จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 610 เหตุใดเจ้าต้องหลบข้าด้วย
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 610 เหตุใดเจ้าต้องหลบข้าด้วย
เป่ยจิงจิงโกรธจนน้ำตาไหล ยกมือขึ้นตบหน้าหลงเอ๋อร์ไปหนึ่งฉาด “สารเลว!” ด่าไปหนึ่งคำ จากนั้นก็วิ่งออกไปเลย
หลงเอ้อร์ไหนเลยจะคิดว่า จู่ๆนางจะตบหน้าตน จู่ๆมาโดนตบหนึ่งฉาด เดือดดาลหนัก แทบชักกระบี่ออกมา
“ท่านหลงเอ้อร์อย่าโกรธไปเลย น้องหญิงหกของข้าคนนี้โดนตามใจจนเคยตัวแต่เด็ก นางโตมาจนป่านนี้มาสารภาพรักครั้งแรกก็โดนปฏิเสธ อารมณ์พลุกพล่านไปบ้าง ขอท่านอย่าได้ถือสานาง ข้าขออภัยท่านแทนนางด้วย” เป่ยเย่เหอพูดพลางคารวะให้หลงเอ้อร์
หลงเอ้อร์เบ้ปาก มองดูองค์ชายสามแห่งแคว้นเป่ยลี่ที่คารวะตนอยู่ หากตนยังไม่ยอมอภัย ดูจะใจแคบไปเสียแล้ว
“ในเมื่อท่านทำเช่นนี้ ข้าจะไว้หน้าท่านแล้วกัน หากมีครั้งหน้าอีกข้าจะฟันคอนางเอามาเป็นลูกบอลเตะเลย!” หลงเอ้อร์เดือดดาลหนัก
เขาเป็นถึงองครักษ์เงามังกรกลับมาโดนสตรีตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ แถมยังเป็นสตรีที่เอะอะไร้เหตุผลอีก มิรู้ว่าอีกครู่องครักษ์เงามังกรคนอื่นจะหัวเราะเยาะตนอย่างไรบ้าง
“ขอบคุณท่านหลองเอ้อร์ที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ถือสา เช่นนั้นข้ามิรบกวนแล้ว!” เป่ยเย่เหอรีบไปทันทีเลย
หยุนถิงมองมา “หลงเอ้อร์ หากเจ้าอยากไปเป็นราชบุตรเขยจริงๆ ข้าตระเตรียมสินสอดให้เจ้าได้นะ!”
หลงเอ้อร์หน่ายใจ “ซื่อจื่อเฟย แม้แต่ท่านก็หัวเราะเยาะข้า”
“ไม่ได้หัวเราะเยาะ ข้าจริงใจนะ”
“หยุดเลย ข้ามิได้รู้สึกอันใดกับเป่ยจิงจิง ให้แต่งงานกับนางมิสู้ออกบวชดีกว่า ข้ายังต้องคุ้มครองซื่อจื่อเฟยนะ” หลงเอ้อร์ตอบ
จวินหย่วนโยวยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เขารู้ดีว่าหลงเอ้อร์ไม่มีทางชอบพอเป่ยจิงจิงดอก
…….
อีกด้าน จวนตระกูลฟู่
พรุ่งนี้ก็เป็นวันแต่งงานขององค์หญิงห้ากับอ๋องเก้าแล้ว พอฟู่อี้เฉินคิดถึงว่า พรุ่งนี้เขาจะสามารถอารักขาองค์หญิงห้าไปแคว้นเป่ยลี่ได้ สามารถไปจากเมืองหลวงได้อย่างสง่าผ่าเผย ฟู่อี้เฉินอารมณ์ดียิ่งนัก
คนรับใช้คนหนึ่งเข้ามารายงานว่า “ซื่อจื่อ องค์หญิงหนานชวนขอเข้าพบ!”
ฟู่อี้เฉินตกใจตัวสั่นเทา ถ้วยชาในมือหล่นลงพื้นทันที “แม่เสืออย่างนางมาทำอะไร เจ้าบอกไปสิว่าข้าออกไปแล้ว ไม่อยู่จวน ไม่พบ!”
