จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 58 จวนเฉิงเซี่ยงถูกปล้นแล้วรึ
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 58 จวนเฉิงเซี่ยงถูกปล้นแล้วรึ
“ทำไมจู่ ๆ หยุนถิงนังผู้หญิงอัปลักษณ์นั่นถึงกลับมาล่ะ? เร็วเข้า รีบนำพวกไข่มุกอัญมณีกับปิ่นปักผมทั้งหมดของข้าไปซ่อนให้หมด” คุณหนูหลิงร้องสั่งบ่าวไพร่
“รีบไปเอาพวกเสื้อผ้าสวย ๆ ของข้าเก็บเข้าหีบให้หมด รวมถึงพวกเสื้อผ้าที่ข้ามักจะใส่ในเวลาปกติก็เก็บซ่อนให้หมดด้วย” คุณหนูซูก็รีบร้องสั่งบ่าวไพร่เช่นกัน
“เด็ก ๆ รีบไปเอาพวกเครื่องประทินโฉมของข้าเก็บซ่อนให้หมด ถ้าหยุนถิงทำมันพังเสียหายล่ะก็ ข้าจะตีพวกเจ้าให้ตาย” คุณหนูหลีตะโกนสั่ง
“เก็บพวกคันธนูกับลูกธนูของข้าทั้งหมดให้ดี ข้าไม่อยากถูกพี่หญิงใหญ่จอมอัปลักษณ์นั่นหักทำลายจนข้าวของพังพินาศหรอกนะ” คุณชายห้าร้องสั่งคนรับใช้
“ยังมีหน้าไม้พวกนั้นของข้าด้วย จะให้พี่หญิงใหญ่รื้อทำลายจนพังหมดไม่ได้เด็ดขาด” คุณชายหกร้องสั่งตาลีตาเหลือก ขณะที่ตัวเองยังวิ่งไปวิ่งมาเพื่อซ่อนข้าวของ
“พวกเจ้าแต่ละคนทำอะไรกันอยู่น่ะ? รีบออกไปต้อนรับที่ด้านนอกเร็วเข้า วันนี้ซื่อจื่อถึงกับมาส่งพี่สาวพวกเจ้ากลับบ้านด้วยตัวเองเชียวนะ อย่าเสียมารยาทของเจ้าบ้านสิ” ฮูหยินเฉิงเซี่ยงเอ่ยปาก
“แม่ ข้าไม่ไปได้หรือไม่? แม่ก็ไม่ใช่ไม่รู้นี่ว่าพี่หญิงใหญ่ชอบรังแกข้ามาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ แล้ว” คุณชายหกทำปากย่นยู่
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ พี่หญิงใหญ่ของเจ้าแค่ถูกพ่อเจ้าตามใจจนนิสัยเสียมาตั้งแต่ยังเด็ก ใครใช้ให้นางเป็นลูกเมียเอกล่ะ แม่ของนางจากไปเร็ว นางย่อมเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของเฉิงเซี่ยงเป็นธรรมดา
อีกเดี๋ยวพอซื่อจื่อมาถึงพร้อมนาง พวกเจ้าไม่ว่าใครก็ห้ามพูดจาเหลวไหลเด็ดขาด” ฮูหยินเฉิงเซี่ยงเอ่ยเตือน
“เข้าใจแล้ว ท่านแม่” ในใจของคุณชายหกยิ่งนึกเกลียดหยุนถิงมากขึ้น
คนทั้งโขยงพากันเดินไปที่ประตูด้วยสีหน้าท่าทางไม่เต็มอกไม่เต็มใจอย่างยิ่ง พอเห็นว่ารถม้าค่อย ๆ แล่นเข้ามาในระยะห่างออกไปไม่ไกล ทั้งหมดก็ยืดตัวตรงเตรียมพร้อม
หยุนเฉิงเซี่ยงมองดูคนที่ลงจากรถม้า รีบสาวเท้าเข้าไปต้อนรับ
“พ่อ ข้ากลับมาเยี่ยมท่านแล้วเจ้าค่ะ” หยุนถิงทักทายด้วยความเคารพ
“กลับมาก็ดีแล้วลูก กลับมาก็ดีแล้ว ซื่อจื่อกับฮูหยินเดินทางเหน็ดเหนื่อยลำบากมาตลอดทาง รีบเข้าบ้านกันเถอะ ” หยุนเฉิงเซี่ยงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
“รบกวนใต้เท้าเฉิงเซี่ยงแล้ว” จวินหย่วนโยวตอบกลับอย่างสุภาพ
“เชิญซื่อจื่อเถิด”
จวินหย่วนโยวยื่นมือออกไป จูงมือหยุนถิงพานางเดินตรงไปที่ทางเข้าจวนเฉิงเซี่ยง
ทุกคนที่อยู่หน้าประตูต่างก็มองดูกันจนตาค้าง สุดท้ายต้องให้เฉิงเซี่ยงเอ่ยปากเตือน ทุกคนจึงรีบเดินตามไปทันที
หยุนถิงชำเลืองมองบรรดาน้องสาวที่หน้าประตู สีหน้าถึงกับแข็งทื่อ: “ท่านพ่อ จวนเฉิงเซี่ยงของพวกเราถูกปล้นแล้วรึ?”
