จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 576 จวินหย่วนโยวหึงหวงกับโม่เหลิ่งเหยียน
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 576 จวินหย่วนโยวหึงหวงกับโม่เหลิ่งเหยียน
ไม่นาน หลิงเฟิงหยิบกระดานหมากหยกขาวเข้ามาวางบนโต๊ะหินในศาลา
จวินหย่วนโยวพยุงหยุนถิงเดินเข้ามา โม่เหลิ่งเหยียนเดินตามไป ทั้งสองคนนั่งประจันหน้ากัน หยุนถิงนั่งมองอยู่ข้างๆ
ด้วยความกลัวว่าหยุนถิงนั่งบนเก้าอี้หินแล้วจะเย็นไป จวินหย่วนโยวจึงให้เยว่เอ๋อร์ไปหยิบที่รองนั่งมา แบบนี้หยุนถิงนั่งไปก็จะสบายขึ้นหน่อย
โม่เหลิ่งเหยียนเห็นเขาเอาใจใส่ดียิ่งนี้ ก็ไม่ชอบหน้าจวินหย่วนโยวน้อยลง
“เริ่มเลยเถอะ!” โม่เหลิ่งเหยียนหยิบหมากดำขึ้นมาในตำแหน่งเทียนหยวน
“ตกลง!” จวินหย่วนโยวหยิบหมากขาวลงตาม
หยุนถิงมองทั้งสองเล่นหมาก รู้สึกตาไม่พอเสียแล้ว
คนอื่นเล่นหมากก็คือครุ่นคิด ทบทวนสักหน่อย เขาสองคนสิดี เจ้าลงหนึ่ง ข้าลงหนึ่ง ความเร็วนั้นทำเอาหยุนถิงตาพร่าไปเลย
แต่แค่พริบตาเดียว บนกระดานหมากลงหมากไปครึ่งกระดาน หมากดำหมากขาวควบคุมซึ่งกันและกัน ลงถี่กระชั้นชิดกัน แต่ยังเหลือที่ว่างอยู่ ใครก็ไม่ได้กินหมากของใคร
“หรือว่านี่จะเป็นการดวลกันของทวยเทพในตำนาน?” หยุนถิงถามอย่างตกใจ
จวินหย่วนโยวยิ้มมุมปากอย่างพอใจ “ฝีมือการเล่นหมากของข้านั้น คงอู๋ไต้ซือยังเทียบไม่ได้เลย”
“อย่าดีใจเร็วเกินไปนัก อีกประเดี๋ยวเจ้าได้ร้องไห้แน่!” โม่เหลิ่งเหยียนบอกอย่างไม่แยแส
“งั้นรึ ใครจะร้องไห้ยังไม่แน่ดอกนะ!”
เดิมหยุนถิงอยากเรียนรู้ตามสักหน่อย สุดท้ายไม่คิดว่าสองคนนี้จะเก่งกาจเพียงนี้ รู้สึกเหมือนไม่ต้องคิดก็เล่นได้เลย
นั่นไง ความแตกต่างระหว่างคนเรานั้นไม่น้อยเลยจริงๆ
“ถิงเอ๋อร์ มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่?” จวินหย่วนโยวเห็นสีหน้าหยุนถิงไม่ดี ถามอย่างเป็นกังวล
โม่เหลิ่งเหยียนเองก็วางหมากลง มองมาเช่นกัน
“ไม่ได้ไม่สบาย แค่โดนพวกท่านทำข้าหมดความมั่นใจ ไม่คิดว่าฝีมือการเล่นหมากของพวกท่านจะดีขนาดนี้” หยุนถิงตอบ
“งั้นข้าสอนเจ้าเอง!” จวินหย่วนโยวยื่นมือมาดึงมือซ้ายของหยุนถิง และเอาหมากขาวของตนให้นาง
“ข้าก็สอนเจ้าได้!” โม่เหลิ่งเหยียนยื่นหมากดำในมือให้มือขวาของหยุนถิง
จวินหย่วนโยวหน้าทะมึนลงทันที “นางคือซื่อจื่อเฟยของข้า!”