พอพูดจบ ฟู่อี้เฉินได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังมาจากในสวน คนรับใช้สองคนโดนทำร้ายล้มลงพื้น องค์หญิงหนานชวนบุกเข้ามาทันที
“ซื่อจื่อ พวกเราขวางไว้ไม่อยู่!” คนรับใช้แหกปากบอก
ฟู่อี้เฉินเห็นคนมาก็ตกใจจนตัวสั่นเทา หากให้คนรับใช้มาเห็นตนกลัวสตรีเพียงนี้ มิหัวเราะจนฟันร่วงกันรึ
ดังนั้นฟู่อี้เฉินตัดสินใจพูดขึ้นอย่างเดือดดาลว่า “องค์หญิงหนานชวน เจ้ามาทำอะไร ยังทำร้ายคนของข้า เจ้าอยากต่อสู้งั้นรึ?”
องค์หญิงหนานชวนมองดูท่าทางเย่อหยิ่งจองหอง ก็ตอบไปว่า “มาสิ!”
ฟู่อี้เฉินมุมปากกระตุก นังบ้านี่เหิมเกริมเกินไปแล้ว เขาเรียกคนรับใช้ทั้งจวนออกมา “จัดการซะ หากใครนำนางออกไปได้ ข้าจะให้รางวัลหนึ่งหมื่นตำลึง!”
เหล่าองครักษ์พอได้ยินว่าหนึ่งหมื่นตำลึง สายตาเป็นประกายขึ้นมาทันที พร้อมใจกันโจมตีองค์หญิงหนานชวนเข้าไป
องค์หญิงหนานชวนไม่ขยับเลยสักนิด แค่พริบตาเดียวก็ทำเอาองครักษ์ของฟู่อี้เฉินล้มกองกับพื้นหมด
พอเห็นองครักษ์กองกับพื้นกันหมด ฟู่อี้เฉินใบหน้าบูดบึ้งบวมปูดราวกับซาลาเปา “ขยะ คนกลุ่มหนึ่งสู้ผู้หญิงคนเดียวก็ไม่ได้ ข้าเลี้ยงพวกเจ้าไว้มีประโยชน์อะไรกัน!”
“ซื่อจื่อ ท่านไหวท่านสู้สิ!” องครักษ์คนหนึ่งย้อน
ฟู่อี้เฉินมุมปากกระตุก ถลึงตามององครักษ์คนนั้นอย่างเดือดดาล “ข้าไม่ใช่กำลังให้โอกาสพวกเจ้าหรือไง ต่อให้ข้าจะชั่วแค่ไหน ก็ไม่เคยทำร้ายสตรี!”
“ซื่อจื่อ ท่านสู้นางมิได้มากกว่า!” องครักษ์อีกคนเบ้ปาก
“หุบปาก พูดซี้ซั้วอะไร ข้าน่ะบัณฑิต!” ฟู่อี้เฉินย้อน
คำพูดนี้ออกมา องครักษ์ในจวนพากันใบ้กิน ซื่อจื่อนี่พูดจาซี้ซั้วนี่นา ทั่วทั้งต้าเยียนต่างรู้ดีว่าฟู่ซื่อจื่อเลื่องชื่อด้านไม่แยแสสิ่งใด ยังจะมาบัณฑิตอีก ช่างหน้าหนาเสียจริง
“ฟู่อี้เฉิน เหตุใดเจ้าต้องหลบข้าด้วย?” องค์หญิงหนานชวนถามเสียงเย็น
“ใครบอกว่าข้าหลบเจ้ากัน ไม่ใช่เสียหน่อย!” ตีให้ตายฟู่อี้เฉินก็ไม่ยอมรับหรอก
“งั้นเหตุใดเจ้าย้ายไปจวนซื่อจื่อเล่า?”
“ข้าอยู่บ้านแล้วเบื่อ ไปค้างจวนเขาสักหลายวันมิได้รึ?” ฟู่อี้เฉินพูดอย่างเย่อหยิ่ง พลางถอยร่นไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ยกเท้าเตรียมวิ่งหนี
เพียงแต่น่าเสียดาย เขายังไม่ทันได้วิ่งออกไป ก็โดนคนคว้าชายเสื้อท้ายทอยไว้ “ยังจะคิดหนี!”
“เจ้าปล่อยข้านะ แม่เสือเยี่ยงเจ้ากล้ามาหิ้วคอเสื้อข้า รีบปล่อยมือซะ น่าขายหน้ายิ่งนัก!” ฟู่อี้เฉินแหกปากดิ้นรนโวยวาย
ถึงเขาจะเป็นชาย แต่ถูกเลี้ยงดูอย่างสุขสบายมาตั้งแต่เล็ก และไม่เป็นวรยุทธ์ ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ขององค์หญิงหนานชวนที่ออกสู่สนามรบ สู้ศึกปกป้องดินแดนแต่เล็กอยู่แล้ว
องค์หญิงหนานชวนไม่สนใจเลยสักนิด “ถามเจ้าน่ะ เหตุใดต้องหลบข้าด้วย?”