หยุนเฉิงเซี่ยงตกตะลึง: “ลูกเอ๋ย ทำไมเจ้าถึงถามแบบนี้ล่ะ?”
“ถ้าไม่ได้ถูกปล้น แล้วทำไมพวกน้องสาวถึงแต่งตัวกันซอมซ่อขนาดนี้ล่ะเจ้าคะ?” หยุนถิงถามกลับ
เมื่อครู่นี้หยุนเฉิงเซี่ยงใจคอจดจ่ออยู่กับการต้อนรับพวกเขา พอมาตอนนี้ได้เห็นลูกสาวคนรอง ลูกสาวคนที่สาม กับลูกสาวคนที่สี่ล้วนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดา เส้นผมรวบมัดขึ้นเป็นมวย แต่กลับไม่ปักแม้แต่ปิ่นปักผม หรือประดับพวกเครื่องประดับไข่มุกอัญมณีใด ๆ เลยแม้แต่ชิ้นเดียว เรียกได้ว่าแต่งตัวกันอย่างเรียบง่ายจนน่าสงสาร
“ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะพ่อเอง เมื่อเร็ว ๆ นี้พ่อสนับสนุนให้ทุกคนใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายสมถะ เพราะอีกไม่กี่วันจะเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินเฒ่าฟู่ ฮูหยินเฒ่าฟู่ถือศีลกินเจมานานหลายปีแล้ว จึงไม่อยากให้ทุกคนสุรุ่ยสุร่าย” หยุนเฉิงเซี่ยงทำได้แค่หาข้ออ้างแก้ตัวแบบเฉพาะหน้า
“ฮูหยินเฒ่าฟู่?” หยุนถิงขมวดคิ้ว
“เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ” จวินหย่วนโยวเอ่ยเตือน
“ถูกแล้วล่ะถิงเอ๋อ หาได้ยากที่เจ้าจะได้กลับมาบ้าน มีซื่อจื่ออยู่ด้วย มีอะไรจะพูดก็เข้าไปพูดกันข้างในเถอะ พวกเราครอบครัวเดียวกันจะได้ค่อย ๆ พูดคุยกัน” ฮูหยินเฉิงเซี่ยงนางจ้าวพูดขึ้น
หยุนถิงชำเลืองมองผู้หญิงวัยประมาณสี่สิบที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นางแต่งตัวหรูหรา คิ้วตางดงามประณีต ดูแล้วได้รับการบำรุงดูแลผิวพรรณอย่างดี แต่หว่างคิ้วมีร่องรอยของคนช่างคิดช่างวางแผน ดูแล้วชาญฉลาดไม่ธรรมดา
นี่คือนางจ้าว ภรรยาที่พ่อแต่งเข้ามาใหม่หลังจากที่ท่านแม่ตายจากไป ตอนนี้มีฐานะเป็นฮูหยินเฉิงเซี่ยง ให้กำเนิดลูกสาวสองคน ลูกชายหนึ่งคน ตอนนี้เป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่ง
และก็เป็นนางจ้าวคนนี้เช่นกัน ที่รักใคร่ตามใจเจ้าของร่างเดิมเกินไปตั้งแต่นางยังเด็ก แม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะทำอะไรผิด ไปก่อปัญหาสร้างเรื่องเดือดร้อนอะไร นางก็ไม่เคยตำหนิ ทั้งยังปกป้องเข้าข้างแบบไม่สนถูกผิด นี่เป็นสาเหตุที่เจ้าของร่างเดิมให้การยอมรับนาง จนถูกพูดจาหลอกล่อเอาป้ายขนหงส์ ไปจากเจ้าของร่างเดิมได้
เพราะมีคำยืนยันจากเจ้าของร่างเดิม เฉิงเซี่ยงจึงสามารถยกฐานะของนางจนเลื่อนขึ้นมาเป็นฮูหยินเฉิงเซี่ยงได้
