จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 504 มีเพียงนางเท่านั้นที่จริงใจต่อข้าอยู่บ้าง
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 504 มีเพียงนางเท่านั้นที่จริงใจต่อข้าอยู่บ้าง
สายตาจวินหย่วนโยวเย็นเยียบ “คนพวกนั้นที่แคว้นชางเยว่ล้วนมิใช่ธรรมดา พวกเขาสามารถลงมือกับชางหลันเย่ในพระราชวังของแคว้นต้าเยียน เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้เขากลับไป บัดนี้เขากลับไปได้อย่างปลอดภัย คนพวกนั้นมีหรือจะปล่อยเขาไว้!”
“ข้าอยากกลับจวนซื่อจื่อแล้ว ข้ามีความคิดดีๆแล้ว ถือว่าช่วยเขาแล้วกัน” หยุนถิงบอก
“ทำไมเจ้าต้องช่วยเขาถึงเพียงนี้?” จวินหย่วนโยวถาม
ทั้งๆที่เขาจำได้ว่าหยุนถิงมิได้สนิทสนมอะไรกับชางหลันเย่นัก ทำไมต้องทำเต็มที่ขนาดนี้
“เพราะข้าเห็นใจเขา เขาโดนคนที่สนิทที่สุดส่งตัวมาเป็นตัวประกันที่แคว้นต้าเยียนตั้งแต่เล็ก ต้องอดทนรับการทรมานเหยียดหยามทรมาน เขามีชีวิตอยู่มาได้จนบัดนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาจิตใจมั่นคง มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
ซื่อจื่อของข้ามีเงินมากขนาดนี้ ใช้ไปหลายชาติก็ใช้ไม่หมด เหตุใดต้องประหยัดเช่นนี้ ช่วยคนก็เหมือนช่วยตัวเอง ไม่แน่ว่าวันไหนพวกเราก็อาจต้องการการช่วยเหลือจากเขาก็ได้!” หยุนถิงอธิบาย
จวินหย่วนโยวเห็นนางใจกว้างเช่นนี้ สายตากว้างไกล ดวงตาดำขลับเต็มไปด้วยแววชื่นชม “ได้ ฟังเจ้านะ ตอนนี้พวกเรากลับไปก่อน!”
ทั้งสองคนกลับไปเก็บข้าวของ ส่งคนไปบอกฮ่องเต้ จากนั้นขึ้นรถม้าจากไป
ตอนองค์ชายสี่โม่ฉือชิงมาหาหยุนถิง ก็ไม่พบใครแล้ว
“สองคนนี้รีบร้อนกลับไปอย่างนี้ หรือมีเรื่องอะไรดีๆอีกกันแน่?” โม่ฉือชิงบ่น
ในเมื่อหยุนถิงกลับไปแล้ว เขาอยู่ต่อก็ไม่มีความหมายอะไร
ส่วนทางด้านซูชิงโยว หลังจากพักฟื้นสองวันแล้ว ข้อเท้าดีขึ้นหน่อย สาวใช้เห็นอากาศไม่เลว กำลังพยุงนางออกไปตากแดดในสวน จากนั้นก็เห็นหยุนไห่เทียนเดินเข้ามา
สีหน้าซูชิงโยวกระอักกระอ่วนยิ่งนัก คิดถึงคำพูดของหยุนไห่เทียนก่อนหน้านี้ เลยยิ่งไม่มีหน้าจะอยู่ต่อ
“คุณหนูซู ถิงเอ๋อร์ส่งคนมาบอกข้าว่านางมีธุระต้องกลับไปก่อน ให้ข้าสั่งคนส่งท่านกลับไป หากตอนนี้ท่านอยากกลับ ข้าจะให้ลูกน้องไปส่งท่านดีหรือไม่?” หยุนไห่เทียนถาม
“หยุนถิงมีเรื่องสำคัญอะไรรึ?” ซูชิงโยวถามอย่างกังวล
“มีจวินหย่วนโยวอยู่เป็นเพื่อนนาง น่าจะไม่เป็นอะไร”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รบกวนแม่ทัพหยุนแล้ว ตอนนี้ข้าจะไปเก็บข้าวของเลย!” ซูชิงโยวพูดจบ หมุนตัวทำท่าจะไป
เพียงแต่นางลืมว่าข้อเท้าของตนยังบาดเจ็บอยู่ ขาพึ่งแตะพื้น ความเจ็บปวดเสียดแทงใจขึ้นมา ทำให้สีหน้าซูชิงโยวซีดเผือดหนักมาก แทบล้มลงพื้นไป
หยุนไห่เทียนเห็นอย่างนั้นก็พุ่งเข้าไปรับนางเอาไว้ “เจ้ายังดีอยู่หรือไม่?”
