จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 496 เจ้าอดทนหน่อย มันจะเจ็บนิดหน่อย
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 496 เจ้าอดทนหน่อย มันจะเจ็บนิดหน่อย
ซูชิงโยวรีบลุกจากตัวเขาทันที “ขอโทษด้วยแม่ทัพหยุน ข้าทำให้ท่านเดือดร้อนไปด้วย”
“คนที่ควรกล่าวคำขอโทษ ก็ควรจะเป็นข้า เพราะข้าไม่ได้ดูทางให้ดี นี่น่าจะเป็นกับดักที่ใช้ดักจับสัตว์ป่า ข้าลองดูหน่อยว่าจะสามารถปีนออกไปได้ไหม เจ้านั่งพักผ่อนไปก่อน!” หยุนไห่เทียนลุกขึ้นจากพื้นและปีนขึ้นมา
เวลานี้โคมไฟก็เสียแล้ว ในหลุมที่กว้างใหญ่ก็ดำมืดไปหมด หยุนไห่เทียนตรวจสอบจากความรู้สึกของตัวเอง มันเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดประมาณสองคูณสองเมตร นอกจากนี้ผนังหลุมล้วนเป็นมันและลื่นมาก เมื่อลองดมดูแล้ว ดูเหมือนจะสาดน้ำมันใส่
หากเป็นการดักจับสัตว์ โดยทั่วไปจะมีที่ยึดเกาะ เช่นนี้เมื่อผู้คนลงมาเอาเหยื่อก็สามารถปีนออกไปได้ แต่บริเวณโดยรอบของหลุมใหญ่นี่เกลี้ยงเกลาเป็นระเบียบ และยังมีน้ำมันอยู่เยอะมาก ช่างน่าแปลกจริงๆ
หยุนไห่เทียนใช้วิชาตัวเบาลองไปหลายครั้ง แต่ผนังมันลื่นเกินไป แม้แต่ที่ยึดเกาะจุดเดียวก็ไม่มี ดังนั้นหยุนไห่เทียนลองหลายครั้งก็ล้มเหลวติดต่อกัน ตรงกันข้ามครั้งสุดท้ายที่ปีนสูงที่สุดกลับร่วงลงมาจากครึ่งทาง แต่แล้วก็ทับถูกซูชิงโยวพอดี
“อ๊า!” เสียงกรีดร้องดังมา
“คุณหนูซูเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” หยุนไห่เทียนกล่าวขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิด รีบร้อนลุกขึ้นมา
“ข้าไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าท่านชนถูกไหล่ของข้า นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน ที่นี่มันมืดเกินไป มองไม่เห็นอะไรเลย” ซูชิงโยวกล่าวด้วยความใส่ใจอย่างยิ่ง
“เป็นเพราะข้าเลินเล่อไป ขอโทษด้วย” หยุนไห่เทียนมัวแต่เป็นห่วง ไม่ได้คิดอะไรมาก
สีหน้าของซูชิงโยวแข็งทื่อ รีบบ่ายเบี่ยงทันที “แม่ทัพหยุนก็ไม่ได้เจตนา ไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าตลอดหรอก”
ในหลุมที่กว้างใหญ่ มืดมิดไปทุกที่ ถึงแม้คืนนี้จะมีพระจันทร์ แต่เหนือศีรษะล้วนเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่หนาทึบ มองไม่ชัดเจนเลยด้วยซ้ำ
“มีใครอยู่ไหม แถวนี้มีใครอยู่หรือเปล่า?” หยุนไห่เทียนตะโกนเสียงดัง
แต่เขาตะโกนไปนานมาก เสียงก็แหบแห้งเล็กน้อยแล้ว ก็ยังไม่มีใครเข้ามา
“พักผ่อนไปก่อน บางทีอีกสักครู่ก็อาจจะมีคนมาแล้ว อาการบาดเจ็บที่เท้าของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าจะตรวจให้เจ้า?” หยุนไห่เทียนกล่าว
ซูชิงโยวคือกุลสตรีจากตระกูลใหญ่มีฐานะ ไม่เหมือนกับเขาที่เป็นผู้ชาย จู่ๆเท้าก็แพลง ต้องทนไม่ไหวอยู่แล้ว
ซูชิงโยวในเวลารู้สึกเจ็บจะตายอยู่แล้วจริงๆ “เช่นนั้นก็ลำบากแม่ทัพหยุนแล้ว”
หยุนไห่เทียนช่วยตรวจให้นาง เป็นห่วงอย่างมาก “ตอนนี้ที่นี่ไม่มียา และไม่มีคน ได้แต่รอเท่านั้นแล้ว ข้าช่วยบีบนวดให้เจ้าก่อน”
“รบกวนแล้ว!”
