมข้าถึงอยู่ที่นี่ได้?”
“ฉางเซิ่นเจ้าช่างบังอาจนัก ลอบโจมตีหยุนถิง ยังไม่รีบสารภาพมาตามความจริงอีก หากเจ้ากล้าปิดบังแม้แต่ครึ่งคำ ประหารเก้าชั่วโคตร ห้าอาชาแยกร่าง ทำลายกระดูกให้กลายเป็นเถ้าถ่าน!” ฮ่องเต้ตรัสด้วยความกริ้ว
สีหน้าของฮูหยินหานกั๋วตึงเครียดเล็กน้อย มือที่ห้อยอยู่ในแขนเสื้อกำหมัดเอาไว้แน่น หวาดกลัวอย่างมาก บนใบหน้ากลับทำเป็นใจเย็น “ฉางเซิ่น——”
“บังอาจนัก ฝ่าบาทยังไม่ได้ถามเจ้า เจ้าถึงกับกล้าพูดเองโดยพลการ ตบปาก!” ซูกงกงกล่าวอย่างเย็นชา
นางกำนัลที่อยู่หน้าประตูคนหนึ่งเดินเข้ามา ตบหน้าของฮูหยินหานกั๋ว
เสียงที่ดังฟังชัดนั่น ทำให้คนฟังรู้สึกหวาดกลัว ฉางเซิ่นตกใจจนปัสสาวะรดกางเกงทันที คนทั้งคนรีบคุกเข่าลง “ฝ่าบาท ฮูหยินหานกั๋วเป็นคนสั่งให้ข้าลอบโจมตีคุณหนูหยุน นางบอกว่าหลังจากเสร็จเรื่องแล้วจะให้ข้าหนึ่งหมื่นตำลึง ให้ข้าไม่ต้องกังวลเรื่องกินดื่มไปตลอดชีวิต ขอฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด!”
“ฝ่าบาทไว้ชีวิตด้วย ทหารคนนี้ใส่ร้ายข้า ข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย” ฮูหยินหานกั๋วคุกเข่าขอความเมตตา
หากนางยอมรับ ฝ่าบาทจะไม่ฆ่านางหรอกหรือ
ฉางเซิ่นหยิบถุงเงินนั่นออกมาทันที “ฝ่าบาท นี่คือสิ่งที่มามาข้างกายของฮูหยินให้ข้า ฝ่าบาทสามารถเบิกตัวมามาเพื่อยืนยันต่อหน้า”
“เบิกตัว!” ฮ่องเต้กล่าวอย่างเย็นชา
ไม่นานนัก ทหารสองคนก็นำตัวมามาเข้ามา ทันทีที่มามาเห็นฮูหยินของตัวเองใบหน้าฟกช้ำราวกับหัวหมู แถมยังคุกเข่าอยู่กับฉางเซิ่น ก็ตกใจแทบแย่ในทันที
“เจ้าทาสบังอาจ เงินนี่เจ้าเป็นคนให้ฉางเซิ่นใช่หรือไม่? หากเจ้าไม่พูดความจริง กล้าปิดบังต่อหน้าพระพักตร์ นั่นเป็นถึงความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง เจ้าต้องคิดดูให้ดีก่อนจะพูดออกมา!” ซูกงกงกล่าวเสียงเย็นชา