จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 463 เจ้าตบบ่าซวนอ๋องได้อย่างไร
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 463 เจ้าตบบ่าซวนอ๋องได้อย่างไร
“เหนียงเหนียงฉลาดที่สุด” นางกำนัลพูดขึ้นอย่างชื่นชม
ทางด้านฮ่องเต้เมื่อออกมาจากตำหนักฉินเฟย ก็รีบกลับไปยังห้องทรงพระอักษร ตามองครักษ์ที่พาหยุนหลิงเข้ามาคนนั้นมาเข้าเฝ้า
“ตลอดทางที่มาเจ้าได้เจอใครไหม เล่าสถานการณ์ตอนที่หยุนหลิงตกน้ำให้ละเอียด” ฮ่องเต้พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา
“เรียนฮ่องเต้ ตลอดทางที่ข้าน้อยกับคุณหนูหลิงเข้ามาในวัง ไม่ได้เจอใครเลย เดินไปถึงสระน้ำตรงอุทยาน จู่ๆคุณหนูหลิงก็ตกน้ำ อาจเป็นเพราะนางยืนไม่มั่นคง
คุณหนูหลิงยังไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นข้าน้อยจึงไปตามนางกำนัลใกล้คนหนึ่งมาช่วยนาง นางกำนัลคนนั้นก็หามาอย่างเร่งด่วน” องครักษ์บอกเล่าตามความจริง
ฮ่องเต้ฟังอยู่อย่างขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้ากลับไปก่อน”
“ขอรับ”
ห้องทรงพระอักษรที่กว้างใหญ่ เหลือเพียงฮ่องเต้กับซูกงกง ฮ่องเต้พูดขึ้นด้วยสีหน้าหนักใจว่า “หยุนหลิงเพิ่งพูดว่าจะมาฟ้องข้า สุดท้ายก็เกิดเรื่อง หใดสติไม่ฟื้น ทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้?”
ซูกงกงที่อยู่ด้านข้าง พูดขึ้นว่า “บางทีนี่อาจเป็นเรื่องบังเอิญ ยังไงคุณหนูหยุนก็ยังหมดสติอยู่ เวลานี้หมอหลวงหลิวก็อยู่ในจวนซื่อจื่อ หากคุณหนูหยุนฟื้นขึ้นมาแล้ว จะต้องมากราบทูลแน่”
“พูดมีเหตุผล แต่ข้ามักรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัย”
“ฮ่องเต้ ข้าน้อยขอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด ปกติคุณหนูหลิงกับคุณหนูหยุนไม่ถูกกัน ความลับที่นางจะบอกเป็นจริงหรือเท็จก็ไม่รู้ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เป็นความจริง ด้วยนิสัยของคุณหนูหยุน ท่านคิดว่านางเป็นคนที่ยอมถูกข่มขู่ได้ง่ายๆหรือ” ซูกงกงพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ
ฮ่องเต้เลิกคิ้วหันมามอง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าทาส นี่เจ้าสงสัยข้าหรือ?”
ซูกงกงตกใจคุกเข่านั่งลง พร้อมพูดขึ้นว่า “ขอฮ่องเต้โปรดอภัย ต่อให้ข้าน้อยมีความกล้าเป็นร้อย ข้าน้อยก็ไม่กล้าสงสัยฮ่องเต้”
ข้าน้อยเพียงแค่รู้สึกว่า ถึงคุณหนูหยุนจะเป็นผู้หญิง แต่ก็เฉลียวฉลาด เพียงฮ่องเต้ตรัสประโยคเดียว คุณหนูหยุนก็สามารถคลี่คลายปัญหาให้ฮ่องเต้คลายกังวล
คุณหนูหยุนเป็นคนรอบคอบขนาดนั้น แล้วจะให้คนอื่นรู้ความลับของนางง่ายๆได้อย่างไร ต่อให้คุณหนูหลิงรู้มาโดยบังเอิญ แต่หากฮ่องเต้จะใช้ความลับควบคุมคุณหนูหยุน เกรงว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย แกล้งทำเป็นไม่รู้จะดีกว่า”
ดวงตาดำเฉียบคมของฮ่องเต้มืดลึก เหลือบมองดูซูกงกง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้ามีความคิดเห็นเช่นนี้ ข้าซาบซึ้งใจมาก ข้างกายข้าต้องมีคนมีหัวคิดเหมือนอย่างเจ้า เดี๋ยวไปรับเงินสองร้อยตำลึง ข้าให้รางวัลเจ้า” ฮ่องเต้พูดขึ้นมา
“ขอบพระทัยฮ่องเต้”
…………….
