จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 518 นั่นมิใช่ข้ามอบให้ แต่เป็นเจ้าเรียกร้องเอาเอง
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 518 นั่นมิใช่ข้ามอบให้ แต่เป็นเจ้าเรียกร้องเอาเอง
คำพูดเดียวทำทุกคนตกตะลึง
คิ้วงามเย็นชาของโม่เหลิ่งเหยียนขมวดขึ้นเล็กน้อย เขาถึงเหลือบตาขึ้นมองสตรีตรงหน้า
สตรีนั้นยื่นมือไปแกะผ้าปิดหน้าตนออก เผยให้เห็นใบหน้านาง
นางผิวราวครีม ใบหน้าหมดจด งดงามประดุจภาพวาด ดวงตามีประกายเย้ายวน และจับจ้องมองซวนอ๋องไม่วางตา ประกายความรักฉายชัดในนั้นอย่างไม่ปิดบัง
ทุกคนประหลาดใจนัก สตรีนางนี้กล้ารักชอบซวนอ๋อง หากมิใช่สมองมีปัญหา ก็คงคิดอยากตาย
ซวนอ๋องปีนี้ยังมิได้ทำเรื่องที่สะท้านสะเทือนไปทั่วสี่แคว้นเลย สตรีนางนี้คงมิใช่อยากตายกระมัง
โม่เหลิ่งเหยียนเพียงมองสตรีนางนั้นด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ดึงสายตากลับ “ข้าไม่รู้จักเจ้า!”
คำพูดเย็นชาเพียงหนึ่งคำ ทำให้สตรีนางนั้นกระอักกระอ่วนนัก
หากเป็นคนอื่รน ต้องอับอายขายขี้หน้าเป็นแน่แท้ แต่อวี้เซียนเอ๋อร์ไม่ถือสาเลย นางยังคงยิ้ม
“ซวนอ๋องเป็นบุคคลสูงส่งจำมิได้ สามปีก่อนพวกเราเคยพบกันที่ตระกูลอวี้ ตอนนั้นท่านยังมอบขลุ่ยสั้นให้ข้าอันหนึ่งเลย!” อวี้เซียนเอ๋อร์พูดพลางหยิบขลุ่ยสั้นที่ทำจากหยกขาวออกมาอันหนึ่ง
ทุกคนพากันตกตะลึง ไหนว่าซวนอ๋องมิชอบข้องแวะอิสตรีอย่างไรเล่า และไม่เคยมองสตรีนางใดเลย นี่มอบขลุ่ยสั้นให้แล้ว นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?
ตระกูลอวี้หรือว่าคือตระกูลอวี้ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ ฐานะสตรีนางนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ
หยุนถิงเองก็ประหลาดใจ มองสตรีนางนั้นมากหน่อย
โม่เหลิ่งเหยียนเหล่มองขลุ่ยสั้นคุ้นเคยนั้น ถึงได้นึกออกว่ามีเรื่องเช่นนี้จริงๆ
โม่เหลิ่งเหยียนกับเจ้าบ้านตระกูลอวี้นั้นเป็นตระกูลคุ้นเคยกันมานาน มีครั้งหนึ่งโม่เหลิ่งเหยียนไปคารวะเจ้าบ้านตระกูลอวี้ ต่อมาก็ได้เล่นพิณคุยถูกคอกับเจ้าบ้านอวี้ จากนั้นโม่เหลิ่งเหยียนก็เป่าขลุ่ยสั้นขึ้น
อวี้เซียนเอ๋อร์ฟังอยู่ข้างๆอย่างยินดี วิ่งเข้ามาถามโดยเฉพาะ และยังขอร้องให้โม่เหลิ่งเหยียนมอบขลุ่ยสั้นให้แก่นาง โม่เหลิ่งเหยียนอยู่ต่อหน้าเจ้าบ้านก็ปฏิเสธลำบาก เลยได้มอบให้ไป
“นั่นมิใช่ข้ามอบให้ แต่เป็นเจ้าเรียกร้องเอาเอง!” โม่เหลิ่งเหยียนตอบเสียงเรียบ หันมองทางหยุนถิงในบัดดล
เห็นหยุนถิงขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่รู้ว่านางไม่พอใจหรือโกรธ หรืออาจจะแปลกใจ
คนอื่นจึงถึงบางอ้อ สมเป็นซวนอ๋อง ไม่ไว้หน้าอิสตรีจริงๆ
“ฝ่าบาท คุณหนูอวี้พึ่งกลับมาจากด่านนอก มาทันงานเลี้ยงฤดูใบไม้ร่วงพอดี หม่อมฉันเลยให้นางมาเข้าร่วมด้วย” หลิ่วเฟยเอ่ยปาก
“การร่ายรำของอวี้เซียนเอ๋อร์มิธรรมดาจริงๆ เรือนร่างอรชรแน่งน้อย ดูงดงามยามเยื้องกรายนัก ข้าชอบมาก ประทานรางวัล” ฮ่องเต้พูดเนิบช้า
มิเช่นนั้นวันนี้พูดเรื่องซวนอ๋องต่อไป ต้องมีคนตายแน่
อวี้เซียนเอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ หันไปถวายบังคมหลิ่วเฟย “ขอบพระทัยฝ่าบาท หลิ่วเฟยเหนียงเหนียง!”
