จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 482 ซื่อจื่อ ชาติที่แล้วท่านขายน้ำส้มสายชูมาหรือ
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 482 ซื่อจื่อ ชาติที่แล้วท่านขายน้ำส้มสายชูมาหรือ
“องค์หญิงใหญ่เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าแค่มากินขนมเปี๊ยะในครัวเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นนั้นมองไม่เห็นอะไร และไม่ได้ยินอะไรเลย” หยุนถิงพูดขึ้นมาอย่างรู้สึกตัวดี
“ถ้าเช่นนั้น ก็ต้องขอบคุณมาก” องค์หญิงใหญ่หมุนตัวเดินจากไปเลย
นางไม่ได้เป็นกังวลจวินหย่วนโยวกับโม่เหลิ่งเหยียน เจ้าสองคนนี้ถึงจะโหดเหี้ยมและกระหายเลือด แต่ก็ตามใจหยุนถิงคนเดียว ในเมื่อหยุนถิงเองยังพูดแบบนี้แล้ว งั้นจวินหย่วนโยวกับโม่เหลิ่งเหยียนก็ต้องไม่มีทางพูดออกมาอยู่แล้ว
พอเห็นองค์หญิงใหญ่จากไปแล้ว หยุนถิงก็ห่อขนมเปี๊ยะทั้งหมดที่มีอยู่ในครัวไปจนหมด “ซื่อจื่อ ซวนอ๋อง พวกเราไปกันเถอะ”
“ได้!” จวินหย่วนโยวยื่นมือไป ช่วยหยุนถิงหิ้วขนมเปี๊ยะที่ห่อเสร็จแล้ว อีกมือหนึ่งก็จูงมือนางไว้แล้วเดินจากไป
โม่เหลิ่งเหยียนเองก็ติดตามมาด้านหลัง ทั้งสามคนออกไปจากจวนองค์หญิง
หยุนถิงยื่นขนมเปี๊ยะไปให้กล่องหนึ่ง “ซวนอ๋องท่านลองเอาไปชิมดูซิ อันนี้รสชาติไม่เลวเลยนะ”
“ทำไมเจ้าต้องเอาให้เขา ซื่อจื่ออย่างข้ายังไม่ได้เลยนะ?” สีหน้าจวินหย่วนโยวมืดมนลงทันที
“ข้าเอามาตั้งเยอะ มากพอที่จะให้เราสองคนกินแล้ว แค่ขนมเปี๊ยะกล่องเดียวเอง ท่านไม่ต้องขี้เหนียวขนาดนี้หรอก” หยุนถิงพูดขึ้นมา
โม่เหลิ่งเหยียนที่ไม่ได้อยากจะเอาในตอนแรก พอได้เห็นท่าทีโกรธจัดของจวินหย่วนโยวแล้ว ก็ยื่นมือออกมา “เจ้าบอกว่าอร่อย รสชาติจะต้องไม่เลวแน่ ข้าจะรับไว้ก็แล้วกัน ขอบใจมาก”
กำปั้นของจวินหย่วนโยวทุบไปหมัดหนึ่งทันที โม่เหลิ่งเหยียนรีบหลบไปอย่างรวดเร็ว พอเห็นทั้งสองคนถึงขนาดลงมือใส่กันเพียงเพราะขนมเปี๊ยะเพียงกล่องเดียว หยุนถิงก็รู้สึกหมดคำพูดขึ้นมาทันที นางรีบดึงตัวจวินหย่วนโยวไว้ทันที
“ซื่อจื่อ ที่ข้ายังมีอีกเยอะแยะเลยนะ”
จวินหย่วนโยวถึงได้หยุดยั้งไปอย่างไม่เต็มใจ แล้วถลึงตาใส่โม่เหลิ่งเหยียนอย่างโกรธเคืองทีหนึ่ง “ให้เจ้าแน่นท้องตายไปเลยยิ่งดี!”
“ข้าไม่มีทางปัญญาอ่อนอย่างเจ้าหรอก” โม่เหลิ่งเหยียนหิ้วขนมเปี๊ยะไว้แล้วก็หมุนตัวขึ้นรถม้าตัวเองไป
“ซื่อจื่อ……” หยุนถิงยังพูดไม่ทันจบเลย ก็ถูกจวินหย่วนโยวช้อนตัวอุ้มขึ้นมาแล้ว
“กลับบ้านค่อยจัดการเจ้า ไม่สั่งสอนเจ้ามาสามวัน เจ้าก็ไม่รู้ว่าใครคือสามีแล้วใช่ไหม!” จวินหย่วนโยวพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
หยุนถิงรู้สึกหมดคำพูด “ซื่อจื่อ ชาติที่แล้วท่านคงไม่ได้ขายน้ำส้มสายชูมาใช่ไหม”
“ขายกับผีอะไร!”
หยุนถิงเบ้ปากเล็กน้อย ทั้งสองคนขึ้นรถม้าไป จวินหย่วนโยวก็ใบหน้าเย็นชาไม่สบอารมณ์ ทั้งตัวดูหงุดหงิดมาก
“ซื่อจื่อของข้าหล่อเหลาที่สุด เท่และทรงอำนาจ อ่อนโยนเข้าอกเข้าใจ ดีงามสมบูรณ์แบบ……ยังไงก็แล้วแต่ ซื่อจื่ออยู่ในใจข้านั้น เป็นคนที่หล่อที่สุดในโลก ดีกับข้าที่สุดเลย” หยุนถิงเริ่มพูดจาชื่นชมขึ้นมา
จวินหย่วนโยวที่โมโหอยู่ในตอนแรกพอได้ยิน และพอเห็นท่าทางเจ้าเล่ห์ราวสุนัขจิ้งจอกของนางแล้ว ก็ทำใจตำหนิไม่ลง
“ป้อนข้า!”
“ห๋า?” หยุนถิงยังตั้งสติกลับมาไม่ทัน
“ข้าบอกว่า ป้อนขนมเปี๊ยะให้ข้ากิน!” จวินหย่วนโยวพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ได้เลยจ้า ถ้าท่านซื่อจื่ออยากกิน ข้าจะกลับไปวิเคราะห์ดูว่าทำยังไง เดี๋ยวจะทำให้ท่านกินทุกวันเลย” หยุนถิงรีบเปิดกล่องออก แล้วหยิบขนมเปี๊ยะชิ้นหนึ่งออกมายัดใส่ปากจวินหย่วนโยวไป
“ข้าบอกว่าอยากกินขนมเปี๊ยะหรือ?” จวินหย่วนโยวสีหน้าเย็นชาลง
เขาแค่โมโหที่หยุนถิงกล้ามอบขนมเปี๊ยะให้โม่เหลิ่งเหยียนต่อหน้าตัวเองเลย
“เจ้าไม่ชอบ แล้วทำไมเจ้ายังกินอีก?” หยุนถิงถามกลับมา
นางตั้งใจทั้งนั้น ซื่อจื่อดีหมดทุกอย่าง แต่แค่ชอบหึงหวงมากเท่านั้น
ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงพวกคนแปลกหน้าร้อนตะโกนอยู่ข้างหน้าดังลอยมา หยุนถิงรีบเปิดผ้าม่านรถม้าออกแล้วมองออกไปข้างนอก ก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยของคนหลายคน
“คือพวกโม่หลาน เสี่ยวลิ่ว เสี่ยวอันจื่อ พวกเขากลับมาแล้วนี่ ดูซิพอพวกเขามานั่งอยู่บนหลังม้าที่สูงใหญ่ก็ดูหล่อเหลากันมากเลย!” หยุนถิงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมขึ้นมา
จวินหย่วนโยวเหล่ตามองทีหนึ่ง “หล่อสู้ข้าได้หรือเปล่า?”
“ซื่อจื่อนี่ไม่มีอะไรให้เทียบเลยนี่ ท่านหน้าตาหล่อเหลา แต่พวกเขานั้นบุคลิกดูหล่อเหลา นี่เป็นการออกเดินทางครั้งแรกของพวกเขา ถือได้ว่าไม่เลวเลยจริง ๆ” หยุนถิงพูดอธิบายขึ้นมา
โม่หลานนั่งอยู่บนหลังม้าที่สวยงามตัวหน้าสุด นำพาทหารกล้าเดินเข้าเมืองไปอย่างยิ่งใหญ่ ฟังเสียงผู้คนโห่ร้องยินดี ชื่นชม เคารพนับถือ แล้วรู้สึกดีมาก
โม่หลานเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นรถม้าหรูหราคันนั้นตรงจุดที่ไม่ไกลมากนัก แล้วมองสบตาทั้งคู่กับหยุนถิง “หยุนถิง ข้าพาเสี่ยวอันจื่อกับเสี่ยวลิ่วกลับมาอย่างปลอดภัยให้เจ้าแล้ว!”
“ลำบากแล้ว ขอบใจมาก พรุ่งนี้ไปที่จวนซื่อจื่อ เดี๋ยวข้าจัดงานต้อนรับให้พวกเจ้า” หยุนถิงพูดขึ้นมา
“ทำไมถึงเป็นพรุ่งนี้ ไม่ใช่วันนี้ล่ะ?” โม่หลานถามขึ้นมา
“พวกเจ้าได้ชัยชนะกลับมา แน่นอนว่าคืนนี้ฮ่องเต้ต้องทำการต้อนรับพวกเจ้าอยู่แล้ว!” หยุนถิงตอบกลับไป
“พูดมาก็ถูก งั้นพรุ่งนี้ไปกินที่บ้านเจ้านะ!” โม่หลานตอบอย่างสบาย ๆ มาก
“พี่ใหญ่ พวกเรากลับมาแล้ว!” หยุนเสี่ยวลิ่วพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น ในวินาทีที่เห็นหยุนถิง ขอบตาก็แดงขึ้นมาเลย
ออกไปรอบหนึ่ง ถึงจะไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ผ่านอะไรมารอบหนึ่ง พอหยุนเสี่ยวลิ่วเห็นญาติพี่น้อง แน่นอนว่าต้องอดกลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว
หยุนเสี่ยวลิ่วกับเสี่ยวอันจื่อที่อยู่ตรงหน้าดูสูงขึ้นมาเล็กน้อย และดำขึ้นด้วย ร่างกายบึกบึนมากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าการออกไปในครั้งนี้ได้เติบโตขึ้นมาไม่น้อยเลย
“ไม่เลว เจ้ากับเสี่ยวอันจื่อเก่งมากเลย เป็นความภาคภูมิใจของข้า ข้ารู้สึกชื่นชมยินดีมาก!” หยุนถิงพูดขึ้นมาอย่างชื่นชม
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ที่ครั้งนี้สามารถสู้รบชนะกลับมาได้ มีหลายครั้งที่เป็นผลงานของข้ากับเสี่ยวอันจื่อ” หยุนเสี่ยวลิ่วพูดขึ้นมาอย่างได้ใจ
เสี่ยวอันจื่อพยักหน้าขึ้นมาอย่างแรง “ต้องชื่นชมที่เสี่ยวลิ่วฉลาดหลักแหลม”
“เอาล่ะ พวกเจ้าเข้าวังไปก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยกลับมาเล่าให้ข้าฟังที่จวนซื่อจื่อดี ๆ ละกัน” หยุนถิงเปิดปากพูดขึ้นมา
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
ในท่ามกลางกองทัพ มีรถม้าที่ธรรมดามากประเภทหนึ่งอยู่ แล้วโม่ฉือหานก็อยู่ในนั้น
ในขณะนี้ โม่ฉือหานกำลังร่างกายอ่อนแรงทั้งตัว นี่เป็นเพราะว่าเป่ยหมิงฉี่วางยาพิษใส่เขา ตลอดระยะทางที่ผ่านมานี้อาการยังไม่หายดี ในขณะนั้นเอง กำลังจะเคลื่อนผ่านรถม้าของหยุนถิงไป โม่ฉือหานพยายามใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดขยับเขยื้อนไปที่หน้าต่างรถม้า
