จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 674 เหตุใดเป็นเขาเล่า
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 674 เหตุใดเป็นเขาเล่า
“ซวนอ๋องมิต้องเกรงใจเพียงนี้ดอก ตอนนั้นข้าปราบกบฏภายในของแคว้นเทียนจิ่ว บาดเจ็บสาหัสสลบไม่ได้สติ พักฟื้นหนึ่งปีถึงสามารถเดินได้
พ่อบ้านกลัวข้าคิดไม่ตก พาข้าออกไปเดินเล่น ไปหลายที่นัก มีวันหนึ่งไปสงครามแห่งหนึ่ง
ตอนนั้นซากศพเกลื่อนกลาดเต็มพื้นไปหมด เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ชายหนุ่มคนหนึ่งเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด นอนหายใจรวยริน ในมือกลับกำธงต้าเยียนไม่แน่น
วินาทีนั้นข้าเหมือนเห็นตนเองในตอนนั้นในตัวเขา ต่อให้ต้องตายก็จะรักษาธงไว้ให้ดี เพราะนั่นเป็นชีวิตและความเชื่อของเหล่าทหารหาญ
ดังนั้นข้าจึงให้พ่อบ้านช่วยเขากลับไป และเชิญท่านหมอมาช่วยรักษาให้เขา รักษาอยู่หนึ่งเดือนเต็มเขาถึงหายดี
ต่อมาซวนอ๋องก็ได้แปรเปลี่ยนจากชายหนุ่มเลือดร้อนกลายเป็นเทพสงครามที่สะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งสี่แคว้น ตอนนั้นข้ามิได้มองคนผิดจริงๆ” กู้จิ่วเยวียนอธิบาย
“หากตอนนั้นมิใช่เซ่อเจิ้งอ๋องยื่นมือเข้าช่วย ก็คงไม่มีข้าในวันนี้ ขอบคุณมาก” โม่เหลิ่งเหยียนขอบคุณอีกครั้ง
“ตอนนั้นเจ้าขอบคุณแล้ว มิต้องเกรงใจดอก”
หยุนถิงหันมองโม่เหลิ่งเหยียน ไม่คิดว่าสิบปีก่อนพวกเขาก็ออกสู้ศึกสงครามแล้ว ตอนนั้นเขาเป็นแค่เด็กอายุสิบกว่าปี มันทำให้คนเลื่อมใสจริงๆ
ต้องพักฟื้นหนึ่งเดือนเต็มถึงหายดี นั่นต้องบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน เจ็บแค่ไหนกัน
และเมื่อสิบปีก่อนเธอทำอะไรอยู่ คงจะเป็นวิ่งไล่ตามหลังตามชื่นชอบหลีอ๋องโม่ฉือหาน ก่อให้เกิดเรื่องขบขันมากมาย โดนทุกคนดูถูกหยามหยันกระมัง
“เสด็จอาเก้า ไม่คิดว่าท่านกับซวนอ๋องจะมีบุพเพต่อกันเช่นนี้ หากมิใช่ว่าเสด็จพ่อสลบไม่ได้สติ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ต้องฉลองกันสักยกแล้วนะ” เริ่นเซวียนเอ๋อร์บอก
“มิเป็นไร สามารถได้เจอซวนอ๋องอีกครั้งข้าตื้นตันใจมากแล้ว บัดนี้ไท่จื่อกับไท่จื่อและเหล่าองค์ชายเกิดเรื่องขึ้น ทั้งศึกนอกศึกในโรมรัน ต่อไปต้องมีโอกาสอีกแน่” กู้จิ่วเยวียนบอก พลางไอออกมา
เริ่นเซวียนเอ๋อร์รีบพยุงเขานั่งลง “เสด็จอาเก้า ท่านรีบนั่งลงเถอะ หยุนถิง รบกวนเจ้าช่วยดูอาการให้เสด็จอาเก้าหน่อยเถอะ หลายปีมานี้ข้าตามหาตัวยามากมายมาบำรุงร่างกายให้เขา แต่กลับไม่อาจรักษาได้ขาดจริงๆ บางทีเจ้าอาจจะมีหนทางก็ได้”
หยุนถิงหันมองกู้จิ่วเยวียน ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วตางดงาม สีหน้าซีดเผือด ดูอ่อนแอ ทั้งร่างแผ่กำจายกลิ่นตัวยา ดูออกเลยว่ากินยามาหลายปี
“หยุนถิง ขอร้องล่ะ” โม่เหลิ่งเหยียนเองก็ขอร้องด้วย
ถึงเขากับกู้จิ่วเยวียนจะเป็นคนละแคว้นกัน แต่บุญคุณที่ช่วยชีวิตในตอนนั้น โม่เหลิ่งเหยียนจำได้ดี เขาเองก็ไม่อยากให้กู้จิ่วเยวียนเกิดเรื่อง
“ตกลง” หยุนถิงเดินเข้ามาจับชีพจรให้กู้จิ่วเยวียน จากนั้นคิ้วขมวดมุ่น
“ทำไมรึ ร่างกายของเสด็จอาเก้ามีสิ่งใดผิดปกติรึ?” เริ่นเซวียนเอ๋อร์รีบถามทันที
หยุนถิงช่วยจับชีพจรใหม่ให้กู้จิ่วเยวียนอีกครั้ง สีหน้าบูดบึ้งมากขึ้น เธอหันมองโม่เหลิ่งเหยียนทันที “ชีพจรเขาคล้ายกับของซื่อจื่อมากเลย”
โม่เหลิ่งเหยียนตกตะลึง “ดังนั้น เจ้าสงสัยว่า?”