ซูชิงโยวรู้สึกได้ถึงว่ามือใหญ่มีพลังนั่นกำลังดึงแขนตนอยู่ แก้มแดงเรื่อขึ้นมาทันที นางรีบยืนตัวตรง “ขอบคุณแม่ทัพหยุนนั่นที่ช่วยเหลือ แต่ข้ามิเป็นไรแล้ว แผลเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ระหว่างพูด ก็ผลักมือหยุนไห่เทียนออก
“ถิงเอ๋อร์ไหว้วานข้าดูแลเจ้า ข้าย่อมไม่อาจให้เจ้าเกิดเรื่องได้ ให้สาวใช้เจ้าไปเก็บข้าวของเสีย ข้าจะให้คนนำรถม้ามาบัดเดี๋ยวนี้!” หยุนไห่เทียนหมุนตัวจากไป
สาวใช่รีบบอก “คุณหนู เมื่อครู่ท่านมิเป็นไรกระมัง ทำข้าตกใจหมด โชคดีมีแม่ทัพหยุนอยู่!”
แววตาซูชิงโยวมีประกายกระอักกระอ่วน “เจ้าไปเก็บข้าวของเถิด”
“เจ้าค่ะ!”
หยุนไห่เทียนพาลูกน้องสองคนมาอย่างรวดเร็ว และยังมีรถม้าคันหนึ่งหยุดอยู่นอกเรือน
สาวใช้เก็บข้าวของเสร็จแล้ว ก็พยุงซูชิงโยวออกไป
จวนจนรถม้าจากไป หยุนไห่เทียนถึงได้หมุนตัวจากไป
พอเขาหันหัวกลับมา ก็เห็นหลิ่วเฟยที่ยืนห่างไปไม่ไกลกำลังมองมาที่ตนเอง หยุนไห่เทียนรีบเข้าไปคารวะทันที
“ถวายบังคมหลิ่วเฟยเหนียงเหนียง!”
หลิ่วเฟยยิ้มบาง “แม่ทัพหยุนมิต้องมากพิธีไป ข้าเห็นเมื่อครู่ท่านพึ่งให้คนไปส่งคุณหนูซู คุณหนูซูมิสบายตรงไหนหรือไม่?”
“ขาของคุณหนูแพลงบาดเจ็บ ถิงเอ๋อร์ให้ข้าน้อยส่งนางกลับไป” หยุนไห่เทียนอธิบาย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ลำบากแม่ทัพหยุนแล้วล่ะ!” หลิ่วเฟยบอกอย่งใจดี
“เหนียงเหนียงเกรงใจไปแล้ว”
…..
แคว้นชางเยว่
นับจากชางหลันเย่กลับไปแล้ว ร่างกายของหมิงเฟยก็ดีขึ้นมาก ฮ่องเต้เองก็ดูแล ทะนุถนอมพวกเขาแม่ลูกเป็นอย่างดี พระราชทานอนุญาตเป็นพิเศษให้ชางหลันเย่อยู่ในพระราชวังได้ อีกทั้งการอยู่การกินต่างใช้ของดีที่สุด
คนนอกเข้าใจแค่ว่า เพราะเห็นลูกชายกลับมาแล้ว หมิงเฟยอารมณ์ดี ทำให้ร่างกายดีขึ้นไปด้วย
แต่มีเพียงชางหลันเย่รู้ดีว่า เพราะโดนหยางเฟยวางยาพิษ ทำให้หมิงเฟยล้มป่วยนอนติดเตียงมานานหลายปี บัดนี้เขาให้หมิงเฟยกินยาถอนพิษที่หยุนถิงให้ทุกวัน ผสานกับกำยานถอนพิษ ดังนั้นร่างกายของหมิงเฟยเลยดีขึ้นมาก
เหล่าขุนนางในรัชกาลก่อนยิ่งนอบน้อม พะเน้าพะนอ ประจบชางหลันเย่ยิ่งนัก เรียกได้ว่าประจบประแจงสอพลอ ทำเอาขางหมิงเยว่และหยางเฟยโกรธจัด ทำลายข้าวของในตำหนักยกใหญ่
นี่ไง ชางหมิงเยว่พึ่งออกจากว่าราชการเข้าก็ไปตำหนักของหยางเฟยทันที “เสด็จแม่ ท่าต้องคิดหาหนทางให้ได้นะ ราชการเช้าวันนี้เสด็จพ่อส่งชางหลันเย่ไปเยี่ยมไท่เฟยที่เมืองอู่หนิง นั่นน่ะปกติเป็นเสด็จพ่อที่ไปทุกปีนะ ตอนนี้เสด็จพ่อทำเช่นนี้มิเท่ากับประกาศต่อใต้หล้ารึว่าให้จะชางหลันเย่ขึ้นครองบัลลังก์ต่อน่ะ?”