ทางนี้ ซวนอ๋องออกจากวังแล้วก็ตรงไปหาจวนซื่อจื่อ เห็นหยุนถิง จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวังให้นางฟัง
สีหน้าหยุนถิงเย็นชา นางคิดไม่ถึงว่าหยุนหลีจะยังไม่ตายใจถึงเพียงนี้ สามารถหลบสายตาคนของจวนซื่อจื่อ เปลี่ยนสวมชุดผู้ชายแล้วเข้าวัง คิดถึงความผิดปกติของนางเมื่อกี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า หยุนหลิงจะต้องอยากไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ กราบทูลฮ่องเต้เรื่องที่นางแกล้งหมดสติ
เห็นที นางใจดีกับหยุนหลิงเกินไป
ยังไม่รอให้หยุนถิงได้พูดอะไร สีหน้าหยุนเฉิงเซี่ยงก็เยือกเย็นลง พร้อมพูดขึ้นว่า “หลิงเอ๋อร์ไปทำอะไรในวัง?”
“พี่รองคงไม่ได้เข้าวังไปฟ้องว่า พี่ใหญ่ไม่ได้หมดสติหรือเปล่า?” หยุนซูพูดขึ้นมา
คำพูดประโยคเดียว บรรยากาศภายในห้องต่ำลงทันที
“พี่รองทำแบบนี้ได้อย่างไร พี่ใหญ่ช่วยนางขนาดนี้ ทำไมนางถึงอยากทำร้ายพี่ใหญ่ เนรคุณมากเลย ข้าจะกลับไปสั่งสอนนางแทนพี่ใหญ่เดี๋ยวนี้” หยุนหลีโมโหขึ้นมา พูดว่าไปก็จะไป
“ตอนนี้นางหมดสติไม่ฟื้น เจ้าไม่ต้องลงมือ” โม่เหลิ่งเหยียนพูดขึ้นมา
“ใช่” หยุนหลีค่อยได้สติกลับมา เดินไปตบบ่าโม่เหลิ่งเหยียนอย่างแมนๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ซวนอ๋องใช้ได้จริงๆ ช่วยพี่ใหญ่ขนาดนี้ ขอบใจนะ”
ทุกคนต่างตกตะลึง ซวนอ๋องโด่งดังในเรื่องโหดเหี้ยมอำมหิต ถูกขนานนามว่าเป็นมัจจุราชที่น่ากลัว ยิ่งเป็นคนรักความสะอาดเหมือนกับจวินหย่วนโยว ไม่เคยให้ผู้หญิงเข้าใกล้ประชิดตัว นอกจากหยุนถิง
เวลานี้หยุนหลีกลับตบบ่าซวนอ๋อง ทำให้ทุกคนตกใจอย่างมาก
โม่เหลิ่งเหยียนเหลือบมองดูไหล่ซ้ายของตนเอง ตรงที่เมื่อกี้หยุนหลีเพิ่งตบ
“ขอซวนอ๋องโปรดอภัย ข้าค่อนข้างปล่อยตัวจนเคยชิน หลีเอ๋อร์ยังไม่รีบขอโทษซวนอ๋อง” หยุนเฉิงเซี่ยงรีบพูดขึ้นมา
ผู้หญิงที่ประชิดตัวซวนอ๋องครั้งที่แล้ว ได้ยินว่าถูกเขาฉีกร่างเป็นชิ้นๆ ศพถูกทิ้งตามท้องถนนเพื่อเป็นตัวอย่าง คนในเมืองหลวงทั่วทั้งแคว้นต้าเยียนต่างก็รู้เรื่องนี้ ดังนั้นหยุนเฉิงเซี่ยงจึงตื่นเต้นอย่างมาก
หยุนหลีพูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “พ่อ ทำไมข้าต้องขอโทษ?”
“นังเด็กคนนี้ ปกติไม่มีมารยาทก็ช่างเถอะ เจ้าตบบ่าซวนอ๋องได้อย่างไร?” หยุนเฉิงเซี่ยงพูดขึ้นมา
“พ่อ เขาเป็นเพื่อนของพี่ใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นเพื่อนข้าเหมือนกัน ข้าตบบ่าเขาแล้วยังไง?”
