จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 659 ข้าอุ้มหน่อยได้หรือไม่
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 659 ข้าอุ้มหน่อยได้หรือไม่
“โอกาสอะไร?” ลั่วผินถาม
ฮวนกุ้ยเหรินมองทางสาวใช้ที่ด้านข้างโดยจิตใต้สำนึก ลั่วผินเข้าใจได้โดยไม่ต้องบอก “พวกเจ้าลงไปก่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ!” เหล่าสาวใช้รีบลงไปทันที
ฮวนกุ้ยเหรินเห็นพวกนางไปกันหมด รีบเอ่ยปากว่า “เซียวเฟยเป็นคนโปรดของฝ่าบาท ตอนนี้เพื่อช่วยฝ่าบาทเอาไว้ โดนไม้คานทับสลบยังไม่ฟื้น ทำให้ฝ่าบาทประทับใจยิ่งนัก
ถ้าให้นางฟื้นขึ้นมา อาศัยจุดนี้ที่นางช่วยฝ่าบาทไว้แต่งตั้งให้นางเป็นกุ้ยเฟยหรือฮองเฮาก็ไม่เกินเหตุ พวกเรารู้ดีอยู่แก่ใจ ฮองเฮานั้นก็แค่ไม้ประดับ
ก่อนหน้านี้เจ้าบุกเข้าตำหนักของนาง มีความแค้นกับนาง ถ้าให้นางฟื้นมาได้ คนแรกที่นางจะจัดการต้องเป็นเจ้าแน่ ถึงตอนนั้นลูกในท้องของเจ้าจะคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ก็ไม่รู้
ฉะนั้นพวกเราต้องฉวยโอกาสตอนนางยังไม่ฟื้น รีบลงมือโดยเร็ว ขอเพียงใช้เล่ห์เหลี่ยมในยาของนางเสียหน่อย เช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าคลายความกังวลแล้วหรือ”
ลั่วผินโกรธจนสีหน้าหม่นหมอง สั่นเทาเล็กน้อยไปทั้งตัว นึกถึงความอับอายคราวก่อนที่เซียวเฟยทำกับตนเอง ลั่วผินยิ่งหงุดหงิดสุดจะทน
“พี่หญิงพูดถูกเหลือเกิน ไม่อาจให้เซียวเฟยนังแพศยาคนนั้นฟื้นขึ้นมาได้เด็ดขาด แต่ข้างกายนางมีฝ่าบาทและหมอหลวงอยู่ ข้าได้ยินว่ายาที่นางใช้ล้วนเป็นหมอหลวงทดสอบด้วยตนเอง นี่หากถูกพบเข้าคงโดนโทษประหารชีวิต!” ลั่วผินขมวดคิ้วแน่นแล้ว
ถ้าเพราะกำจัดเซียวเฟยพลอยเดือดร้อนตัวเองแล้ว เช่นนั้นก็ไม่คุ้มค่า
“น้องหญิงแสนทึ่มของข้า นี่ก็คือเหตุผลที่ข้ามาหาเจ้า” ฮวนกุ้ยเหรินพูดอยู่ ล้วงห่อกระดาษห่อหนึ่งออกมา
“นี่คืออะไร?”
“ผงยาอันนี้ก็เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งมอบให้ข้ามา ไร้สีไร้กลิ่น แม้แต่หมอหลวงยังตรวจไม่เจอ สิ่งสำคัญคือใช้ไม่นานนักก็ขาดใจตาย ใช้จำนวนน้อยเพียงแค่หลับใหลไป ใช้จำนวนมากจะทำให้ผู้นั้นสติฟั่นเฟือน ถือว่าเป็นยาที่ค่อยๆ ออกฤทธิ์” ฮวนกุ้ยเหรินอธิบายให้ฟัง
ลั่วผินรีบรับเข้ามาทันที “ท่านไปเอามาจากที่ใดกัน ไว้ใจได้หรือ?”
