จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 585 หรือว่าท่านพี่รังเกียจที่ข้าโง่
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 585 หรือว่าท่านพี่รังเกียจที่ข้าโง่
ดวงตาดำขลับทะมึนของฮ่องเต้ทุ้มลึก “เฟิ่งจาวหยีเป็นผู้รับผิดชอบงานเลี้ยง ทำให้ข้าถูกพิษ เรื่องนี้นางยากจะหนีรอดไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังวางยาพิษหยุนถิง
แต่เฟิ่งไท่เว่ยและเฟิ่งหยวนเกิดเรื่องในคุก ก็แสดงว่าคุกหลวงไม่ปลอดภัย มีคนคิดร้ายต่อตระกูลเฟิ่ง
ถึงเฟิ่งจาวหยีจะมีความผิด และยังรอลงอาญา แต่นางมีครรภ์ ในท้องเป็นสายเลือดราชวงศ์ ให้นางถูกกักบริเวณในตำหนักตนแล้วกัน
รอสืบเรื่องโดยละเอียดแล้ว หากเป็นนางทำจริง รอนางคลอดลูกแล้วข้าค่อยลงโทษอย่างหนัก ตอนนี้สายเลือดราชวงศ์มีน้อยนิด ข้าจะให้นางอยู่ต่ออีกสักหลายเดือน!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปรับเฟิ่งจาวหยีออกมาจากคุกหลวงด้วยตัวเอง จะอย่างไรนางก็ตั้งครรภ์สายเลือดของฝ่าบาท ช่วงสามเดือนแรกต้องระมัดระวังอย่างมาก!” หลิ่วเฟยเสนอ
“ดี ลำบากเจ้าแล้ว!”
“แบ่งเบาภาระให้ฝ่าบาท ถือเป็นเกียรติของหม่อมฉัน!” หลิ่วเฟยถอยออกไป และพาสาวใช้ไปคุกหลวง
ตอนนี้ในคุกหลวง เฟิ่งจาวหยีมองดูอาหารตรงหน้า พอได้กลิ่นน้ำมันนั่น ก็รู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมาอีก
นางอดคิดไม่ได้ว่า หรือว่ามีคนวางยาพิษตน ก่อนหน้านี้นางยังดีๆอยู่ มิได้รู้สึกพะอืดพะอมเช่นนี้เลย
เมื่อครู่หมอหลวงจับชีพจรให้ตนเสร็จ เฟิ่งจาวหยีรุกถามหมอหลวงแต่เขาไม่พูดอะไรเลย สีหน้าตึงเครียดหนักก่อนจากไป มันยิ่งทำให้เฟิ่งจาวหยีเคร่งเครียด
จากนั้นเฟิ่งจาวหยีก็เห็นผู้คุมนำหลิ่วเฟยเหนียงเหนียงเข้ามา ก็อดแปลกใจไม่ได้ “หลิ่วเฟย ท่านมาทำอะไรกัน?”
“เจ้าตั้งครรภ์สายเลือดของฝ่าบาท ย่อมไม่อาจอยู่ในคุกหลวงต่อไปได้ ข้ามาพาเจ้าออกไป แต่เรื่องงานเลี้ยงยังไม่สืบรู้แน่ชัด ดังนั้นเจ้าต้องถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักตนเอง!” หลิ่วเฟยบอกเสียงเรียบ
“ข้าสามารถออกไปได้แล้วจริงๆ ดียิ่งนัก ขอบคุณเหนียงเหนียงมากที่ช่วยหม่อมฉัน บุญคุณครั้งนี้หม่อมฉันจะรำลึกในใจไม่รู้ลืม!” เฟิ่งจาวหยีซาบซึ้งนัก
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตนยังจะสามารถออกไปได้ ลูบหน้าท้องตนโดยพลัน ที่แท้นางตั้งครรภ์แล้ว ดียิ่งนัก คราวนี้นางจะได้พึ่งใบบุญลูก ล้างแค้นให้ท่านแม่และน้องชายแล้ว
“หลิ่วเฟยเจ้ารีบปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าขังข้าเอาไว้นานแล้วนะ คิดจะทำอะไรกันแน่ หากฮ่องเต้แคว้นเทียนจิ่วรู้ว่าพวกเจ้าทำกับข้าเช่นนี้ เขาต้องส่งทหารมาโจมตีต้าเยียนแน่!” องค์หญิงใหญ่ที่อยู่คุกฝั่งตรงข้ามข่มขู่
หลิ่วเฟยเหล่มองมาอย่างเย็นชา “ฮ่องเต้แคว้นเทียนจิ่วร่วมมือกับผิงหนานอ๋อง จัดการกำจัดอำนาจขององค์หญิงใหญ่ที่อยู่ในกองทัพและราชสำนักแคว้นเทียนจิ่วหลายปีมานี้ ทั้งจับทั้งฆ่าทั้งเนรเทศ—
บัดนี้คนพวกนั้นของเจ้าน่ะโดนฮ่องเต้จัดการหมดแล้ว เจ้ายังเย่อหยิ่งอะไรอีก ไม่ลองคิดๆดูล่ะว่า ถ้าฮ่องเต้แคว้นเทียนจิ่วสนใจเจ้าจริง จะยอมให้เจ้าถูกขังอยู่ในคุกแคว้นต้าเยียนหลายวันไม่ถามไม่ไถ่เลยรึ!”