“คนมา พระราชทานที่นั่ง!”
ขันทีสองคนรีบยกเก้าอี้เข้ามา และไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ เก้าอี้นั้นวางข้างซวนอ๋องพอดี
อวี้เซียนเอ๋อร์เดินเข้าไปนั่งลงอย่างไม่เคอะเขินเลย
สีหน้าโม่เหลิ่งเหยียนดำเมี่ยมทันที ดวงตาดำขลับเย็นชาตวัดมองทางหลิ่วเฟย หลิ่วเฟยพลันรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งกาย ไม่สบายเอาเสียเลย รีบหันไปบอกฝ่าบาทว่าตนเหนื่อยแล้ว ขอกลับไปพักผ่อนก่อน
ขืนอยู่ต่อไป นางกลัวซวนอ๋องจะกินนาง ในเมื่อหน้าที่ที่ฝ่าบาทมอบหมายสำเร็จแล้ว หลิ่วเฟยก็ขอตัวกลับเลย
“ฮ่องเต้แคว้นต้าเยียน ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้านะ!” น้ำเสียงเดือดดาลพุ่งเข้ามา อ๋องเก้าแห่งแคว้นเป่ยลี่โดนคนพยุงพุ่งเข้ามาจากด้านนอก
ทุกคนพากันหันไปมอง โดยเฉพาะหยุนหลี พอเห็นอ๋องเก้าที่เข้ามา ใบหน้าแน่งน้อยดำเมี่ยมลงทันที
หมอนี่กล้ามาฟ้องถึงในพระราชวัง น่าตายนัก
หยุนถิงสีหน้าเรียบเฉย เหล่มองอ๋องเก้าที่ถูกพยุงเข้ามา ใบหน้าบวมปูดราวกับหัวหมู สองเบ้าตาดำเมี่ยมดุจหมีแพนด้าทำเอาดวงตาหรี่ลงเป็นเส้น มองไม่ออกถึงใบหน้าเดิมเลย
นังหนูหยุนหลีนี่ลงมือหนักจริง
ฮ่องเต้แคว้นต้าเยียนสีหน้าเย็นชา “ผู้ใดกล้าบุกรุกพระราชวังของข้า?”
“ฝ่าบาท ข้าคืออ๋องเก้าแห่งแคว้นเป่ยลี่ ครั้งนี้รับหน้าที่เป็นทูตมาแคว้นต้าเยียนเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี เพื่อความสัมพันธ์อันดีของสองแคว้น แต่ไม่คิดว่าจะมาโดนสาวน้อยคนหนึ่งอัดซ้อม ขอฝ่าบาทล้างแค้นให้ข้า คืนความยุติธรรมให้ข้าด้วย!” อ๋องเก้าพูดอย่างน่าสงสารยิ่งนัก
ลูกน้องของเขาคนหนึ่งรีบถวายหนังสือสัญญา
ซูกงกงรับมาด้วยตัวเอง จากนั้นถวายให้ฝ่าบาท
เรื่องที่เกิดขึ้นที่ร้านเกี๊ยวเส้นสายรายงานให้ฮ่องเต้นานแล้ว ตอนนี้มาเห็นหน้าตาบวมปูดของอ๋องเก้า ฮ่องเต้อดถอนหายใจไม่ได้ หยุนหลีลงมือหนักจริงๆ
เพียงแต่อ๋องเก้าก็สมควรโดนแล้ว กล้ามาลวนลามสตรีต้าเยียน หาเรื่องตายเอง
แน่นอนว่าฮ่องเต้ยังต้องแสดงละครต่อ “มิทราบว่าอ๋องเก้าโดนอัดจนเป็นเยี่ยงนี้เพราะเหตุใด?”
พูดถึงเรื่องนี้ อ๋องเก้าเดือดดาลทะลุฟ้า “เป็นเพราะนังเด็กนั่นไม่รู้จักตาย มาชนข้าเข้า ไม่เพียงไม่ถวายบังคม ยังลงมืออย่างจองหอง เรียกได้ว่าหยาบคายและป่าเถื่อนสิ้นดี!”