เขาจ้องมองหยุนถิงที่อยู่ในรถม้าเคลื่อนผ่านไป อ้าปากเล็กน้อยแต่กลับไม่มีเสียงเปล่งออกไป
สภาพอย่างเขาในตอนนี้ จะมีหน้าอะไรไปพบหน้าหยุนถิง เขาไม่อยากให้หยุนถิงเห็นสภาพที่ย่ำแย่แบบนี้ของตัวเอง ดังนั้นสุดท้ายโม่ฉือหานจึงอดกลั้นเอาไว้
ในพระราชวัง
โม่หลานให้คนหามหลีอ๋องเข้าไปให้ท้องพระโรง แล้วก็รายงานสถานการณ์กับฮ่องเต้ไปง่าย ๆ
ฮ่องเต้รู้สึกชื่นชมในตัวโม่หลานเป็นอย่างมาก เลยแต่งตั้งให้โม่หลานเป็นแม่ทัพหญิงไป นางได้เป็นแม่ทัพหญิงคนแรกของแคว้นต้าเยียน เกียรติยศเช่นนี้ทำให้ขุนนางใหญ่ทั้งหลายทั้งตกใจและแปลกใจ
“ฝ่าบาท ทั้งสี่แคว้นไม่เคยมีแม่ทัพหญิงกันมาก่อน ครั้งนี้คุณหนูโม่ออกปฏิบัติการมีผลงานมากจริง ๆ จึงสามารถให้รางวัลได้ แต่การแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพนั้นพวกทหารกล้าอาจจะไม่พึงพอใจก็ได้?” ขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งพูดอย่างสงสัยขึ้นมา
พอคำพูดนี้พูดออกไป คนอื่น ๆ ก็ถกเถียงเสียงเบากันขึ้นมาด้วย เพราะว่าตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นมายังไม่เคยมีเรื่องแบบนี้มาก่อน
โม่หลานสีหน้าโกรธเคืองเต็มหน้า จ้องมองไปที่คนคนนั้นอย่างโกรธเคือง “ขุนนางใหญ่ท่านนี้ ท่านดูถูกผู้หญิงเช่นนี้ งั้นแม่ของท่านไม่ใช่ผู้หญิง ย่าของท่านไม่ใช่ผู้หญิงหรือ?”
ขุนนางใหญ่สีหน้ามืดมน “ก็ต้องเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว นี่มันคนละเรื่องกัน?”
“ในเมื่อเป็นคนละเรื่องกัน งั้นทำไมตอนที่เคลื่อนทัพกันนั้น ท่านไม่เสนอตัวออกมาล่ะ?” โม่หลานถามกลับ
“พูดจาไร้สาระ ข้าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น จะไปนำทัพได้ยังไง?”
“ท่านรู้ตัวด้วยหรือว่าตัวเองเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น งั้นท่านจะเอามาเทียบกันทำไม พวกเราสู้ชนะแล้วค่อยมาพูดจาไปเรื่อย เอาหน้ามาจากไหนกัน! ข้านำผู้คนออกไปนั้นจับดาบจริงหอกจริง มีหลายครั้งที่เกือบจะได้รับอันตรายถึงชีวิต ชัยชนะในวันนี้เป็นชัยชนะที่เราแลกมาด้วยชีวิต แต่ท่านแค่มาขยับปากนิดหน่อย มีสิทธิ์อะไรมาสงสัยตัวข้าที่นี่?” โม่หลานโต้ตอบกลับไป
คำพูดนี้หนักแน่นมีพลัง ขุนนางใหญ่คนอื่นสีหน้าแข็งทื่อไปเลย คุณหนูใหญ่โม่ท่านนี้พูดจาหยาบกระด้างจริง ๆ คำพูดคำจาหยาบกระด้างไม่เหมือนคนทั่วไป
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนที่สูงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา โม่หลานคนนี้จะเปลี่ยนแนวการพูดสักหน่อยได้เมื่อไหร่กัน