องค์หญิงใหญ่ตกตะลึงยิ่งนัก มองหลิ่วเฟยอย่างตะลึง “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ฮ่องเต้ไม่มีทางทำเช่นนี้กับข้า เจ้าโกหก!”
นางควบคุมราชสำนักกับกองทัพมาหลายปี อำนาจกระจายไปทั่วทั้งแคว้นและสี่แคว้น เป็นไปไม่ได้ที่จะจบแบบนี้ ฮ่องเต้เชื่อฟังคำพูดตนมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีทางลงมือกับตนแน่
“หลายปีมานี้องค์หญิงใหญ่เย่อหยิ่งจองหองจนชินแล้ว ต่อให้ฮ่องเต้แคว้นเทียนจิ่วสำนึกบุญคุณที่เจ้าช่วยในตอนแรก แต่ซาบซึ้งแค่ไหนก็ต้านทานความไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาของเจ้าได้ยาก
ข้ายังเคยได้ยินว่า เซียจิ่วเซียวลูกชายของเจ้าตอนนี้กลับไปถึงจวนผิงหนานอ๋องแล้ว โดนตัดแขนและขา น่าอนาถนัก ได้ยินว่ายังไม่สู้ขอทานด้วยซ้ำ
ผิงหนานอ๋องมีบุตรชายโทนคนนี้คนเดียว เขาเห็นลูกชายของตนอนาถถึงเพียงนี้ ส่วนองค์หญิงใหญ่ท่านก็เห็นแต่ไม่ช่วยลูกชายตนเอง ต่อให้ผิงหนานอ๋องหงอแค่ไหนก็ต้องโกรธ ดังนั้นองค์หญิงใหญ่เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ!” หลิ่วเฟยแค่นเสียงเย็น พลางหมุนตัวจากไป
เฟิ่งจาวหยีพลันรู้สึกสาแก่ใจขึ้นมา “สัตว์ร้ายไม่กินลูก หากเจ้ากลับเห็นแต่มิช่วยลูกชายตนเอง ช่างเป็นหญิงอสรพิษจริงๆ สมน้ำหน้า!”
องค์หญิงใหญ่โกรธจนเนื้อตัวสั่นเทา สีหน้าซีดเผือด เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ อวัยวะภายในเลือดลมพลุ่งพล่าน พลันกระอักเลือดคำหนึ่งออกมา!