เมื่อก่อนเจ้าของร่างเดิมโง่เขลาเบาปัญญา จึงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่มาตอนนี้พอได้เห็นนางจ้าวคนนี้ ในหัวของหยุนถิงก็นึกถึงคำสองคำขึ้นมาทันที: เชือดนิ่ม ๆ
หากไม่ใช่เพราะการยุยงเสี้ยมสอน และการปกป้องแบบผิด ๆ ของนางจ้าวตลอดหลายปีนั้น หยุนถิงก็คงจะไม่กลายเป็นคนนิสัยเสียอย่างร้ายแรงขนาดนี้ มาตอนนี้เมื่อได้เห็นหน้านางจ้าว ความคิดของหยุนถิงก็เปลี่ยนไปเป็นร้อยเท่าพันเท่า
ยังคิดว่านางเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาคนนั้นอยู่รึ? ออกจะประเมินนางต่ำเกินไปหน่อยแล้ว ละครฉากที่ดีที่สุดยังไม่เริ่มเลยนะ
“แม่พูดถูกแล้ว ซื่อจื่อพวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ” หยุนถิงยกยิ้มจาง ๆ ก่อนจะดึงแขนจวินหย่วนโยวแล้วเดินเข้าไปข้างใน
เมื่อนางจ้าวเห็นว่าหยุนถิงยิ้มให้ตัวเอง หัวใจของนางก็บีบรัดด้วยเหตุผลบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก นางเอาแต่รู้สึกว่ารอยยิ้มของผู้หญิงคนนี้แฝงไปด้วยเจตนาร้าย
นี่จะต้องเป็นเพราะนางคิดมากเกินไปแน่ ๆ นังเด็กคนนี้หูตาสะเพร่ามาตั้งแต่เล็ก แค่เอ่ยคำพูดดี ๆ ไม่กี่คำก็ปั่นหัวนางให้วิ่งวนจนหัวหมุนได้แล้ว ต้องเป็นเพราะนางคิดมากเกินไปแน่ ๆ
นางจ้าวเดินนำกลุ่มลูกชายลูกสาวเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าโอบอ้อมอารี แสนจะกระตือรือร้น
คนรับใช้ยกน้ำชาเข้ามาให้ จวินหย่วนโยวยกถ้วยชาขึ้นจิบน้อย ๆ
“นี่คือชาหลงจิ่งที่เก็บได้ก่อนฝนแรกของปีนี้ ซื่อจื่อคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง?” หยุนเฉิงเซี่ยงถาม
“รสชาติกลมกล่อม มีรสหวานผสานกับความขมเล็กน้อย ไม่เลว” จวินหย่วนโยวตอบกลับ
“ซื่อจื่อชอบก็ดียิ่งแล้ว”
หยุนถิงกลับไม่รับมาดื่ม แต่สั่งให้คนไปเอากระติกน้ำร้อนที่นางพกมาด้วยยกเข้ามา: “พ่อบ้าน เจ้าไปเอาถ้วยชาเปล่ามาให้ข้าใบหนึ่ง”
“ขอรับ คุณหนูใหญ่” พ่อบ้านรีบไปหยิบทันที
“สาวน้อย เจ้าสิ่งนี้คืออะไรหรือ?” หยุนเฉิงเซี่ยงถามด้วยความสงสัย
“ที่ใส่อยู่ในนี้คือชานมเจ้าค่ะ ข้าตั้งใจเอามันกลับมาให้พ่อลองชิม ถ้าพ่อชอบ หลังจากนี้ข้าจะสั่งให้คนเอามาส่งให้พ่อทุกวันวันละถัง” หยุนถิงตอบ
“ชานม?” หยุนเฉิงเซี่ยงงงงัน
