จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 516 หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าไม่คู่ควรกับเขาล่ะ
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 516 หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าไม่คู่ควรกับเขาล่ะ
ก่อนหน้านี้เฟิ่งจาวหยีให้หยุนถิงจับชีพจรให้นาง และกินยาที่หยุนถิงจัดให้มาตลอด แต่ผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้แล้ว กลับไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย
ระหว่างนี้เฟิ่งจาวหยียังส่งคนไปจวนซื่อจื่อ แต่ไปตอนหยุนถิงพักผ่อนพอดี จวินหย่วนโยวให้พ่อบ้านปฎิเสธว่าไม่ว่างไปเลย ดังนั้นเฟิ่งจาวหยีเลยเจ็บแค้นหยุนถิง
นางเอาความผิดที่ตนเองไม่อาจท้องได้ใส่หัวหยุนถิง คิดว่านางไม่ได้ตั้งใจช่วยตนจริงๆ ตอนนี้เฟิ่งจาวหยีสบโอกาส ย่อมไม่มีทางยอมปล่อยไปแน่
หยุนถิงไม่โกรธไม่ว่า หันไปถวายบังคมฮ่องเต้ “กราบทูลฝ่าบาท การที่น้องมาช้า นั่นเป็นเพราะเมื่อครู่มีนางกำนัลคนหนึ่งบอกว่า เฟิ่งจาวหยีเรียกพบซูชิงโยว สุดท้ายซูชิงโยวตามนางกำนัลคนนั้นออกไป กลับเกือบโดนนางกำนัลคนนั้นฆ่าตาย โชคดีที่แม่ทัพหยุนผ่านมาช่วยชิงโยวไว้ได้ทัน เมื่อครู่น้องมัวปลอบโยนชิงโยวเลยทำให้มาช้าไปหน่อย!”
ในเมื่อมีคนกล้าลงมือในพระราชวัง ก็แสดงว่าคนผู้นั้นฐานะไม่ธรรมดาถ้าให้ตนไปตรวจสอบอย่างลับๆ ไม่สู้ให้ฮ่องเต้ไปสืบ
หยุนถิงพูดไปก็เหล่มองหลิ่วเฟย ไม่ยอมปล่อยสีหน้าใดบนใบหน้านางไปเลย
อันที่จริงหยุนถิงก็ไม่เชื่อว่าหลิ่วเฟยจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมา บางทีอาจจะมีคนใส่ร้ายหลิ่วเฟย ดังนั้นหยุนถิงเลยแกล้งพูดอย่างนี้ จะได้ทดสอบไปด้วยเลย
“หยุนถิงเจ้ากล้าใส่ร้ายข้า ข้ามิได้มีความแค้นใดๆกับซูชิงโยวเลย จะส่งคนไปลอบฆ่านางทำไมกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นงานเลี้ยงเช่นงานเลี้ยงฤดูใบไม้ร่วงในวันนี้อีก ข้ายังไม่ได้โง่ถึงขั้นนี้!
เจ้าต่างหาก กล้าเรียกตนเองว่าน้องกับฝ่าบาท ละเมิดกฎเกณฑ์เยี่ยงนี้ ข้าว่าเจ้าต่างหากเป็นผู้ร้ายเสียเอง!” เฟิ่งจาวหยีบอกอย่างเดือดดาลจัด
“ข้าอยู่ไกลถึงแคว้นเทียนจิ่วยังเคยได้ยินว่า ฝ่าบาทแห่งแคว้นต้าเยียนแต่งตั้งหยุนถิงเป็นองค์หญิง แบบนี้หยุนถิงแทนตนเองว่าน้องก็มิผิดแต่อย่างใด!” จี้อวี๋ที่ดูละครอยู่แทรกขึ้น
ดูท่างานเลี้ยงนี้จะสนุกมากนะ
พอคำนี้ออกมา สีหน้าเฟิ่งจาวหยีเปลี่ยนสีราวกิ้งก่าทันที กระดากอายขั้นสุด บูดบึ้งยิ่งนัก
นางลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร ต้องโทษหยุนถิงที่ปกติไม่ชอบให้ใครเรียกองค์หญิง ทำเอาตนก็ลืมไปเลย
“ต่อให้เจ้าเป็นองค์หญิงแล้วอย่างไร ใส่ร้ายป้ายสีก็เป็นโทษหนัก ขอฝ่าบาทลงโทษด้วยเพคะ!” เฟิ่งจาวหยีเดือดดาลนัก
ฝ่าบาทเหล่มองหยุนถิง ตนเองแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงมานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่หยุนถิงแทนตนว่าน้อง คำพูดนี้บอกชัดว่าหยุนถิงอยากให้ตนออกหน้าให้นาง นังหนูนี่ให้โจทย์ยากกับตนจริงๆ
