จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 489 เจ้าคงไม่ได้สงสัยว่าซวนอ๋องจะถูกจ้างวานมาด้วยหรอกนะ
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 489 เจ้าคงไม่ได้สงสัยว่าซวนอ๋องจะถูกจ้างวานมาด้วยหรอกนะ
เพียงแต่ว่าเงาคนคนหนึ่งมาดึงเป่ยหมิงฉี่ออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วคนคนนั้นก็ตะแคงมือไปใช้กระบี่ตัดมืออีกข้างของมู่เทียนบาทิ้งไป
“อ๊าก! ไอ้สมควรตาย ไปพวกชั่วช้า มือของข้า!” มู่เทียนบาเจ็บปวดทุรนทุราย ทั้งตัวล้มลงไปบนพื้น แล้วก็ร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดขึ้นมา
คนที่ลงมือคืออู๋เทียนองครักษ์ลับที่จวินหย่วนโยวทิ้งเอาไว้ “เป่ยหมิงไท่จื่อท่านไม่รู้หรือว่ามีคนมากมายที่ตายไปเพราะว่าพูดมากเกินไป มู่เทียนบาเป็นคนเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัด จิตใจโหดเหี้ยม ท่านจะไปพูดจาไร้สาระกับเขาทำไม!”
เป่ยหมิงฉี่เพิ่งรู้สึกตัวขึ้นมา เมื่อกี้ถ้าไม่ได้อู๋เทียน ตอนนี้ตัวเองคงจะกลายเป็นศพไปแล้ว
“ขอบใจมาก!” เป่ยหมิงฉี่สีหน้านิ่งอึ้งเล็กน้อย แล้วยื่นกระบี่รักในมือไป แล้วฟันไปที่น่องของมู่เทียนบาทีหนึ่ง ตัดเส้นเอ็นขาของเขาขาดไป
“อ๊าก เป่ยหมิงฉี่เจ้าต้องไม่ได้ตายดีแน่ ถึงข้าเป็นผีไปแล้วก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่……” มู่เทียนบายังพูดไปทันจบ ตัวก็หมดสติไปเลยเพราะเสียเลือดมากและเจ็บปวดมาก
“ตอนนี้จะทำยังไงขอรับ?” อู๋เทียนถามขึ้นมา
“ทหาร พาตัวมู่เทียนบาไป พรุ่งนี้เช้าจะเปิดประชุมการตัดสินโทษครั้งใหญ่ พวกคนที่เชิญไปก็ควรจะออกมาเข้าร่วมได้แล้ว!” เป่ยหมิงฉี่พูดเสียงเย็นออกมาประโยคหนึ่ง
“ขอรับ!”
ลูกน้องสองคนพาตัวมู่เทียนบาออกไป แล้วคนทั้งหมดก็ล่าถอยออกไป หอเทพเซียนในตอนนี้กลายเป็นแค่ซากปรักหักพังแล้ว
พออู๋เทียนและพวกองครักษ์ลับเห็นว่าหอเทพเซียนถูกจัดการแล้ว มู่เทียนบาในตอนนี้ก็เป็นแค่คนพิการคนหนึ่งแล้ว และสามารถพูดได้ว่าสู้คนพิการคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่สามารถก่อเรื่องอะไรขึ้นมาได้อีกแล้ว ดังนั้นพวกเขาก็เลยกลับแคว้นต้าเยียนไปในคืนนั้นเลย
……
แคว้นต้าเยียน ที่จวนซื่อจื่อ
เช้าวันที่สอง ร้างปิ้งย่างของหยุนซูกับร้านขายอาวุธของหยุนหลีเปิดทำการแล้ว ซึ่งได้ประชาสัมพันธ์มาหลายวันแล้ว ผู้คนจึงมาออกันอยู่หน้าร้านตั้งแต่เช้าแล้ว