“ไว้ใจได้แน่นอน” ฮวนกุ้ยเหรินรีบหยิบแก้วชามาทันใด เทผงยาส่วนหนึ่งเข้าไป ให้ลั่วผินดึงปิ่นของตนเองลงมาลองทดสอบดู ปิ่นเงินไม่เปลี่ยนสีตามคาด
“ช่างดีเหลือเกิน พี่หญิงของชิ้นนี้ดีเสียจริง หมอหลวงตรวจสอบพิษใช้เครื่องเงิน ตอนนี้ข้าวางใจได้แล้ว” ลั่วผินดีใจอย่างยิ่ง
“ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนน้องหญิงแท้ๆ จึงให้เจ้า เจ้าต้องระวังให้มาก ห้ามบอกคนอื่นเด็ดขาด” ฮวนกุ้ยเหรินพูดกำชับ
“วางใจเถิดพี่หญิง ขอเพียงกำจัดเซียวเฟยได้ ท่านก็คือผู้มีพระคุณของข้ากับลูก” ลั่วผินพูดอย่างซาบซึ้งใจ
“น้องหญิงจักมาเกรงใจข้าอะไรเล่า ตอนนี้เจ้าตั้งครรภ์ทายาทฝ่าบาท เด็กนี้พอคลอดออกมาต้องเป็นองค์ชายองค์หญิงแน่ ถึงตอนนั้นพี่หญิงยังหวังพึ่งพาเจ้าอยู่” ฮวนกุ้ยเหรินพูดประจบ
“พี่หญิงเกรงใจแล้ว”
ฮวนกุ้ยเหรินพูดต่ออีกนิดหน่อย ถึงออกไป พอนางไป ลั่วผินรีบพาสาวใช้ไปที่ห้องครัวทันใด
คนของห้องครัวพอเห็นลั่วผินเข้ามา รีบแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม
“ข้าอยากดื่มน้ำแกงลูกนกพิราบ หมอหลวงบอกว่าช่วงนี้ร่างกายข้าอ่อนแอ ต้องบำรุงเสียหน่อย พวกเจ้าทำงานของพวกเจ้าไป” ลั่วผินวนอยู่รอบหนึ่ง สายตาตกอยู่บนหม้อที่ต้มยาอันหนึ่งแล้ว
“นี่คือยาของผู้ใด กลิ่นเหม็นเสียจริง?” ลั่วผินถามอย่างรังเกียจ
“เรียนเหนียงเหนียง ยาของเซียวเฟยเจ้าค่ะ เป็นฝ่าบาททรงสั่งให้ข้าต้มเจ้าค่ะ” นางกำนัลรีบตอบ
“ที่แท้เป็นยาของเซียวเฟยนี่เอง เช่นนั้นเจ้าต้องรอบคอบเสียหน่อย อย่าเกิดความผิดพลาดเป็นอันขาด”
“เจ้าค่ะ!”
สาวใช้ยกน้ำแกงถ้วยหนึ่งเข้ามา “เหนียงเหนียง น้ำแกงลูกนกพิราบเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้ากลับแล้ว” ลั่วผินหมุนตัวแล้วเดินไป สาวใช้รีบตามไป
เดินออกมาไกลระยะหนึ่ง ลั่วผินรีบล้วงผงยาห่อนั้นออกมาจากในแขนเสื้อ “คิดหาวิธีนำอันนี้ใส่เข้าในยาของเซียวเฟย”
สาวใช้ตกใจจนสั่นเทา “เหนียงเหนียง คนมองอยู่มากปานนั้น ข้าน้อยไม่กล้าลงมือเจ้าค่ะ”
“เจ้าโง่หรือไร ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปตอนนี้ คราวหน้าตอนที่เจ้าไปยกน้ำแกงมาก็ถือโอกาสลงมือยามไม่มีคน หรือว่าถามดูเสียว่ายานั้นเป็นผู้ใดยกไปให้เซียวเฟย เจอกันระหว่างทางไม่ได้หรือไร” ลั่วผินถลึงตาใส่
“เจ้าค่ะ เหนียงเหนียงฉลาดหลักแหลม!” สาวใช้รีบรับมาโดยเร็ว
ลั่วผินกลับมาที่ตำหนักของตนเอง สาวใช้กำลังจ้องไว้ทั้งวัน ช่วงค่ำในที่สุดก็ลงมือสำเร็จแล้ว
ลั่วผินให้คนจ้องไว้ หมอหลวงตรวจไม่เจอจริงๆ ฮ่องเต้ป้อนยาถ้วยนั้นให้เซียวเฟยแล้ว ฮึกเหิมยิ่งนัก
ช่างดีเหลือเกิน พี่หญิงฮวนไม่ได้หลอกตนเองตามคาด เวลานี้รอเพียงข่าวดีเท่านั้น
……………………………………..
ทางนี้ หยุนหลีนอนไปทั้งวันเต็มๆ จนกระทั่งช่วงค่ำถึงตื่นขึ้นมา
นางรีบออกมาทันที ตอนที่มองเห็นเยว่เอ๋อร์และซูหลินอุ้มเด็กไว้คนละคน หยุนหลีดีใจแทบไม่ไหว
“พี่หญิง นี่ก็คือลูกของท่านหรือ น่ารักมากนัก รีบให้ข้าดูหน่อย ข้าเป็นน้าคนแล้ว”
“จวินเสี่ยวเทียน จวินเสี่ยวเหยียน นี่คือชื่อที่พี่เขยเจ้าตั้งให้พวกเขา” หยุนถิงกล่าว
“หน้าจ้ำม่ำเชียว ร่างกายแข็งแรง ช่างน่ารักเสียจริงเชียว เสี่ยวเทียนกับพี่เขยก็คือถอดแบบเดียวกันออกมาโดยแท้ เสี่ยวเหยียนงดงามได้ท่าน ถ้าท่านพ่อกับพี่หญิงสามมาเห็นพวกเขา ต้องดีใจแทบแย่แน่” หยุนหลีพูดอย่างดีใจ รีบเข้ามาเล่นกับเด็กๆ
“พี่หญิง ข้าอุ้มหน่อยได้หรือไม่?”