หลิ่วเฟยเห็นฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ถามอย่างเป็นห่วงทันทีว่า “คุณหนูซูได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
ซูชิงโยวถวายบังคมใส่หลิ่วเฟย “กราบทูลหลิ่วเฟยเหนียงเหนียง โชคดีที่แม่ทัพหยุนผ่านมาพอดี หม่อมฉันจึงมิได้รับบาดเจ็บเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดี ต่อไปคุณหนูซูต้องระวังตัวให้มากหน่อยนะ”
“ขอบพระทัยเหนียงเหนียงที่เป็นห่วง!” ซูชิงโยวตอบอย่างนอบน้อม
ทั้งๆที่หลิ่วเฟยถามอย่างเป็นห่วง หากไม่รู้ทำไมซูชิงโยวถึงรู้สึกขัดหูนัก บางทีนางอาจจะคิดมากไป
“การลอบฆ่าบุตรีขุนนางราชสำนักในพระราชวังเป็นเรื่องใหญ่ ขอฝ่าบาทสืบสวนเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด มิเช่นนั้นจะทำให้ผู้คนประหวั่นพรั่นพรึงกัน!” หรูเฟยที่นิ่งเงียบมาตลอดพูดขึ้น
“ใช่ ทางที่ดีสืบให้รู้แน่ชัดแล้วคืนความบริสุทธิ์ให้ข้าด้วย!” เฟิ่งจาวหยีบอกอย่างเดือดดาล
หยุนไห่เทียนเข้ามาพอดี “ฝ่าบาท กระหม่อมกลับไปตามหาศพนางกำนัลผู้นั้น พบว่าศพหายไปแล้ว ข้านำคนออกตามหารอบบริเวณที่คุณหนูซูเกิดเรื่องแล้ว แต่ก็หาไม่เจอ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย!”
ฮ่องเต้สีหน้าทะมึนอันตราย “หยุนไห่เทียน ข้าขอสั่งเจ้าให้ทำการสืบสวนเรื่องนี้อย่างเต็มกำลัง กล้ามาทำการลอบฆ่าบุตรีขุนนางราชสำนนักในวังของข้า แล้วยังทำลายศพอีก ไม่ว่าเป็นใคร ข้าจะไม่ละเว้นแน่นอน!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หยุนไห่เทียนน้อมรับคำสั่งอย่างนอบน้อม
“เชื่อว่าแม่ทัพหยุนไปตรวจสอบ ต้องสืบหาตัวฆาตกรได้ในไม่ช้าแน่ โชคดีที่คุณหนูซูมิเป็นอะไร เช่นนั้นทุกคนสนุกกันต่อเถอะ” หลิ่วเฟยบอก
คนอื่นพากันเข้าประจำที่ หยุนไห่เทียนถอยออกไป งานเลี้ยงเริ่มต่อ ซูชิงโยวนั่งใกล้หยุนถิง
“พี่หญิงชิงโยว ท่านไม่เป็นไรจริงๆใช่หรือไม่?” หยุนซูและหยุนหลีรีบเข้ามาถามทันที
“อืม ข้ามิเป็นไร มีกำไลที่หยุนถิงให้ข้า และแม่ทัพหยุนผ่านมาพอดี วางใจเถอะ” ซูชิงโยวปลอบ
สายตาหยุนถิงเหล่มองหลายคนบนบัลลังก์สูง หลิ่วเฟยยังคงสงบนิ่งดุจเดิม และยังเป็นห่วงซูชิงโยว ไม่เหมือนคนกินปูนร้อนท้อง หรูเฟยยิ่งเย็นชาสง่างาม ถึงเฟิ่งจาวหยีจะจองหอง แต่หยุนถิงรู้ดีว่ามิใช่นาง วินาทีนี้หยุนถิงเริ่มดูไม่ออกสนมที่เป็นที่โปรดปรานทั้งสองนางที่อยู่บนบัลลังก์สูงนั่น
หรือว่า จะเป็นคนอื่น
“ฝ่าบาท พวกข้ามาไกลจากแคว้นเทียนจิ่ว ขอพบท่านอ๋องน้อยของเราหน่อยได้หรือไม่?” หลัวหรูจี๋ซึ่งเป็นราชครูแห่งแคว้นเทียนจิ่วเอ่ยขึ้น
ก่อนหน้านี้เขาสอบถามหลายครั้งแล้ว แต่กลับโดนฮ่องเต้แคว้นต้าเยียนปฏิเสธ ตอนนี้แกล้งพูดออกมาในงานเลี้ยง ก็แค่อยากดูว่าฮ่องเต้ต้าเยียนจะปฏิเสธอย่างไรอีก