องค์ชายสี่ไปที่ร้านปิ้งย่าง แต่ฟู่อี้เฉินกลับไปที่ร้านขายอาวุธ มีคนสองคนนี้มาช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้ แน่นอนว่าพวกคนที่มาเข้าแถมจึงไม่กล้าเอะอะโวยวายอะไร
“หยุนซูเป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้านนี้ ต่อไปพวกเจ้าถ้ามีใครกล้ามาหาเรื่องนาง ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าอยู่สุขสบายแน่ ต่อไปทุกคนก็มาสนับสนุนกันดี ๆ ช่วยดูแลกิจการหน่อยนะ!” โม่ฉือชิงพูดเสียงเย็นขึ้นมา
ผู้คนตกใจกันแทบไม่ไหว ต่างพากันพยักหน้า
หยุนซูรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นเถ้าแก่เนี้ย เข้ามาดูแลร้านด้วยตัวเองคนเดียว ต้องห้ามทำให้พี่ใหญ่ขายหน้าเด็ดขาด
“ขอบคุณทุกคนที่สละเวลาที่ยุ่งมากมาเยี่ยมชมร้านปิ้งย่างเปิดกิจการ วันนี้ทุกคนที่เข้ามารับประทานอาหารในร้านจะได้ส่วนลดร้อยละยี่สิบ แค่วันนี้วันเดียว พรุ่งนี้ปรับเป็นราคาปกติ!” หยุนซูใบหน้ายิ้มแย้ม คำพูดที่พูดออกไปกลับจริงจังเป็นอย่างมาก
ทุกคนร้องตะโกนอย่างดีใจไม่หยุด ต่างพากันชื่นชมว่าคุณหนูซูเป็นคนใจกว้าง
พอประตูร้านเปิดออก ผู้คนก็ฮือฮาแล้วก็ฝ่ากันเข้าไป แค่พริบตาเดียวก็นั่งเต็มร้านปิ้งย่างเลย ส่วนคนอื่น ๆ ก็ต่างพากันพึมพำว่าตัวเองช้าเกินไปแล้ว
ในโรงน้ำชา ฝั่งตรงข้ามร้าน หยุนถิงตั้งใจรีบมาดูการเปิดร้านตั้งแต่เช้า พอเห็นผู้คนฮือฮาและเบียดเสียดกันแบบนี้ ก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
“ข้าบอกแล้วว่าความคิดของเขานั้นไม่เลว ต่อไปหยุนซูก็มีกิจการเป็นของตัวเองแล้ว พี่ใหญ่อย่างเจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว” จวินหย่วนโยวเปิดปากพูดขึ้นมา
ทีแรกเขาอยากให้ถิงเอ๋อร์นอนต่ออีกพักหนึ่ง แต่นางบอกว่าเป็นห่วงหยุนซู จึงตั้งใจตื่นแต่เช้ามาดู
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ซูเอ๋อร์กับหยุนหลีเป็นน้องสาวของข้านี่ ข้าก็ต้องดูแลพวกนางอยู่แล้ว” หยุนถิงตอบกลับไป
“เจ้าไม่ได้ดูหยุนหลีหรือ?” จวินหย่วนโยวถามขึ้นมา
“ไม่ต้องหรอก ยัยเด็กนั่นไม่มีทางเป็นเจ้าของร้านที่เสียเปรียบหรอก ทางด้านซูเอ๋อร์เปิดกิจการได้อย่างรุ่งเรือง ข้าก็วางใจแล้ว พวกเรากลับไปนอนต่อกันเถอะ” หยุนถิงเสนอความคิดเห็นขึ้นมา
“ได้!” จวินหย่วนโยวลุกขึ้นมาประคองนางแล้วเดินไปทางประตู
ตอนรถม้าผ่านไปที่ถนนอีกเส้นหนึ่ง ก็เป็นร้านขายอาวุธของหยุนหลีแล้ว กลับจวนซื่อจื่อต้องผ่านเส้นทางนี้พอดี เพียงแต่ว่ายังเดินไปไม่ถึงร้าน หยุนถิงที่อยู่ในรถม้าก็ได้ยินเสียงที่เหมือนลำโพงของหยุนหลีแล้ว