“ไม่แน่ใจ ข้าต้องเชิญท่านยายขุยมาดูด้วยถึงจะรู้” หยุนถิงตอบ
“พวกเจ้าสองคนมีลับลมคมในอะไรกัน พูดให้ชัดๆสิ” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ร้อนใจยิ่งนัก
“เซวียนเอ๋อร์อย่ากังวลไปเลย ข้าไม่เป็นไรหรอก” กู้จิ่วเยวียนปลอบ
“ขอถามหน่อยว่า หลายปีมานี้ร่างกายของเซ่อเจิ้งอ๋องมีอาการอย่างไรบ้าง?”
“มักรู้สึกไม่มี่แรง ร่างกายอ่อนเพลีย และเริ่มนอนนานมากขึ้นเรื่อยๆ ระยะนี้บางครั้งอ่านหนังสืออยู่ก็นอนหลับได้ ฝ่าบาทมักจะประทานตัวยาและยาบำรุงมาให้เป็นระยะ เซวียนเอ๋อร์ก็มักจะส่งยามาให้ข้า แต่ผลลัพธ์มิเท่าไหร่ ก็คือไม่มีแรงอยู่ดี บางทีอาจเพราะตอนนั้นบาดเจ็บสาหัสเกินไป ดังนั้นเลยเป็นแบบนี้” กู้จิ่วเยวียนตอบ
หยุนถิงเข้าใจ “ถ้าเพียงแค่บาดเจ็บสาหัส พักฟื้นมาหลายปีขนาดนี้ก็ควรจะหายดีนานแล้ว ดังนั้นข้าสงสัยว่ามีคนใส่หนอนกู่กับเซ่อเจิ้งอ๋องแล้วล่ะ!”
กู้จิ่วเยวียนตกตะลึงยิ่งนัก มองดูใบหน้างามงดของหยุนถิง ท่าทางมั่นใจเช่นนี้ เขาเริ่มหวั่นไหวแล้ว
“ใส่หนอนกู่ ผู้ใดกันช่างชั่วร้ายนัก กล้าใส่หนอนกู่กับเสด็จอาเก้า หากให้ข้าจับได้ ข้าจะจับมันถลกหนังเลาะกระดูกแน่! หยุนถิง เจ้ามีหนทางแก้ไขหรือไม่?” เริ่นเซวียนเอ๋อร์พูดอย่างเดือดดาล
“เรื่องนี้ข้าไม่ถนัด หากเซ่อเจิ้งอ๋องยินดี ขอเชิญไปแปรพระราชฐานกับข้าสักครั้ง ข้างกายข้ามีท่านยายผู้หนึ่งศึกษาค้นคว้าเรื่องพิษกู่มามากมายนัก” หยุนถิงตอบ
“เช่นนั้นจะรออะไรอีกเล่า พวกเราไปแปรพระราชฐานด้วยกันตอนนี้เลย”
กู้จิ่วเยวียนขมวดคิ้ว “ตอนนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปดีกว่า”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน หลายปีมานี้ร่างกายของท่านไม่ฟื้นฟูเลย ข้ายังคิดว่าฝีมือการแพทย์ของข้าไม่พอ หากเป็นพิษกู่จริง ดังนั้นยิ่งต้องรีบกำจัด!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์พูดอย่างห้ามสงสัยขัดขืน ลากเขาออกไปทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่หยุนถิงเห็นเริ่นเซวียนเอ๋อร์แคร์ใครมากขนาดนี้ ก่อนหน้านี้นางยังบอกว่าไม่มีทางหาเรื่องตาย บัดนี้ดูแล้วน่าจะยอมลงให้กับเซ่อเจิ้งอ๋องนี่นานแล้วกระมัง
“ซวนอ๋อง พวกเราก็ไปกันเถอะ” หยุนถิงบอก
“ตกลง!”