สีหน้าหยางเฟยบูดบึ้งยิ่งนัก “ชางหลันเย่น่าตายนัก พอกลับมาก็แย่งอำนาจพวกเราไปไม่น้อย ตอนนี้ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับพวกเขาสองแม่ลูกนัก ทำให้เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างคิดว่า ทั่วทั้งแคว้นชางเยว่เป็นของพวกเขาแล้ว ข้าจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด ให้เจ้าจับตาดูชางหลันเย่มิใช่รึ ระยะนี้เขามีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่?”
“เสด็จแม่ พูดถึงเรื่องนี้ยิ่งแปลกนัก ทุกๆเวลาเช้าชางหลันเย่จะไปถวายบังคมหมิงเฟย อยู่เป็นเพื่อนหมิงเฟย หรือไม่ก็อ่านหนังสือคัดลายมืออยู่ในห้องตนเอง ออกไปว่าราชการตามเวลาทุกวัน ไม่ได้ออกจากวังหรือติดต่อคนภายนอกเลย!” ชางเยว่หมิงเดือดดาลนัก
เขาให้คนจับตาดูชางหลันเย่มาเป็นเดือนสองเดือนแล้ว เขาไม่เผยจุดอ่อนออกมาเลย น่าตายนัก
สายตาหยางเฟยฉายแววโหดเหี้ยมขึ้น “ไม่คิดเลยว่าเขาจะอดทนไหวเยี่ยงนี้ ไปเมืองอู่หนิงครั้งนี้เป็นโอกาสของเราแล้ว ข้าจะต้องให้มันไปไม่กลับแน่!”
“เสด็จแม่ทรงพระปรีชานัก!”
ด้านนอกประตู ชางหยุนสี่ที่กำลังจะเข้ามาได้ยินบทสนทนาของเสด็จแม่และพี่รอง มีบทเรียนจากครั้งก่อน ชางหยุนสี่ไม่ได้เข้ามาอาละวาดโวยวาย แต่กลับถอยออกไปเงียบๆ นางพุ่งตรงไปตำหนักไท่จื่อทันที
พอชางหยุนสี่เข้าไป ก็รีบพูดทันที “ท่านพี่ไท่จื่อ ครั้งนี้ท่านอย่าไปเมืองอู่หนิงนะ!”
พอเห็นท่าทางลนลานร้อนรนของนางเช่นนี้ สีหน้าชางหลันเย่กลับสงบราบเรียบนัก “เจ้าได้ยินอะไรมารึ?”
ชางหยุนสี่สีหน้าชะงักกึก ด้านหนึ่งคือพี่รองและเสด็จแม่ของตน อีกด้านคือท่านพี่ไท่จื่อ นางลำบากใจจริงๆ
“เปล่า ข้าไม่ใช่ได้ยินอะไรมา สรุปแล้วท่านพี่ไท่จื่อท่านอย่าไปเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นท่านจะมีอันตรายแน่” ชางหยุนสี่บอกอย่างเป็นห่วง
“ขอบใจน้องหญิงสี่นักที่เป็นห่วงข้า เพียงแต่เสด็จพ่อมีพระราชโองการลงมาแล้ว เมืองอู่หนิงนี้ข้าต้องไปแน่ ขอบใจเจ้าที่เตือนนะ ข้าจะระวังตัว!” ชางหลันเย่ตอบ
“งั้นข้าไปขอร้องเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้อง—-“
“ไม่ต้องหรอก ระยะนี้เสด็จแม่ข้าเอาแต่บ่นคิดถึงเจ้า เจ้าไปดูนางหน่อยเถอะ”
ชางหยุนสี่เกลี้ยกล่อมชางหลันเย่ไม่ได้ ถึงจากไป ก่อนไปยังไม่วายเตือนให้เขาระวังตัว
พอเห็นนางไปแล้ว เจว๋เฟิงเดินออกมาจากในห้อง “ไม่คิดเลยว่า น้องหญิงสี่ของเจ้าผู้นี้จะมีน้ำใจนัก”
ชางหลันเย่มองไปหน้าประตู สายตาเย็นเยียบเหี้ยมโหด “ทั่วทั้งวังหลวง มีเพียงนางที่พอจริงใจกับข้าอยู่บ้าง เพียงแต่จริงใจแล้วอย่างไรเล่า!”