โม่เหลิ่งเหยียนเลิกคิ้วที่เย็นชาคมเข้มเล็กน้อย ไม่เคยมีใครพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน หยุนหลีเป็นคนแรก
“ยังพูดว่ายังไง เจ้าอยากตายหรือ?” หยุนเฉิงเซี่ยงยื่นมือไปหยิกหูหยุนหลี
“ไอโย้เจ็บ พ่อ หูของข้า ข้าสงสัยแล้วว่าเจ้าเก็บข้ามาเลี้ยงหรือเปล่า” หยุนหลีพูดเถียง
“อย่าถือสา น้องสี่ของข้าถึงจะเอาแต่ใจไปหน่อย แต่ไม่มีความคิดร้ายอะไร” หยุนถิงพูดคลี่คลายสถานการณ์ขึ้นมา
“ไม่เป็นไร” โม่เหลิ่งเหยียนพูดขึ้น
ประโยคเดียว หยุนเฉิงเซี่ยงกับคนอื่นต่างตกตะลึง ในขณะเดียวกันก็แอบโล่งอก
“ขอบใจ ในเมื่อทุกคนอยู่พร้อมหน้า งั้นตอนเที่ยงอยู่กินเนื้อย่างด้วยกัน?” หยุนถิงหัวเราะพูดขึ้นมา
“ดี”
พ่อบ้านรีบไปสั่งให้ในครัวเตรียมของ เนื้อย่างเป็นสิ่งที่เขาชอบที่สุด วันนี้ได้กินของอร่อยแล้ว
ผ่านไปไม่นาน บนโต๊ะใหญ่วางเต็มไปด้วยวัตถุดิบมากมาย ยังมีถ่านด้วย หยุนถิงปรุงน้ำจิ้มด้วยตนเอง แนะนำวิธีกินอย่างง่ายๆแล้ว ทุกคนก็ลงมือกันขึ้นมา
ซวนอ๋องทานเนื้อเข้าไปหนึ่งคำ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ไม่เลวจริงๆ หอมแต่ไม่เลี่ยน ห่อด้วยผักกาดแก้วนี้รสชาติอร่อยจริงๆ”
“สามารถทำให้ซวนอ๋องพูดชมแบบนี้ งั้นข้าก็วางใจ เตรียมเปิดร้านได้แล้ว” หยุนถิงพูดขึ้นอย่างพอใจ
“พี่ใหญ่ ข้ามาร่วมหุ้นกับจวนซื่อจื่อได้ไหม ต่อไปข้าจะกินข้าวที่บ้านเจ้า เนื้อย่างนี้หอมมากเลย” หยุนหลีพูดขึ้นมาอย่างไม่ชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้าเด็กโง่ หากเจ้าอยากกิน ก็ไปกินที่ร้านปิ้งย่างของซูเอ๋อร์ ไม่ดีกว่าหรือ”
“ใช่ๆ พี่สาม ต่อไปเรื่องอาหารการกินข้า จะไปหาเจ้า”
“ได้ กินให้เต็มที่” หยุนซูพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“ร่วมหุ้นด้วย ต้องร่วมหุ้นด้วย” หยุนเฉิงเซี่ยงพูดชมไม่ขาดปาก อย่างพอใจมาก
ถิงเอ๋อร์ไม่เพียงกินเป็น ยังหารายได้เก่ง ทำไมตนเองถึงได้มีลูกสาวดีขนาดนี้
องค์ชายสี่มาหาหยุนถิง เพื่อเห็นพวกเขากินเนื้อย่างกันก็พูดขึ้นมายังไม่พอใจว่า “หยุนถิง พวกเจ้าแอบกินเนื้อย่างลับหลังข้า ซวนอ๋อง เจ้าบอกว่ามีเรื่องไปรายงานเสด็จพี่ไม่ใช่หรือ ทำไมมาอยู่ที่นี่?”
“ข้ารายงานเสร็จแล้ว” โม่เหลิ่งเหยียนพูดขึ้นมา
“ถวายบังคมองค์ชายสี่” หยุนเฉิงเซี่ยงพูดขึ้น
“หยุนเฉิงเซี่ยงไม่ต้องเกรงใจ บนโต๊ะอาหารไม่แบ่งสถานะ ทานด้วยกันก็พอ” โม่ฉือชิงพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วก็กินทันที
ทุกคนทานข้าวอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข สนุกสนาน และหยุนเฉิงเซี่ยงเข้าร่วมหุ้น องค์ชายสี่จะเปิดร้านปิ้งย่างไปทั่วทั้งแคว้นเทียนจิ่ว ซวนอ๋องเอาแคว้นเป่ยลี่ หยุนซูรับผิดชอบแคว้นต้าเยียนกับแคว้นชางเยว่ พวกเขาตกลงกันแบบนี้ อย่างมีความสุข
พูดถึงแคว้นชางเยว่ จู่ๆหยุนถิงก็คิดชางหลันเย่ นับดูเวลาแล้ว “ศพ” ของเขาน่าจะไปถึงแคว้นชางเยว่แล้ว ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง