จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 602 ผู้ชายของเจ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 602 ผู้ชายของเจ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว
จ้าวเม่ยเอ๋อร์ถึงพึ่งเห็นจวินหย่วนโยวในห้อง สีหน้าเขาเย็นเยียบเยือกเย็น ดวงตาดำขลับคมปลาบราวกับใบมีด กำลังมองมือของตนที่หยิกแก้มหยุนถิงอยู่ จ้าวเม่ยเอ๋อร์ตะลึงสะท้านกับบรรยากาศแข็งกล้าของจวินหย่วนโยวเข้าเต็มๆ ปล่อยมือออกโดยพลัน
“หยุนถิง ผู้ชายของเจ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว สายตานี่ทำคนตกใจตายได้นะ!” จ้าวเม่ยเอ๋อร์บ่น ดวงตาดำขลับของจวินหย่วนโยวเหล่มองนาง “ดังนั้นเจ้ามาหาหยุนถิงกลางดึก ก็เพื่อพูดเรื่องพวกนี้รึ?”
“ไม่เช่นนั้นเล่า นี่เป็นความแค้นและปมในใจข้ามานานหลายปี บัดนี้ได้แต่มาบ่นพร่ำกับหยุนถิงเท่านั้นแล้ว!” จ้าวเม่ยเอ๋อร์ถอนหายใจ
“หลงซาน พานางไป หากกล้าให้ผู้ใดมารบกวนการพักผ่อนของซื่อจื่อเฟยอีก ไสหัวเจ้าไปตอนเหนือได้เลย!” จวินหย่วนโยวแค่นเสียงเย็น
หลงซานที่อยู่ด้านนอกตกใจตัวสั่น รีบพุ่งเข้ามาทันที “แม่นาง เชิญเถอะ!”
จ้าวเม่ยเอ๋อร์เดือดจัดทันที “จวินหย่วนโยวเจ้ากล้าไล่ข้า ไม่เห็นแก่สหายเกินไปกระมัง?”
“ข้ามิจำเป็นต้องเห็นแก่สหายอย่างเจ้า ซื่อจื่อเฟยต่างหากที่สำคัญที่สุด!” จวินหย่วนโยวย้อนหน้าตาเฉย
“ท่านพี่ ท่านอย่าพูดอย่างนี้ ข้าเป็นสหายเพียงคนเดียวของเม่ยเอ๋อร์ นางไม่มาหาข้าจะไปหาใครเล่า!” หยุนถิงย้อน
จ้าวเม่ยเอ๋อร์ถึงคลายโกรธ ซาบซึ้งนัก “หยุนถิงดีกว่าจริงด้วย เจ้าท้องโตปานนี้ข้ามารบกวนแล้วจริงๆ ข้าไปล่ะ!”
“รอก่อน อันที่จริงข้านอนพอแล้ว นั่งคุยเป็นเพื่อนจ้าวเม่ยเอ๋อร์สักครู่ก่อนได้!” หยุนถิงห้ามไว้
คนที่ปีนขึ้นมาจากหลุมคนตายอย่างจ้าวเม่ยเอ๋อร์ ไม่เคยเชื่อเรื่องความจริงใจมาแต่ไหนแต่ไร และยิ่งไม่มีสหาย หายากนักที่นางเชื่อใจตนเพียงนี้ ดังนั้นหยุนถิงเลยไม่อยากให้ใจนางมีบาดแผล
“ไม่ต้องหรอก จวินหย่วนโยวเป็นห่วงเจ้าเพียงนี้ เจ้าเลือกคู่แต่งงานไม่ผิด ข้าจะคุยกับเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้ เจ้าไปนอนเถอะ!” จ้าวเม่ยเอ๋อร์บอก
นางเองก็รู้ว่า ตนมารบกวนการพักผ่อนของหญิงครรภ์โตกลางดึกเช่นนี้ มันมิดีเลยจริงๆ
หยุนถิงยังอยากจะพูดอะไร จ้าวเม่ยเอ๋อร์ก็ออกไปแล้ว
“เจ้าสามารถพักผ่อนที่จวนซื่อจื่อได้ พรุ่งนี้เช้าเราค่อยคุยกัน!” หยุนถิงบอก
“ได้!”
จวินหย่วนโยวเห็นจ้าวเม่ยเอ๋อร์ออกไป ก็ปิดประตูห้องทันที “ถิงเอ๋อร์ พักผ่อนเถอะ”
“ท่านพี่ ข้ามิเป็นไร ตอนค่ำข้าหลับสนิทมาก มิเป็นไรหรอก”
“เช่นนั้นก็ไม่ได้ ตอนนี้เจ้าต้องนอนพักให้มากๆ ลูกถึงจะเติบโต” จวินหย่วนโยวกำชับ
“ได้!”