แปรพระราชฐาน
ตอนหยุนถิงกลับมา หลิงเฟิงบอกว่าซื่อจื่อยังไม่ฟื้นเลย เด็กสองคนไปนอนกับเยว่เอ๋อร์และซูหลินแล้ว หยุนถิงถึงวางใจ รีบพาพวกเขาไปพบท่านยายขุยทันที
ท่านยายขุยเดิมเป็นห่วงที่หยุนถิงเข้าวังอยู่แล้ว เลยไม่ได้นอนทั้งคืน พอได้ยินนางบอกว่ามีคนโดนกู่ เลยรีบจับชีพจรให้กู้จิ่วเยวียนทันที
การจับชีพจรครั้งนี้ท่านยายขุยสีหน้าตึงเครียดทันที “ในตัวเขามีพิษกู่จริงๆ แต่ว่าไม่ใช่หนอนกู่ผีเสื้อโลหิต จะแก้ก็ลำบากหน่อย ต้องใช้เวลาราวสามวัน”
พอคำนี้ออกมา ทำทุกคนตกตะลึง
โดยเฉพาะกู้จิ่วเยวียน เขาอึ้งตะลึงไปเลย “ทำไมเป็นเช่นนี้ ผู้ใดใส่หนอนกู่กับข้ากัน เหตุใดข้าไม่รู้สึกตัวเลย?”
หลายปีมานี้สำนักหมอหลวงจะมาจับชีพจรให้เขาทุกสามถึงห้าวัน กลับไม่เห็นความผิดปกติเลย กู้จิ่วเยวียนยังคิดมาตลอดว่าตนเป็นอย่างนี้เพราะแผลเก่า
“ท่านยาย รบกวนท่านต้องช่วยถอนพิษกู่ให้เสด็จอาเก้า ต้องการอะไรขอให้บอกมาได้เลย ข้าจะหามาให้ท่าน!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์สีหน้าตึงเครียด ทั้งปวดใจและรู้สึกผิดยิ่งนัก
ทุกครั้งที่นางไปเยี่ยมเสด็จอาเก้าก็จะจับชีพจรให้เขา แต่กลับไม่เคยสังเกตเห็นเลย ขนาดจับชีพจรให้เขาเมื่อครู่ นางยังไม่พบความผิดปกติเลยสักนิด ตนนี่โง่จริงๆเลย
ท่านยายขุยรีบเขียนสิ่งที่ตนต้องการออกมาทันที เริ่นเซวียนเอ๋อร์หยิบกระดาษแผ่นนั้นวิ่งออกไปทันที
กู้จิ่วเยวียนอยากบอกนางว่าพรุ่งนี้ค่อยไป แต่เริ่นเซวียนเอ๋อร์กลับวิ่งห่างออกไปแล้ว
“หลงซื่อ ไปกับนางเร็ว!” หยุนถิงบอก
“ขอรับ!” หลงซื่อที่อยู่บนกำแพงรีบผลันร่างจากไปทันที
“ขอบคุณซื่อจื่อเฟยมาก!” กู้จิ่วเยวียนเอ่ยขึ้น
“เซ่อเจิ้งอ๋อง มิต้องเกรงใจดอก เซวียนเอ๋อร์เป็นสหายของข้า ข้าย่อมให้คนตามคุ้มครองนางอยู่แล้ว
“คุณหนูใหญ่ ข้าไปเตรียมการก่อน” ท่านยายขุยพูดจบออกไปเลย
ในห้องกว้างใหญ่ เหลือเพียงแค่หยุนถิง โม่เหลิ่งเหยียนและกู้จิ่วเยวียน
“ซื่อจื่อเฟย ในเมื่อท่านบอกว่าชีพจรข้าคล้ายคลึงกับจวินซื่อจื่อมาก พอจะรู้ผู้ที่ใส่หนอนกู่หรือไม่?” กู้จิ่วเยวียนพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด
ในเมื่อจวินหย่วนโยวโดนกู่ ด้วยนิสัยอย่างหยุนถิงไม่มีทางปล่อยไว้ไม่สนใจ ต้องหาตัวฆาตกรออกมา และเอาคืนเป็นร้อยเท่าแน่
ตั้งแต่ได้ยินว่าจวินหย่วนโยวกับหยุนถิงพาลูกๆมายังแคว้นเทียนจิ่ว กู้จิ่วเยวียนก็พอคาดเดาอะไรได้ หากมิใช่เรื่องสำคัญมากจริงๆ พวกเขามีหรือจะพาลูกมาด้วย
หยุนถิงมองกู้จิ่วเยวียนด้วยสีหน้าตึงเครียด “ข้ากับซื่อจื่อต่างสงสัยว่าเป็นผิงหนานอ๋อง แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด”
พอได้ยินชื่อผิงหนานอ๋อง สายตาเย็นชาของกู้จิ่วเยวียนพลันเบิกกว้างอย่างตกใจ ตะลึงยิ่งนัก “เหตุใดจึงเป็นเขาเล่า?”