“ในเมื่อท่านสงสัยในอาวุธของข้า งั้นพวกเราก็แสดงให้ทุกคนเห็นที่นี่กันรอบหนึ่งไปเลย!” หยุนหลีตะโกนออกมา
“ได้ ดาบรักเล่มนี้ของข้าถูกตีขึ้นมาจากเหล็กกล้าสีดำของชายแดนทางใต้ ใบมีดคมมากเลยนะ!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งชูดาบเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วฟันไปที่หินก้อนหนึ่งตรงด้านข้างต่อหน้าผู้คนเลย
“ปัง!” ดังขึ้นมาคำหนึ่ง หินก้อนนั้นก็ถูกฟันเป็นสองครึ่งจากตรงกลาง
ผู้คนที่มุงดูตกตะลึงจนร้อง ส่วนหยุนหลีกลับมีสีหน้าดูถูกเต็มหน้า “ก็แค่หินก้อนหนึ่งเท่านั้น ลองมาฟันกับอาวุธในร้านเราดูซิ ท่านกล้าไหม?”
“ทำไมข้าจะไม่กล้า มาเลย!” คนคนนั้นยกดาบขึ้นมาก็ฟันไปที่หยุนหลีเลย
ด้านนอกฝูงชน ซวนอ๋องกำลังเดินผ่านมาพอดี ก็เห็นภาพนี้เขา ใบหน้าที่เย็นชาไม่มีปฏิกิริยาอะไร
“ท่าอ๋อง จะเข้าไปช่วยคุณหนูหลีหน่อยไหมขอรับ?” โม่จิ่วทหารองครักษ์ที่ตามมาถามขึ้น
“ไม่ต้อง!” โม่เหลิ่งเหยียนตอบกลับมาอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้จากไป แค่จ้องมองอย่างเย็นชาไปแบบนั้น
แน่นอนว่าโม่เหลิ่งเหยียนรู้อยู่แล้วว่าร้านอาวุธของหยุนหลีนั้นมาจากการออกแบบของหยุนถิงทั้งนั้น วันนี้ร้านอาวุธเปิดกิจการแล้ว โม่เหลิ่งเหยียนก็อยากมาดูสักหน่อย ว่ามีอาวุธอะไรที่ถนัดมือบ้าง
โม่จิ่วไม่พูดอะไรอีก แค่มองไปทางไกล ๆ
หยุนหลีรีบหลบไปทันที อยู่ ๆ ก็หมุนตัวไป มีดสั้นในมือฟันไปอย่างแรง
“แคว๊ง!” ดังขึ้นมาคำหนึ่ง ดาบยาวนั่นก็ถูกฟันจนหักเป็นสองท่อน
ผู้คนต่างตกตะลึงไม่หยุด “มีดสั้นในมือคุณหนูหลีแค่ยาวเท่ากับฝ่ามือ ยังรุนแรงขนาดนี้ จนตัดกระบี่เหล็กนิลนี่หักไปเลย ช่างแหลมคมไม่มีอะไรเทียบได้เลยจริง ๆ!”
“พูดถูกต้อง ทุกคนก็ได้เห็นเองกับตาแล้ว เรื่องนี้หลอกกันไม่ได้หรอก!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังคร่ำครวญว่าอาวุธในร้านเป็นอาวุธที่ดี และอยากเข้าไปดูแล้วซื้อสักอัน อยู่ ๆ ก็มีเสียงที่ฟังดูไม่เป็นมิตรเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ผู้ชายคนนี้แค่ดูก็รู้แล้วว่าถูกจ้างมา ดาบนี่ไม่ใช่กระบี่เหล็กนิลสักนิด แค่ดาบเหล็กดำทั่วไปเท่านั้น ดูท่าน่าจะมาร่วมมือกับคุณหนูหลี ถึงได้พูดออกมาแบบนี้!” ชายชุดคลุมสีดำคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าดูถูก
หยุนหลีรู้สึกโกรธขึ้นมาเลย “เจ้าเป็นใครกัน ถึงกล้ามาสงสัยข้า!”