อ๋องเก้าพูดไป เขาพึ่งนั่งลงบนที่นั่ง หมัดหนึ่งก็ซัดมา “หยาบคาย ป่าเถื่อน เจ้าหมายถึงใครหา?”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้น เย่อหยิ่งขั้นสุด
อ๋องเก้าเงยหน้ามาเห็นใบหน้าหยุนหลี ทำเอาเขาตกใจจนตกจากเก้าอี้ ลงมาที่พื้น
“นังหนูน่าตาย เจ้า เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“หากข้าไม่อยู่ที่นี่ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคนแคว้นเป่ยลี่อย่างพวกเจ้าจะหน้าไม่อายเพียงนี้ กลับดำเป็นขาว ใส่ร้ายป้ายสี!” หยุนหลีแค่นเสียงเย็น
“เจ้าเด็กน่าตายอย่ามาพูดซี้ซั้วนะ ฝ่าบาท นี่คือนังเด็กน่าตายหยาบคายป่าเถื่อนนั่นที่อัดข้าจนบาดเจ็บสาหัส ขอฝ่าบาทให้ความยุติธรรมแก่ข้าด้วย!” อ๋องเก้าร้องโหยหวนอย่างน่าสงสาร ดูน่าสงสารนัก
ฮ่องเต้แกล้งมองหยุนหลีอย่างเข้มงวด “หยุนหลี เจ้าอัดอ๋องเก้าจนเป็นเช่นนี้จริงรึท”
“ฝ่าบาท ข้าเองเพคะ!” หยุนหลียอมรับออกมาตรงๆ
อ๋องเก้าได้ใจทันที “ยังดีที่เจ้ากล้ายอมรับ ฝ่าบาททรงได้ยินแล้วกระมัง เป็นนังหนูนี่—ไม่สิ เจ้าชื่ออะไรนะ?”
“ข้าชื่อหยุนหลี เดินไม่เปลี่ยนชื่อนั่งไม่เปลี่ยนแซ่!”
คราวนี้อ๋องเก้าลนลานแล้ว เขาตกตะลึงยิ่งนัก “เจ้า เจ้าเป็นคนตระกูลหยุน น้องสาวของหยุนถิงรึ?”
ก่อนมาท่านพี่ไท่จื่อกำชับหนักหนา ให้เขาอย่าได้ไปหาเรื่องคนตระกูลหยุนเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอย่าคิดจะมีชีวิตรอดออกจากแคว้นต้าเยียนเลย
“ใช่ หยุนถิงคือพี่หญิงใหญ่ของข้า!” หยุนหลีแค่นเสียงเย็น
“ไม่คิดว่าอ๋องเก้าแห่งแคว้นเป่ยลี่จะรู้จักข้า” หยุนถิงที่นั่งข้างๆพูดขึ้นเนิบช้า
อ๋องเก้าหันไปมองหยุนถิงอย่างเร่งด่วน ใบหน้านั้นงามล้ำยิ่ง ใบหน้างามล่มเมือง แต่กลับเย็นชาดุดัน โดยเฉพาะดวงตางามคู่นั้น ดูอ่อนหวานงดงาม แต่ยามปรายตามาราวกับคมดาบ ทำเอาอ๋องเก้าใจกระตุกวูบ
ตอนนี้อ๋องเก้าไหนเลยจะมีแก่ใจชื่นชมความงามของสาวงาม เขาตกใจแทบตายแล้ว
“อ๋องเก้าจ้องมองซื่อจื่อเฟยของข้าเช่นนี้ ไม่อยากได้ดวงตาคู่นี้แล้วรึ!” น้ำเสียงเย็นเยียบดุดันลอยมา
อ๋องเก้าสั่นสะท้านทันที เหล่มองจวินซื่อจื่อข้างๆ อ๋องเก้าพลันรู้สึกจะตายอยู่แล้ว
จบสิ้นแล้ว ที่ท่านพี่ไท่จื่อกำชับมา เขาดันทำมันเสียหมดแล้ว
เขาพึ่งมาเมืองหลวง ก็ทะเลาะกับหยุนหลี และยังฟ้องออกมาอย่างเปิดเผยโดนหยุนถิงได้ยินเข้าอีก คราวนี้ก็ทำให้จวินซื่อจื่อไม่พอใจอีก นี่เขาดวงซวยอะไรขนาดนี้ ตอนนี้อ๋องเก้าเสียนักที่เข้าวังมาฟ้องเนี่ย
ตอนนี้เขารับรู้ถึงบรรยากาศกดดันไร้รูปของจวินหย่วนโยวชัดเจนนัก อ๋องเก้าสีหน้าซีดเผือด เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นที่หน้าผาก เขาตกใจแทบเสียสติ
“จวินซื่อจื่ออย่าเข้าใจผิดนะ ข้าแค่ แค่—“ อ๋องเก้ายังพูดไม่ทันจบ ก็หน้ามืด เป็นลมสลบไปเลย