“นางเป็นสหายรู้ใจของข้า!” โม่เหลิ่งเหยียนไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย
หยุนถิงหน่ายใจนัก “ข้าไม่เรียน พวกท่านเล่นกันไปเถอะ ตอนนี้ข้าไม่อยากใช้สมองแล้ว เยว่เอ๋อร์เจ้าไปเอาพิณของซื่อจื่อมา ข้าจะดีดพิณ”
“เจ้าค่ะ!” เยว่เอ๋อร์รีบไปหยิบทันที
ดวงตาดำขลับของจวินหย่วนโยวมีแววรอคอย ปกติถิงเอ๋อร์ไม่ดีดพิณเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เสนอขึ้นมาเอง
โม่เหลิ่งเหยียนยิ่งเลิกคิ้วน้อยๆ เขายังไม่เคยเห็นหยุนถิงดีดพิณมาก่อนเลย
ไม่นาน เยว่เอ๋อร์ก็อุ้มพิณโบราณเข้ามา “คุณหนู นำมาแล้วเจ้าค่ะ”
“วางไปด้านนั้นเถิด วันนี้ข้าจะดีดพิณคลอให้พวกท่านนะ!” หยุนถิงลุกขึ้นเดินไปนั่งลง มือเรียวขาวดีดสายพิณ
“หัวเราะเย้ยยุทธภพ จบสิ้นบุญคุณความแค้น
ผู้คนประลองฝีมือ รอยยิ้มแอบซ่อนศาสตรา
หัวเราะเย้ยโลกโลกีย์ เย้ยหยันความอ้างว้าง
จิตใจทะเยอทะยาน ไม่อาจไปดั่งใจหมาย
——–”
หยุนถิงดีดพิณไปร้องไป เสียงพิณก้องไกลกังวาน สะท้อนไปมาในอากาศ เนื้อเพลงยิ่งฮึกเหิมองอาจ บุญคุณความแค้น อิสรเสรี
หยุนถิงในตอนนี้อยุ่ในชุดสีขาว ลมน้อยพัดมา พัดชายกระโปรง ความมืดด้านหลังยิ่งส่งผลให้หยุนถิงดูล่องลอย ดูสูงส่งโดดเดี่ยว ประหนึ่งเทพธิดาที่ยืนอยู่ระหว่างสวรรค์และพื้นดิน สูงส่งไร้ใครเทียม
จวินหย่วนโยวไม่เคยเห็นหยุนถิงเป็นเช่นนี้มาก่อน มิได้เป็นเนื้อเพลงความรักเฉกเช่นสตรีอื่น หยุนถิงกลับดูมีบารมียิ่งใหญ่ ทำให้คนฟังแล้วสะท้านทรวงยิ่งนัก
ในโลกนี้มีเพียงนางเท่านั้นที่เล่นเพลงเช่นนี้ได้ ร้องเพลงเช่นนี้ได้
มือของโม่เหลิ่งเหยียนที่ถือหมากดำอยู่ข้างๆออกแรงเล็กน้อย หยุนถิงทำเขาตกตะลึงอีกครั้ง
สตรีทั่วไปมักเห็นแก่ความรักส่วนตน แต่หยุนถิงกลับคำนึงถึงแผ่นดิน อีกทั้งทรงอำนาจและตรงไปตรงมาประหนึ่งท่องเที่ยวไปในยุทธภพ นี่ต่างหากคือนิสัยของหยุนถิง
หยุนถิงที่เป็นเช่นนี้ ยิ่งทำให้โม่เหลิ่งเหยียนไม่อาจละสายตาไปจากนางได้เลย
นางไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ
จวินหย่วนโยวเห็นโม่เหลิ่งเหยียนมองหยุนถิงไม่วางตา ก็หน้าดำทะมึนลงทันที หมากขาวในมือร่วงหล่นลง พลางว่า “เจ้าแพ้แล้ว!”
โม่เหลิ่งเหยียนถึงดึงสายตากลับ เหล่มองกระดานหมาก “แค่โดนเจ้ากินหมากไปสี่ตัว จะแพ้ได้อย่างไรกัน?”
“ไม่เคยได้ยินรึว่า ลงผิดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน!” จวินหย่วนโยวเก็บหมากดำสี่ตัวขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ โยนลงบนโต๊ะหินด้านข้าง
“ยังมีอีกคำที่ว่าไม่ถึงที่สุดมิรู้ผลดอก!” โม่เหลิ่งเหยียนลงไปอีกตา กินหมากจวินหย่วนโยวไปสองตัว
ทั้งสองคนลงไปลงมา ก็กินอีกฝ่ายไปไม่น้อย
หยุนถิงยังคงร้องอยู่ จวินหย่วนโยวมองหยุนถิง มีประกายยิ้มในดวงตา ถิงเอ๋อร์ของเขาดีนัก
“เจ้าแพ้แล้ว!” โม่เหลิ่งเหยียนอาศัยทีเผลอ ดักทางหนีของจวินหย่วนโยวไว้เลย
จวินหย่วนโยวไม่โกรธเลยสักนิด “นานทีจะได้ฟังถิงเอ๋อร์ดีดพิณ แค่หมากไม่กี่ตัว เจ้าอยากได้ก็เอาไปสิ!”