“ข้าแค่พูดตามความจริงเท่านั้น ที่คุณหนูหลีโกรธมากขนาดนี้เพราะระแวงหรือ?” ชายชุดคลุมสีดำถามกลับมา
“ข้าเป็นคนทำอะไรซื่อตรงอยู่แล้ว และไม่เคยทำของปลอม แล้วก็ยิ่งไม่มีทางหลอกลวงทุกคนอยู่แล้ว!” หยุนหลีตะคอกออกมาอย่างโกรธเคือง แล้วก็จะลงมือเลย
นางเป็นคนหุนหันพลันแล่นอยู่แล้ว จะให้มาวางอุบายนั้นไม่มีทางทำได้ แค่คำพูดไม่กี่คำก็จุดประกายไฟโกรธขึ้นมาได้ จะไปทนได้ยังไงเมื่อมีคนอื่นมาว่านางโกหก
“นี่คุณหนูหลีทนไม่ได้กับข้อเสนอที่ข้าเสนอขึ้นมาหรือ อย่านึกว่าท่านเป็นน้องสาวของหยุนถิง แล้วคนทุกคนจะต้องมายอมท่าน ใช่ข้าสงสัยว่าท่านสร้างเรื่องขึ้นมาจริง ๆ!”
“หุบปาก หยุนหลีไม่ใช่คนที่เจ้าจะมาสงสัยได้นะ ซื่อจื่ออย่างข้าแค่ไปห้องน้ำครู่เดียว คนเก่งกล้าจากไหนกล้ามาอวดเก่งที่นี่ ใครอยู่ตรงนั้นบ้าง มาตีขามันให้หักซะ!” ฟู่อี้เฉินที่ไปเข้าห้องน้ำกลับมา มาเห็นภาพนี้เข้าพอดี จึงพูดขึ้นมาอย่างโกรธเคือง
พวกคนใช้หลายคนรีบพุ่งออกมา จะลงมือเลย
“ฮา ฮา พวกเจ้าก็แค่มีอำนาจมารังแกคนเท่านั้น ถึงพวกเจ้าจะฆ่าข้าไป ก็ไม่มีทาอุดปากซุบซิบนินทาของผู้คนได้หรอก เรื่องในวันนี้จะต้องลือออกไปทั่วสี่แคว้น พอถึงตอนนั้นข้าจะดูว่าร้านขายอาวุธของพวกเจ้าจะต่อต้านกับผู้คนยังไง!”
หยุนหลีโกรธเคืองขึ้นมาเป็นอย่างมาก โบกกำปั้นไว้แล้วก็จะทุบไปเลย แต่ว่าวินาทีสุดท้ายนางก็อดกลั้นไว้ได้
พี่ใหญ่เคบบอกไว้ว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องผ่านสมองก่อน ความหุนหันพลันแล่นมีแต่จะทำให้เสียเรื่อง ตอนนี้นางเจ้าของร้านแล้ว จะเป็นอย่างเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว
หยุนหลีที่กำลังคิดว่าจะทำยังไงดีนั้น อยู่ ๆ ก็หันไปเห็นซวนอ๋องที่อยู่ท่ามกลางผู้คน แล้วก็เกิดความคิดขึ้นมา “ในเมื่อท่านสงสัยว่าคนคนนี้ถูกจ้างวานมา งั้นก็เอาอาวุธของซวนอ๋องมาทดลอง ท่านคงไม่สงสัยว่าซวนอ๋องจะถูกจ้างวานมาหรอกนะ?”