ด้านนอกประตู จ้าวเม่ยเอ๋อร์ขาหน้าพึ่งออกไป ประตูก็ปิดไล่ขาหลังมาเลย นางโกรธกัดฟันกรอด เงยหน้ามาก็เห็นหลงซานที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ซื่อจื่อเฟยของเจ้าน่ะต้องการพักผ่อน องครักษ์เงามังกรอย่างเจ้าไม่ต้องพักผ่อน คืนนี้ก็เจ้านี่แหละ!” จ้าวเม่ยเอ๋อร์พูดพลางชักมีดสั้นที่เอวออกมาพลางพุ่งแทงไปทันที
หลงซานสีหน้าทะมึน “สตรีเช่นเจ้านี่เหตุใดเหลวไหลเยี่ยงนี้ ข้ามิสู้กับสตรี!”
“ซื่อจื่อเฟยของเจ้าให้ข้าพักที่นี่ได้ ข้าอยากทำอะไรก็ทำ ไม่สู้กับสตรีรึ เจ้าสู้ไม่ได้กระมัง รับมือ!” จ้าวเม่ยเอ๋อร์โจมตีเข้ามาอีกครั้ง
หลงซานเดือดดาล ชักกระบี่โต้ตอบกลับ
ทั้งสองต่อสู้กัน ประมือครั้งนี้หลงซานประหลาดใจนัก เขาไม่คิดเลยว่าสตรีนางนี้จะเก่งกาจปานนี้ สามารถรับกระบวนท่าเขาได้
จ้าวเม่ยเอ๋อร์เดิมก็เดือดดาลผิดหวังนัก เลยใช้เสียเต็มแรง
องครักษ์เงามังกรและองครักษ์ลับคนอื่นที่อยู่บนกำแพงมองมากันหมด ท่าทางเหมือนกำลังดูเรื่องสนุก พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะมีสตรีที่มีฝีมือเช่นนี้ด้วย
พอสู้กัน ก็สู้กันตั้งแต่ฟ้ามืดจนถึงฟ้าสว่าง สุดท้ายคือหลงยีออกมาห้ามปราม
“ฝีมือเจ้าไม่เลว ข้าชอบ ไว้ค่อยมาสู้กับเจ้า!” จ้าวเม่ยเอ๋อร์บอกอย่างพอใจ
หลงซานมุมปากกระตุก แต่ก็ต้องมองจ้าวเม่ยเอ๋อร์ใหม่ เพราะในโลกนี้สตรีที่สามารถสู้ทัดเทียมกับเขาได้นั้นมีไม่กี่คน
“พร้อมทุกเมื่อ!”
“หาห้องให้ข้า ข้าจะไปนอน!” จ้าวเม่ยเอ๋อร์บอกอย่างไม่เกรงใจ
หลงซานถึงพานางไปพักผ่อนที่ห้องรับรอง จากนั้นตนก็กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สตรีผู้นี้สู้เก่งจริงๆ ตอนนี้เขาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อทั้งตัว ทนไม่ไหวแล้ว
รอจนหยุนถิงกับจวินหย่วนโยวตื่นขึ้นมา ก็เป็นเช้าวันต่อมาแล้ว พอได้ยินว่าจ้าวเม่ยเอ๋อร์สู้กับหลงซานทั้งคืน หยุนถิงก็วางใจละ
เธอกลัวที่สุดคือ คนหนึ่งเก็บกดเรื่องไว้ในใจระบายไม่ออก ตอนนี้จ้าวเม่ยเอ๋อร์ได้ระบายอารมณ์แล้ว แถมยังไปนอนได้แล้ว เท่ากับไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะ
จวินหย่วนโยวกับหยุนถิงกำลังกินข้าวเช้า คนรับใช้ก็พาสาวใช้คนหนึ่งพุ่งเข้ามา พอสาวใช้เห็นหยุนถิงก็คุกเข่าลงพื้นทันที “ซื่อจื่อเฟย ขอร้องท่านช่วยคุณหนูข้าด้วยเถอะ!”
หยุนถิงตะลึง “ชิงโยวเป็นอะไรรึ?”