จี้อวี๋คิ้วขมวดน้อยๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะนางเองก็อยากจะเจอเซียจิ่วเซียวให้เร็วขึ้น
“ราชครูเสนอเช่นนี้ ไม่สมควรจริงๆ ก่อนหน้านี้จวินซื่อจื่อบอกแล้วนี่ ให้องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเทียนจิ่วมารับเซียจิ่วเซียวกลับด้วยตัวเอง ลองนับวันดู องค์หญิงใหญ่ของพวกท่านน่าจะใกล้ถึงแล้ว ราชครูรออีกสักหลายวันแล้วกัน!” ฮ่องเต้พูดเนิบช้า
หลัวหรูจี๋สีหน้าทะมึน เหล่มองใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งของจวินหย่วนโยว ตกใจสั่นระรัว ไม่กล้าคัดค้านใดๆอีก
“เช่นนั้น ก็ทำตามฮ่องเต้บอกแล้วกัน” หลัวหรูจี๋ตอบ พยายามข่มกลั้นความไม่พอใจ
หลังจากโดนจวินหย่วนโยวสั่งสอนไปครั้งก่อน หลัวหรูจี๋ก็ไม่กล้าบังอาจอีกเลย
“ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ข้าเคยประมือกับแม่ทัพหยุน เลื่อมใสในความกล้าหาญมิกลัวเกรงข้าศึกศัตรูหรือภยันตรายของทหารต้าเยียนยิ่งนัก มิทรายว่าจะมีโอกาสได้ชื่นชมค่ายทหารของต้าเยียนสักครั้งหรือไม่?” จี้อวี๋เสนอ
ฮ่องเต้สีหน้าเย็นชา เขายังไม่ทันออกปาก โม่ฉือชิงก็พูดแทรกขึ้นว่า “จี้อวี๋ สตรีเช่นเข้าไม่มีไรไปค่ายทหารทำไมกัน คงมิใช่สนใจหยุนไห่เทียนแล้วกระมัง?”
คำพูดเดียวประหนึ่งสายฟ้าฟาดลงมา ทำทุกคนกลั้นหายใจรอฟังคำตอบ
โดยเฉพาะซูชิงโยว เมื่อครู่นางพึ่งหยิบองุ่นขึ้นมา มือนั้นสั่นจนแทบทำองุ่นหลุดมือ เป็นหยุนถิงที่มือไวรับไว้ได้ทัน และส่งสายตาปลอบประโลมซูชิงโยว
จี้อวี๋ยิ้มบางบอก “ข้าเลื่อมใสแม่ทัพหยุนจริงๆ”
“เลื่อมใสได้ แต่พี่ใหญ่ของข้าไม่มีทางแต่งงานกับสตรีแคว้นเทียนจิ่วแน่นอน!” หยุนถิงแค่นเสียงเย็น
จี้อวี๋สีหน้าเย็นชาทันที ถึงนางจะหวาดกลัวเข็มเงินของหยุนถิง แต่โดนหยุนถิงปฏิเสธออกมาต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ จี้อวี๋รู้สึกขายหน้ายิ่งนัก แค่นเสียงเย็นถามว่า “หรือว่าองค์หญิงหยุนคิดว่าข้าไม่คู่ควรกับแม่ทัพหยุนรึ?”
“หยุนถิง เจ้าอย่ามากำเริบ แม่ทัพหยุนยังไม่ทันพูดอันใดเลย เจ้าเป็นบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วมีสิทธิ์อันใดมาตัดสินใจแทนแม่ทัพหยุน?” เฟิ่งจาวหยีเอ่ยหยัน
หยุนถิงยิ้มเย็น “สิทธิ์ที่ข้าแซ่หยุน ข้าเองก็เป็นคนของตระกูลหยุน ท่านพ่อข้าเคยบอกว่า คนตระกูลหยุนไม่มีทางแต่งงานเจริญสัมพันธไมตรี เพราะผู้ที่พวกเราตระกูลหยุนจงรักภักดีด้วยคือฝ่าบาท
ถึงการแต่งงานเจริญสัมพันธไมตรีจะทำผลประโยชน์ระยะหนึ่งมาให้ แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้า ไม่แน่คงมีคนชั่วใช้เป็นประโยชน์ ใส่ร้าย หาว่าตระกูลหยุนข้าคบคิดต่างแคว้นทำการขายชาติ หันไปภักดีต่อแคว้นอื่น ถึงเวลานั้นต่อให้กระโดดลงแม่น้ำหวงก็คงล้างมลทินมิได้
ข้าจำได้ว่าเฟิ่งจาวหยีเองก็มีน้องชาย ปีนี้อายุสิบห้าพอดี รุ่นราวคราวเดียวกับแม่ทัพจี้พอดี ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก ฝ่าบาทไม่ลองพระราชทานสมรสให้ตระกูลเฟิ่งเล่า”