หยุนถิงดีดพิณจบหนึ่งเพลง และเปลี่ยนเป็นเย้ยยุทธจักร คราวนี้โม่เหลิ่งเหยียนยิ่งตะลึงหนักกว่าเดิม ตะลึงมองหยุนถิง จนไม่มีแก่ใจจะเดินหมากแล้ว
จวินหย่วนโยวสกัดทางรอดของเขาทันที กินหมากเขาไปหลายตัว ได้ใจยิ่งนัก
ประมือกันอีกหลายครั้ง กระดานหมากที่เดิมจะลงเต็มแล้ว กลับโดนอีกฝ่ายกินหมากไปไม่น้อย เกิดช่องว่างมากมาย
สีหน้าจวินหย่วนโยวกับโม่เหลิ่งเหยียนดำทะมึน ต่างคนต่างไม่ชอบหน้าอีกฝ่าย ถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างขึ้งโกรธ เจ้าเล่ห์นักนะ
พอได้ฟังเสียงพิณของหยุนถิง ทั้งสองคนมีหรือจะมีแก่จิตแก่ใจเดินหมากอีก
“พักก่อน!” จวินหย่วนโยวแค่นเสียงเย็น
“เห็นด้วย!” โม่เหลิ่งเหยียนพูดตาม
จากนั้นทั้งสองคนก็หันไปมองหยุนถิงที่ดีดพิณอย่างตาไม่กะพริบ แบบนี้สบายกว่า
“หลิงเฟิงไปนำขลุ่ยหยกขาวของข้ามา!” จวินหย่วนโยวแค่นเสียงหึ
“ขอรับ!” หลิงเฟิงไปหยิบมาอย่างรวดเร็ว
จวินหย่วนโยวเป่าขึ้นมาทันที ไม่นานก็สอดประสานกับเสียงพิณของหยุนถิง ถึงจะเป็นครั้งแรกที่จวินหย่วนโยวกับหยุนถิงเป่าขลุ่ยดีดพิณประสานกัน แต่กลับรู้ใจกันอย่างดี
โม่เหลิ่งเหยียนเหล่มองจวินหย่วนโยวที่ทำหน้าได้ใจใส่ตน สีหน้ายิ่งบูดบึ้งมากขึ้น เขามิได้นำมา หากจะให้ลุกน้องกลับไปเอา ดูท่าจะไม่ทันการณ์แน่
เหล่มองใบไม้ข้างๆ โม่เหลิ่งเหยียนเด็ดมาหนึ่งเป่า วางที่ริมฝีปากเริ่มเป่าทันที
เสียงใบไม้ค่อนข้างหวีดแหลม ย่อมมิอาจเข้าร่วมได้ โดดเด่นขึ้นมาทันที
หยุนถิงมองออกถึงการบีบคั้นของโม่เหลิ่งเหยียน พลันเปลี่ยนเป็นทำนองเร็วขึ้นมา โม่เหลิ่งเหยียนลองอยู่หลายครั้งก็ตามเข้าไปได้
สีหน้าจวินหย่วนโยวบูดบึ้งขึ้นมาทันที โม่เหลิ่งเหยียนน่าตายนักกล้าเอาใบไม้ใบหนึ่งมาแข่งกับเสียงพิณของถิงเอ๋อร์และเสียงขลุ่ยหยกขาวของตน จวินหย่วนโยวแกล้งเป่าเร็วขึ้นหน่อย หวังกลบเสียงใบไม้ของโม่เหลิ่งเหยียน
หยุนถิงหมดปัญญา ได้แต่ใช้เสียงพิณไกล่เกลี่ย พิณโบราณ ขลุ่ยและใบไม้สอดประสานกันแบบนี้ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่ฟังแล้วกลับไม่เสียดแก้วหูเลย กลับดูเป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก
องค์หญิงสามซินฉิงที่ชอบดีดพิณมาแต่ไหนแต่ไรแล้ววิ่งเข้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงหยุนถิงดีดพิณ นางไม่เคยรู้เลยว่าจะมีสตรีที่สามารถดีดพิณได้อย่างองอาจเช่นนี้ เสียงพิณสะท้อนไปมา วินาทีนี้นางเลื่อมใสหยุนถิงจากใจจริงๆ
ต่างว่ากันว่าเสียงพิณเหมือนคน นางมิใช่สตรีธรรมดาจริงๆ
จากนั้นก็เห็นจวินหย่วนโยวกับซวนอ๋องเป่าแข่งขันกัน ถึงจะดูแปลกๆ แต่ฟังแล้วก็ไม่เลว
“ซื่อจื่อเฟยมีความรักใคร่ปรองดองของซื่อจื่อ และมีการคุ้มครองด้วยใจจริงของซวนอ๋อง ทำคนอิจฉาจริงๆนะ!” ซินฉิงอดไม่อยู่ถอนหายใจออกมา
“มีอะไรน่าอิจฉากัน เจ้าไม่รู้ถึงความลำบากของซื่อจื่อเฟยของเราหรอก!” รั่วจิ่งพลันย้อนขึ้นมาพลางเบ้ปาก