“ข้าเกลียดเจ้ามิได้รึ หน้าตาก็งั้นๆ รูปร่างยังใหญ่โตแข็งกร้าวเยี่ยงนั้น ยังคิดอยากจะแต่งงานกับข้า ข้ามิได้ชอบเจ้าเลยสักนิด
และไม่กลัวบอกเจ้าหรอกนะว่า พรุ่งนี้ข้าจะอารักขาองค์หญิงห้าไปแต่งงานที่แคว้นเป่ยลี่แล้ว ไปครานี้ก็หลายเดือน นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาทให้ข้าไป ต่อให้เจ้าตอแยข้าอย่างไรก็ไร้ประโยชน์!” ฟู่อี้เฉินพูดอย่างเดือดดาล
องค์หญิงหนานชวนตะลึง มือที่หิ้วฟู่อี้เฉินอยู่ชะงักกึก และปล่อยออกโดยพลัน
ฟู่อี้เฉินที่ดิ้นรนไหนเลยจะคิดว่านางจะพลันปล่อยมือ ล้มลงพื้นอย่างแรงทันที หน้าคลุกดินเต็มๆ เจ็บจนเขายิ่งเดือดดาลหนัก
“เจ้ารังเกียจข้าถึงเพียงนี้จริงรึ?” องค์หญิงหนานชวนสีหน้าไม่น่าดูเลย
“ใช่ ข้ารังเกียจเจ้า ข้ารังเกียจเจ้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ให้ข้าแต่งงานกับเจ้ามิสู้แต่งกับหมูเสียดีกว่า—“ ฟู่อี้เฉินพูดความไม่พอใจและเคียดแค้นในใจออกมาจนหมด
รอจนเขาพร่ำบ่นเสร็จ แต่กลับพบว่าองค์หญิงหนานชวนที่อยู่ด้านหลังหายไปแล้ว
“คนเล่า?”
“ซื่อจื่อ ท่านเล่าไปได้ครึ่งหนึ่ง องค์หญิงหนานชวนก็ไปแล้ว พวกข้าเห็นท่านกำลังพรั่งพรู เลยมิได้รบกวน” องครักษ์คนหนึ่งบอก
ฟู่อี้เฉินชะงัก นางไปโดยไม่บอกตนสักคำ ทำไมเขารู้สึกว่ามันไม่เหมือนนิสัยขององค์หญิงหนานชวนเลย
“ไปเสียได้ก็ดี แม่เสือผู้นี้ทำข้าตกใจแทบตายแล้ว ยังไม่รีบพยุงข้าขึ้นมาอีก!” ฟู่อี้เฉินแค่นเสียง
องครักษ์รีบเข้ามาช่วยพยุงเขา “ซื่อจื่อ เมื่อครู่ตอนองค์หญิงหนานชวนออกไปสีหน้าไม่น่าดูนัก เหมือนเสียใจมาก”
“นางเสียใจ ข้าก็เสียใจนะ ให้พ่อบ้านไปทำประตูใหม่มา เอาสองชั้นเลย ข้าไม่เชื่อว่าครั้งหน้านางจะบุกเข้ามาได้อีก” ฟู่อี้เฉินเบ้ปาก
“ซื่อจื่อ ทำประตูสองชั้นมีประโยชน์อันใด นางมีวรยุทธ์สามารถปีนกำแพงได้ เราเพิ่มความสูงกำแพงด้วยดีหรือไม่?” องครักษ์ถาม
ฟู่อี้เฉินตบกะโหลกองครักษ์คนนั้น “เจ้าไม่พูดไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้ ยังไม่รีบไปเก็บข้าวของให้ข้าอีก!”
“ขอรับ!”
อีกด้านหนึ่ง องค์หญิงหนานชวนออกจากจวนตระกูลฟู่ รู้สึกอึดอัดรำคาญใจนัก พอผ่านร้านเนื้อย่างของหยุนซู เดินตรงเข้าไปเลย
นางสั่งเนื้อมาจานหนึ่ง และสั่งเหล้ามาห้าไหจากนั้นเริ่มต้นดื่ม
อย่าพูดไป เหล้าและเนื้อย่างนั้นรสชาติพิเศษนัก ก่อนหน้านี้นางเคยได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีร้านเนื้อย่างที่รสชาติไม่เลว พอลองชิมถึงรู้ว่าสมคำร่ำลือนัก
“เสี่ยวเอ้อร์ เรียกเถ้าแก่เจ้าออกมาสิ!”