“ได้แน่นอน ให้ซูหลินสอนเจ้าว่าอุ้มเยี่ยงไร” หยุนถิงตอบ
ซูหลินรีบสอนให้ หยุนถหลีตั้งใจฟังมาก รับจวินเสี่ยวเหยียนเข้ามา อุ้มร่างน้อยๆ ที่นุ่มนิ่มของนางไว้ ชอบจนแทบไม่ไหว
“เสี่ยวเหยียน เจ้าหน้าตางดงามจริงเชียว งดงามคล้ายพี่หญิง ทำให้คนชื่นชอบนักเชียว” หยุนหลีพูดชมเชย
เสวี่ยเชียนโฉวที่อยู่ด้านข้างมองหยุนหลีด้วยสีหน้าเย็นชาเยี่ยงนั้น ยัยเด็กแสบที่ใจร้ายคนนี้ พอนอนก็นอนทั้งวัน ตื่นมาแล้วก็ไม่สนใจตนเอง เสวี่ยเชียนโฉวกลับอยากดูเสียหน่อย หยุนหลีจะสังเกตเห็นตนเองเมื่อไร
“รั่วจิ่ง ตั้งโต๊ะเถิด” หยุนถิงกล่าว
“ได้เลยขอรับ!” รั่วจิ่งรีบไปสั่งการต่อ
ไม่นานนัก อาหารหลากหลายอย่างจัดวางไว้เต็มโต๊ะ หยุนหลีอุ้มจวินเสี่ยวเหยียนอยู่สักพัก ก็มาอุ้มจวินเสี่ยวเทียน เบิกบานใจมาก
บางทีเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือด เด็กทั้งสองจึงไม่งอแงสักนิด ทว่าเล่นกับหยุนหลีดีมาก
“เจ้าอุทยานเสวี่ยเชิญตามสบาย!” หยุนถิงเอ่ยปาก
หยุนหลีได้ยินคำพูดนี้เข้า ถึงนึกถึงท่านอาขึ้นได้ พอเงยหน้าก็มองเห็นไม่ไกลนักท่านอากำลังจ้องตนเองด้วยหน้าตาอึมครึม ชั่วขณะหนึ่งหยุนหลีกระอักกระอ่วนที่สุด
“ท่านอาขอโทษเจ้าคะ ข้าลืมท่านไปเลย!”
เสวี่ยเชียนโฉวเดิมก็สีหน้าไม่พอใจ วินาทีนี้อึมครึมถึงที่สุด ดำมืดดุจดังก้นหม้อ “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก?”
“ท่านอาข้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่ว่าข้าเจอพี่หญิงจนแล้วดีใจหรือ ไม่เจอกันสองปี เรื่องคุยก็มากมาย พอดีใจจึงลืมท่านไปแล้ว” หยุนหลีพูดอย่างรู้สึกเสียใจ
สีหน้าเสวี่ยเชียนโฉวไม่เห็นดูดีขึ้นมาแม้แต่น้อย มองนางอย่างเย็นชาเยี่ยงนั้น
สายตาของหยุนถิงย้ายไปย้ายมาระหว่างสองคน ตั้งแต่คราวก่อนนางก็มองออกว่าเสวี่ยเชียนโฉวคิดบางอย่างกับหยุนหลี จงใจเอ่ยปากว่า “ใช่แล้วหยุนหลี ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ท่านพ่อหมั้นหมายให้เจ้า”
“หมั้นหมาย เหตุใดข้าไม่รู้?” หยุนหลีถามอย่างตกใจ
มือในแขนเสื้อของเสวี่ยเชียนโฉว กุมหมัดไว้แน่นโดยจิตใต้สำนึก สีหน้ายังคงเย็นเยือก ทำให้คนมองความผิดปกติไม่ออกสักนิด
“ตอนนั้นท่านพ่อบอกว่านิสัยเยี่ยงเจ้านี้ กลัวจะหาคู่ครองไม่ง่าย ให้ข้าช่วยใส่ใจ ตอนนั้นข้าคิดว่าเจ้ายังเด็ก ก็ไม่ได้รีบร้อน ตอนนี้ผ่านไปสองปีแล้ว เจ้าถึงวัยออกเรือนแล้ว ควรพิจารณาดูแล้ว”