“เช่นนั้นเจ้าอดทนหน่อย มันจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย” หยุนไห่เทียนกล่าว
“อืม”
การกระทำของหยุนไห่เทียนเบามากแท้ๆ แต่ซูชิงโยวก็ยังเจ็บปวดอย่างยิ่ง อดกลั้นต่อความเจ็บปวดไม่ให้ตัวเองส่งเสียงออกมา
หยุนไห่เทียนยื่นแขนมาให้ “ถ้าหากมันเจ็บมากก็กัดแขนของข้าเอาไว้”
“ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไร” ซูชิงโยวเพิ่งจะกล่าวจบ จู่ๆความเจ็บปวดที่แทงเข้าไปในหัวใจก็ส่งมาจากเท้า นางจับแขนของหยุนไห่เทียนเอาไว้โดยสัญชาตญาณ และกัดลงไปอย่างแรง
การกัดคำนี้ คือปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของซูชิงโยว หยุนไห่เทียนเจ็บจนขมวดคิ้ว แต่กลับไม่ได้ผลักนางออก ปล่อยให้นางกัดแขนของตัวเองเอาไว้
นานพักใหญ่ ซูชิงโยวถึงรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย รีบปล่อยทันที “แม่ทัพหยุนขอโทษด้วย ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป จู่ๆก็ไปกัดแขนของท่าน ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ข้าไม่เป็นไร” หยุนไห่เทียนเจ็บจนเหงื่อเย็นบนหน้าผากผุดออกมา แต่กลับไม่ได้แสดงความผิดปกติออกมา
ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ จู่ๆเหนือศีรษะก็มีสิ่งของโยนลงมา
หยุนไห่เทียนรู้สึกกระแสอากาศในอากาศ ลุกยืนขึ้นมากะทันหัน และปกป้องซูชิงโยวเอาไว้ด้านหลัง หนึ่งหมัดชกเจ้าสิ่งนั้นกระเด็นออกไป ร่วงหล่นลงไปบนพื้น
ดูเหมือนจะเป็นเสียงเครื่องเครือบ หยุนไห่เทียนขมวดคิ้วขึ้นมา ถึงได้คล้ำหาเจ้าสิ่งนั้นเจอในความมืด
เป็นถุงผ้าใบหนึ่ง ข้างในมีขวดเครื่องเครือบหลายอัน เขาเปิดฝาออกด้วยความระมัดระวัง ดมกลิ่นที่อยู่ด้านใน ถึงได้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
เป็นยา และยังเป็นยาชั้นดีที่รักษาอาการบวมและเคล็ดขัดยอกระดับปานกลาง เป็นใครกันแน่ที่รู้ว่าซูชิงโยวเท้าแพลง และโยนยาเข้ามา
“กล้าถามสหายคนไหนอยู่ข้างบน ขอสหายโปรดช่วยพวกเราออกไปด้วย ข้าน้อยจะขอบคุณอย่างแน่นอน!” หยุนไห่เทียนตะโกนขึ้นมา
ข้างบนกลับไม่มีเคลื่อนไหวใดๆเลย
“แม่ทัพหยุน เกิดอะไรขึ้น?” ซูชิงโยวถาม
“มีคนโยนยาเข้ามา แต่กลับไม่โผล่หน้ามา” หยุนไห่เทียนกล่าว
คนแรกที่ซูชิงโยวนึกถึงก็คือหยุนถิง ต้องเป็นนางที่ส่งคนมาปกป้องตัวเองอย่างลับๆแน่นอน รู้ว่าตัวเองข้อเท้าแพลงจึงส่งยามาให้โดยเฉพาะ
“ข้าใส่ยาให้เจ้าก่อนแล้ว” หยุนไห่เทียนรีบวิ่งเข้ามาทันที เขาช่วยซูชิงโยวถอดรองเท้าและถุงเท้าในความมืด “ล่วงเกินแล้ว คุณหนูซู”
เวลานี้ หากยังไม่รีบรักษา เกรงว่าขาข้างนี้คงต้องพิการแล้ว
ดังนั้นซูชิงโยวจึงไม่ได้แสร้งทำกิริยาเกินงาม รู้สึกถึงการกระทำที่อ่อนโยนของหยุนไห่เทียน นางรู้สึกละอายใจ
แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่หยุนถิงพูด เพื่อสิ่งที่ตัวเองรักบางครั้งก็สามารถใช้ความคิดเล็กน้อย นางไม่ได้ไปทำร้ายใคร ยิ่งไม่ได้ทำสิ่งที่ผิดต่อฟ้าดิน เพียงแค่สร้างโอกาสที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับเขานานขึ้นอีกนิด เท่านั้นเอง
องครักษ์ลับที่อยู่เหนือศีรษะฟังความเคลื่อนไหวในหลุมลึก ทิ้งคนเอาไว้ที่นี่คอยประสานงานหนึ่งคน อีกคนก็รีบกลับไปรายงานทันที
หยุนถิงกำลังนั่งดูดาวกับจวินหย่วนโยวที่คันนาของทุ่งข้าวสาลี ฟังการรายงานขององครักษ์ลับ พึงพอใจอย่างมาก
“จับตาดูต่อไป อย่าให้พวกเขาเกิดเรื่องก็พอ เรื่องอื่นๆไม่ต้องสนใจ!” หยุนถิงกล่าว
“ขอรับ!”