“ข้ารู้จัก เมื่อวานนี้ข้าได้ยินจากทหารในกองทัพพูดกันว่า ที่หอใต้หล้ามีขาย ราคาไม่ใช่ถูก ๆ เลย แต่รสชาติดียิ่ง” เสียงทุ้มหนาเสียงหนึ่งดังแว่วมา คุณชายใหญ่เดินอาด ๆ เข้ามาจากข้างนอก
เขาก็คือลูกชายคนโตของตระกูลหยุน แล้วก็เป็นพี่ชายที่เกิดจากแม่เดียวกันกับหยุนถิง แม่ของนางให้กำเนิดนางกับพี่ชายคนโตคนนี้ มีกันอยู่สองคน ส่วนน้องชายกับน้องสาวคนอื่น ๆ เกิดจากเหล่าอนุของพ่อ
ในบรรดาคนในตระกูลหยุนทั้งหมด หยุนไห่เทียนคือคนที่สนิทกับหยุนถิงมากที่สุด
เมื่อได้ยินว่าน้องสาวจะกลับบ้านวันนี้ หยุนไห่เทียนจึงตั้งใจรีบเดินทางกลับมาจากกองทัพ เพื่อที่จะได้พบหน้าหยุนถิงสักครั้ง
“พี่ใหญ่ ท่านกลับมาอย่างไรรึ?” หยุนถิงถามด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี
“รู้ว่าเจ้าจะกลับบ้านวันนี้ เลยจงใจขอลาหยุดเป็นพิเศษหนึ่งวัน แน่นอนว่าต้องกลับมาต้อนรับเจ้าอยู่แล้วสิ” หยุนไห่เทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ยังไงพี่ใหญ่ก็ดีกับข้าที่สุดจริง ๆ”
“พี่หญิงใหญ่ พวกเราก็มาต้อนรับท่านนะ แค่ท่านมองไม่เห็นหัวเฉย ๆ ” คุณชายหกทำปากยู่
สีหน้าของหยุนเฉิงเซี่ยงเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที จ้องลูกชายคนเล็กด้วยความโกรธตาเขม็ง: “เจ้าเด็กนี่พูดอะไรไม่เข้าท่า มาต้อนรับพี่หญิงใหญ่ของเจ้าเป็นสิ่งไม่สมควรหรอกหรือ?”
เมื่อคุณชายหกหนุนเห็นสีหน้าที่น่าเกลียดจนดูไม่ได้ของพ่อ ก็ตัวสั่นด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไร
“นายท่าน เจ้าหกยังเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง พูดจาไม่เป็น ท่านอย่าลดตัวลงไปทะเลาะกับคนที่มีความรู้น้อยกว่าเลยนะเจ้าคะ หายากที่ถิงเอ๋อร์จะนำชานมกลับมาให้ท่านดื่ม ท่านรีบลองชิมดูเถอะเจ้าค่ะ” นางจ้าวรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ทันที
หยุนเฉิงเซี่ยงค่อยเก็บสีหน้าเย็นชาของเขากลับไป: “เจ้าเด็กโง่ ไสหัวกลับไปคัดตำราที่เรือนของเจ้าเดี๋ยวนี้ ถ้าข้าไม่เรียกก็ห้ามออกมา อย่าได้มาทำตัวให้ข้าอับอายที่นี่”
“ข้าก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นักหรอก” คุณชายน้อยหยุนวิ่งปึงปังออกไปด้วยความโกรธ
“ทำให้ซื่อจื่อต้องเห็นเรื่องน่าอายแล้ว เด็กคนนี้ถูกข้าตามใจตั้งแต่เล็กจนเสียนิสัย ถึงได้ไม่รู้จักมารยาททำตัวเลยเถิดเช่นนี้” หยุนเฉิงเซี่ยงพูดอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร” จวินหย่วนโยวตอบกลับเบา ๆ