“องค์หญิงใหญ่ท่านเป็นอะไรน่ะ ทหาร องค์หญิงข้ากระอักเลือดแล้ว รีบมาเร็ว!” สาวใช้ข้างกายรีบเข้าพยุงนางไว้
ไม่ว่าสาวใช้จะร้องเรียกยังไง ผู้คุมก็ไม่สนใจนางเลย
องค์หญิงใหญ่ไหนเลยจะเหลือมาดองอาจทรงอำนาจเมื่อครู่ นางตัวอ่อนยวบลงพื้น ใบหน้าซีดราวปลาตาย
“เจ้าได้ยินแล้วหรือไม่ หลิ่วเฟยบอกว่าเซียวเอ๋อร์กลับไปแล้ว เจ้าขยะผิงหนานอ๋องนั่นรักใคร่ไยดีเซียวเอ๋อร์ที่สุด เขากล้าแตกหักเป็นศัตรูกับข้าเพราะลูกชาย! เจ้าสารเลวจวินหย่วนโยวหยุนถิง ต้องเป็นพวกมันวางแผนการร้าย ข้าไม่มีทางละเว้นพวกมันเด็ดขาด!” องค์หญิงใหญ่พูดอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ทันใดนั้นนางพลันกระอักเลือดออกมาอีก ทรมานไปทั้งตัว อวัยวะภายในเหมือนโดนคนใช้มีดฉีกกระชากออกมา เจ็บจนใบหน้าซีดเผือด เหงื่อแตกซิกไปทั้งร่าง
“เร็ว ใครก็ได้ ข้าทรมานนัก!” องค์หญิงใหญ่น้ำเสียงอ่อนแรง กัดฟันกรอดอย่างทรมาน
“ใช่ ใครก็ได้ รีบมาดูองค์หญิงใหญ่ของข้าเร็ว!” สาวใช้ร้องเสียงดัง
แต่นางร้องอยู่นาน ผู้คุมก็ไม่มาเสียที
ด้านหน้าคุกหลวง ผู้คุมสองคนยืนอยู่ “มา กินเมล็ดแตงโม เมล็ดแตงโมนี้ไม่เลว เมื่อคืนเมียข้าพึ่งผัดขึ้นมา หอมนัก”
“พี่ชาย พวกเรามานั่งกินเมล็ดแตงโมที่นี่ไม่ดีกระมัง ท่านได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้านในนี่นา!” ผู้คุมอีกคนบอก
“กลัวอะไร องค์หญิงใหญ่กล้าวางยาพิษฝ่าบาทของเรา สมน้ำหน้าแล้ว ฝ่าบาทสั่งการให้ทุกคนไม่ต้องสนใจความเป็นความตายของนาง รีบกินเถอะ” ผู้คุมบอก พลางยัดเมล็ดแตงโมมาให้
“ได้ งั้นข้าจะลองสักหน่อย!”
องค์หญิงใหญ่ด้านในเจ็บปวดแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ร้องโหยหวนด้วยความทรมาน อยู่ไม่สู้ตาย
ผู้คุมด้านนอกกลับนั่งกินเมล็ดแตงโมสบายใจเฉิบ ดูสบายอารมณ์นัก
หูตาในวังหลวงรีบกลับไปรายงานจวินหย่วนโยวกับหยุนถิงทันที
พอได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่เจ็บปวดทรมานแทบตาย จวินหย่วนโยวทั้งเคียดแค้นทั้งสาแก่ใจ “เทียบกับความทรมานที่นางให้ร้ายท่านแม่ข้า ทำให้ข้าต้องโดนพิษร้ายตั้งแต่ในท้องนางแล้ว มันยังน้อยไป!”
“ซื่อจื่อ ไม่ต้องกังวลไป พิษนี้จะกำเริบตามความโกรธของนาง และจะยิ่งทรมานมากขึ้นเรื่อยๆ เจ็บปวดมากขึ้น โดนทรมานจนตาย และไม่มียาถอนพิษ เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าหลิ่วเฟยจะเป็นคนบอกนาง” หยุนถิงสงสัย
ถึงฮ่องเต้แคว้นเทียนจิ่วจะกำจัดถอนรากถอนโคนอำนาจขององค์หญิงใหญ่ คนอื่นที่พึ่งรู้เรื่องพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ แต่หลิ่วเฟยอยู่ในวังหลวง รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน?
จวินหย่วนโยวยื่นมือเข้ามาจูงมือหยุนถิง “ขอบคุณมากถิงเอ๋อร์!”
“ท่านพี่เกรงใจอะไรข้ากัน แค้นของท่านก็คือแค้นของข้า!”
“ลำบากเจ้าแล้ว ข้าออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่?” จวินหย่วนโยวถาม
“ท่านลืมไปแล้วรึว่า ตอนนี้ท่านเป็นคนที่ถอนพิษไม่สำเร็จ นอนสลบไสลไม่ได้สตินะ หากออกไปก็จบกันน่ะสิ”
“พูดไปก็จริง!” จวินหย่วนโยวยื่นมือมาหยิบวอลนัทบนโต๊ะ ออกแรงบีบจนแตก จ่กนั้นก็แกะวอลนัทยื่นให้หยุนถิง
“ตอนนี้เจ้าท้องโตแล้ว กินวอลนัทบำรุงสมองเสียหน่อย”
หยุนถิงมองมาอย่างสงสัย “หรือว่าท่านพี่รังเกียจว่าข้าโง่?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ในสายตาข้าเจ้าเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดที่สุดในโลก บัดนี้เจ้ามีครรภ์ ข้าอยากให้ลูกของเราฉลาดเหมือนกับเจ้า!” จวินหย่วนโยวอธิบาย
หยุนถิงเขยิบเข้ามา “ท่านป้อนข้าสิ!”