องครักษ์ลับจากไปแล้ว จวินหย่วนโยวมองไปทางหยุนถิง “เจ้าปฏิบัติต่อพี่ใหญ่ของเจ้าด้วยความตั้งอกตั้งใจขนาดนี้ ไม่กลัวว่าหลังจากที่เขารู้แล้วจะโกรธหรือ?”
“กลัวทำไม พี่ใหญ่ข้าก็คือท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ซูชิงโยวนิสัยใจคอและภูมิหลังครอบครัวล้วนไม่เลวทั้งนั้น คู่ควรกับพี่ใหญ่ข้าพอดี ข้าก็ต้องสร้างโอกาสให้พวกเขาอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าข้าอาจต้องเปลี่ยนมาเรียกพี่สะใภ้ในไม่ช้านี้แล้ว!” หยุนถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้านี่นะ ออกมาพักผ่อนยังไม่ลืมพะวักพะวนอีก” จวินหย่วนโยวกล่าวอย่างตามใจ
“ข้าเป็นคนชอบพะวักพะวนอยู่แล้ว ย่อมหวังว่าคนที่อยู่รอบตัวข้าจะมีชีวิตที่ดีอยู่แล้ว”
จู่ๆจวินหย่วนโยวก็หยิบกล่องผ้าออกมาจากแขนเสื้อหนึ่งอัน เปิดออกมาข้างในเป็นจี้หยกหนึ่งอัน รูปร่างของจี้นั่นเหมือนเด็กคนหนึ่งมากกว่า คล้ายคลึงกับของจริงมาก แกะสลักอย่างประณีต
“ซื่อจื่อ นี่คือ?” หยุนถิงถาม
“นี่คือจี้ที่ข้าแกะสลักด้วยตัวเอง เป็นรูปของเด็ก ทำเป็นจี้ ให้เจ้าเก็บเอาไว้ หลังจากที่ลูกเกิดแล้ว เจ้าก็มอบให้เขา” จวินหย่วนโยวกล่าว
หยุนถิงประทับใจอย่างมาก ยื่นมือรับมา “ซื่อจื่อเอาใจใส่ดีมาก คิดไม่ถึงว่าท่านยังมีความสามารถเช่นนี้อยู่ งั้นข้าก็จะต้องขอบคุณท่านแทนเขาแล้ว แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เช่นนั้นข้าจะร้องเพลงให้ท่านฟังสักเพลงแล้วกัน เรากำลังดูดาวกันอยู่ ข้าจะร้องเพลงดาวดวงน้อยให้ท่านฟัง!”
นางไม่ได้ร้องเพลงดาวดวงน้อยฉบับภาษาจีน แต่ร้องเพลงดาวดวงน้อยฉบับภาษาอังกฤษแทน
เสียงคมชัดไพเราะ ถึงแม้จวินหย่วนโยวจะฟังไม่เข้าใจ แต่ขอเพียงถิงเอ๋อร์เป็นคนร้อง เขาล้วนชอบทั้งนั้น
ไม่ไกลออกไป ซวนอ๋องเดินผ่านมาพอดี ได้ยินหยุนถิงกำลังร้องเพลงอะไรอยู่ เขาหยุดฝีเท้าลง
ถึงแม้โม่เหลิ่งเหยียนก็ฟังไม่เข้าใจ แต่เขากลับรู้สึกว่ามันไพเราะมาก จังหวะกับน้ำเสียงล้วนพิเศษทั้งนั้น
โม่เหลิ่งเหยียนยืนอยู่ไม่ไกลออกไป มองไปทางจวินหย่วนโยวกับหยุนถิงบนคันนา ดวงตาลึกล้ำ ไม่ขยับเขยื้อนไม่พูดไม่จา ทำให้คนมองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หลิ่วเฟยออกมาเดินเล่นกับฮ่องเต้ เห็นภาพฉากนี้เข้าพอดี หลิ่วเฟยเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย “ฝ่าบาท ซวนอ๋องมองดูจวินซื่อจื่อกับคุณหนูหยุนเช่นนี้ คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเขาสนใจคุณหนูหยุน บางทีเขาอาจแค่อิจฉาจวินซื่อจื่อเท่านั้น ซวนอ๋องอายุมากกว่าองค์ชายสี่เล็กน้อย ฝ่าบาทเคยคิดเรื่องพระราชทานการแต่งงานหรือไม่?”