ระยะนี้เธอให้คนคอยจับตาดูวังหลวงไว้ ทุกคืนซูชิงโยวจะกลับไปตรงเวลา ไม่ได้เจอใคร แล้วเกิดเรื่องได้อย่างไร
“วันนี้ตอนเช้าพอคุณหนูตื่นขึ้นมา ก็จะเข้าวังเหมือนทุกวัน แต่พอออกจากเรือนก็เป็นลมไปเลย นายท่านให้คนตามท่านหมอมาดูอาการ แต่ท่านหมอตรวจไม่รู้สาเหตุ บอกเพียงว่าคุณหนูเหน็ดเหนื่อยมากไป
ถึงคุณหนูเข้าวังสวดมนต์ไหว้พระ แต่ร่างกายไม่ได้เหน็ดเหนื่อยถึงขั้นนี้ เมื่อคืนตอนนางกลับมายังบอกวันนี้แม่ทัพหยุนนัดนางไปล่องเรือเล่นอยู่เลย!” สาวใช้อธิบาย
“หลงเอ้อร์รีบไปเตรียมรถม้า ระยะนี้คุณหนูเจ้ามีอะไรผิดปกติหรือไม่?” หยุนถิงสั่งการ พลางวางชามในมือลงและจะออกไป
“เรียนซื่อจื่อเฟย คุณหนูข้ามิมีอะไรผิดปกติเลยนะ เพียงแต่ครึ่งเดือนมานี้เข้าวังทุกวัน ยามกลับมาบางครั้งจะเป็นแม่ทัพหยุนมาส่ง บางครั้งกลับดึกหน่อย ก็มิมีสิ่งใดพิเศษ
แต่คุณหนูข้าระยะนี้ง่วงเหงาง่ายมาก บางครั้งข้าน้อยออกไปตักน้ำ คุณหนูยังไม่ทันอาบน้ำก็หลับไปแล้ว ข้าคิดว่าคุณหนูอาจจะเหน็ดเหนื่อยจากในวังมา เลยไม่ได้รบกวน ซื่อจื่อเฟยนี่เรียกว่าผิดปกติหรือไม่?” สาวใช้คิดอย่างจริงจัง
“ชิงโยว เมื่อก่อนเคยมีเรื่องเช่นนี้หรือไม่?” หยุนถิงขมวดคิ้ว แค่รู้สึกว่าผิดปกติ
“ไม่เคยเลย คุณหนูข้าสติดีนัก ไม่เคยง่วงงุนเช่นนี้มาก่อน”
จวินหย่วนโยวพยุงหยุนถิงขึ้นรถม้า มุ่งตรงไปยังจวนตระกูลซูทันที
เวลานี้ที่จวนตระกูลซู ซูโหวเย่ส่งคนไปเชิญท่านหมอทั้งหมดในเมืองหลวงมา และยังให้คนเข้าวังไปเชิญหมอหลวงมา สุดท้ายก็ตรวจหาสาเหตุไม่เจอว่า เพราะอะไรซูชิงโยวถึงเป็นอย่างนี้ ซูโหวเย่ร้อนใจยิ่งนัก
หยุนไห่เทียนกำลังจะไปค่ายทหาร สุดท้ายยังไม่ทันได้ออกจากเมืองหลวงก็ได้ยินว่าซูชิงโยวสลบไม่ได้สติ เป็นห่วงยิ่งนัก มุ่งตรงไปยังจวนตระกูลซูทันที
หน้าเตียง หยุนไห่เทียนกุมมือซูชิงโยวแน่น พอเห็นหยุนถิงมา ก็รีบหลีกทางให้ทันที “ถิงเอ๋อร์ เจ้าต้องช่วยชิงโยวให้ได้นะ!”
“พี่ใหญ่วางใจเถอะ ข้าจะช่วยนางให้เต็มที่เท่าที่ข้าทำได้” หยุนถิงรีบจับชีพจรให้ซูชิงโยวทันที พอหมอหลวงและท่านหมอเห็นหยุนถิงมาแล้ว พากันถอนหายใจโล่งอก ฝีมือการแพทย์ของหยุนถิงนั้นเรียกได้เป็นหนึ่งไม่มีสองในสี่แคว้นเลยทีเดียว
ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนถิงดึงมือกลับ สีหน้ากลับตึงเครียดนัก ดึงเข็มเงินที่แซมระหว่างผมออกมา จิ้มนิ้วของซูชิงโยวจนเลือดไหลออกมา
ทุกคนมองอย่างตกใจ เพราะคนปกติจะมีเลือดสีแดง แต่เลือดที่ออกมาจากนิ้วมือของซูชิงโยวกลับเป็นสีดำ
“นางโดนพิษแล้ว อีกทั้งโดนลึกมาก ดังนั้นเลยสลบไสลไม่ได้สติ!” หยุนถิงบอก
“ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ดีๆอยู่ทำไมถึงโดนพิษได้ ใครมันชั่วข้าสามานย์เช่นนี้กล้าวางยาพิษลูกสาวข้า?” ซูโหวเย่เป็นห่วงแทบตาย
หยุนไห่เทียนสีหน้าตึงเครียด มองซูชิงโยวอย่างสงสาร “ถิงเอ๋อร์ เจ้าจะช่วยชิงโยวได้ใช่หรือไม่?”