จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 679 พวกเราหนีไปดีกว่า
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 679 พวกเราหนีไปดีกว่า
“ทำไมเป็นเจ้าเล่า หรือว่าเจ้าแอบตามข้ามา?” ฟู่อี้เฉินพูดด้วยสีหน้าทะมึน
“บังอาจ แม่ทัพเรารึแอบตามเจ้า น่าขันนัก ท่านแม่ทัพจับเขาย่างเลยดีกว่า พอดีเลยเหล่าทหารจะได้กินอิ่มหนึ่งมื้อ!” องครักษ์ถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล
พอฟู่อี้เฉินได้ยินดังนั้นก็ตกใจยิ่งนัก “หนานชวน เจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้นะ ข้าคือฟู่ซื่อจื่อ หลานชายแท้ๆของฮ่องเต้นะ”
หนานชวนถลึงตาใส่เขาอย่างเย็นชา “คุมตัวเขาไปด้านหลัง มัดเขาไว้และหาอะไรยัดอุดปากไว้ด้วย”
“ขอรับ!”
ฟู่อี้เฉินเดือดทันที สะบัดมือองครักษ์คนนั้นอย่างแรงทันที “หนานชวน เจ้าจะมาใจดำอย่างนี้ไม่ได้นะ ข้าคือฟู่อี้เฉิน เจ้าคงมิใช่ตัวปลอมกระมัง กล้าทำอย่างนี้กับข้า?”
หนานชวนเมื่อก่อนตามใจเขาทุกอย่าง เกรงใจยิ่งนัก มักจะยอมอ่อนให้เขา พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาไร้หัวใจอย่างนี้ มันทำให้ฟู่อี้เฉินไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
“ข้าคือหนานชวน ตัวจริงแท้แน่นอน หยุนถิงเขียนจดหมายให้ข้ามารอรับที่แคว้นเทียนจิ่ว ปกาของฟู่ซื่อจื่อไม่มีหูรูดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากเจ้าหลุดปากถึงร่องรอยของพวกเราออกไป เมืองหนานชวนตกอยู่ในอันตรายแน่ และจะทำให้หยุนถิงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากด้วย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของทุกคน มัดเขาไว้!” หนานชวนแค่นเสียงเย็น
องครักษ์สองคนเข้ามาคุมตัวเขา ฟู่อี้เฉินยังอยากพูดอะไรอีก ก็โดนคนจับเอาผ้าอุดปาก หิ้วแขนออกไปเลย
ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไรก็ตาม ก็สลัดไม่หลุด เขาถลึงตาใส่หนานชวนอย่างเดือดดาล
หญิงน่าตายน่าต้องเคียดแค้นที่ตนทำอย่างนั้นกับนางเมื่อก่อนแน่ ชั่วร้ายยิ่งนัก
โม่ฉือชิงเห็นฟู่อี้เฉินโดนคุมตัวไป ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ นั่นไงเป็นศัตรูกับใครก็ได้แต่อย่าเป็นศัตรูกับสตรี
เขารีบพูดอย่างเกรงใจว่า “หนานชวน เจ้าคงไม่คุมขังข้าอีกคนหรอกนะ?”
“หากเฉินอ๋องสามารถควบคุมปากตนเองได้ แน่นอนว่าไม่” หนานชวนตอบ
โม่ฉือชิงปิดปากตนเองฉับพลัน “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะปิดปากให้สนิทแน่ จริงสิพวกหยุนถิงเป็นอย่างไรบ้างรึ?”
“พวกเขาอยู่ที่แปรพระราชฐาน ปลอดภัยมาก” หนานชวนตอบ
“งั้นก็ดี นางปลอดภัยก็ดีแล้ว” โม่ฉือชิงผ่อนลมหายใจ
พอได้ยินว่าหยุนถิงปลอดภัย เขาก็จัดแจงเรื่องในเมืองหลวงให้เรียบร้อย จากนั้นก็เร่งรุดมาเลย ตอนออกจากเมืองหลวงก็เจอกับฟู่อี้เฉินเข้าพอดี พอได้ยินว่าเขาจะมาหาหยุนถิง ฟู่อี้เฉินก็ตามมาด้วยเลย
“ทหาร พาเฉินอ๋องไปพักผ่อน!”
“ขอรับ!” องครักษ์คนหนึ่งรีบเข้ามาทันที
พูดว่าพักผ่อน แต่ก็แค่หาที่ว่างให้เขานั่งลง พอเห็นทุกคนล้วนนั่งขัดสมธิอยู่กับพื้น ก้มหน้าก้มตาเช็ดดาบใหญ่ทวนยาวอยู่อย่างนั้น ทำเอาโม่ฉือชิงรู้สึกอัดอัดนัก
นั่งอยู่กับเหล่าทหาร โม่ฉือชิงรู้สึกเบื่อหน่ายนัก คิดๆดู ไปหาฟู่อี้เฉินดีกว่า
พอเห็นฟู่อี้เฉินโดนมัดเอาผ้ายัดปากไว้ โม่ฉือชิงหัวเราะร่วนออกมาทันที “คิดไม่ถึงว่าจอมเกเรแห่งต้าเยียนก็มีวันนี้กับเขาเหมือนกัน น่าสนุกยิ่งนัก”
ฟู่อี้เฉินถลึงตาใส่เขาอย่างเดือดดาล ทำท่าบุ้ยปากให้เขาช่วยตนเอาผ้าที่อุดปากไว้ออก
“ข้าเอาออกให้เจ้าได้ แต่เจ้าจะตะโกนไม่ได้นะ ต่อให้เจ้าตะโกนก็ไร้ประโยชน์ นอกเสียจากว่าเจ้าอยากโดนคนจับยัดปากอีก” โม่ฉือชิงพูดจบ ถึงได้เดินเข้ามาเอาผ้าที่อุดปากฟู่อี้เฉินออก
“โม่ฉือชิงเจ้าสารเลว ทำไมพวกเขาไม่มัดเจ้า แต่มัดข้าล่ะ?” ฟู่อี้เฉินถามอย่างเดือดดาล
“นี่ต้องถามตัวเจ้าเองแล้ว เมื่อก่อนเจ้าทำอย่างนั้นกับองค์หญิงหนานชวน นางไม่ให้คนจับเจ้าไปฆ่าก็ถือว่าดีมากแล้ว เจ้ารู้จักพอเพียงเสียเถอะ” โม่ฉือชิงเบ้ปากบอก
“ชั่วช้านัก หนานชวนเจ้าหญิงสารเลว ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไว้แน่ กลับไปรอข้าเป็นอิสระแล้ว เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่!” ฟู่อี้เฉินด่ากราด
หนานชวนผ่านมาพอดี ได้ยินฟู่อี้เฉินด่าตน นางก็ไม่โกรธ เดินเข้ามาจับผ้ายัดปากเขาอีกครั้ง
“หากเฉินอ๋องเอามันออกอีก ข้าจะอุดปากเจ้าด้วย!” คำพูดเย็นเยียบประโยคเดียวทำเอาโม่ฉือชิงตกใจตัวสั่นเทา รีบรับประกันทันที “ข้ารับรองว่าจะไม่เอามันออกอีก”
เวลาเที่ยงวัน ทหารคนหนึ่งยื่นหมั่นโถวให้โม่ฉือชิงสองอัน “เฉินอ๋อง กินเถอะ”
โม่ฉือชิงมองดูหมั่นโถวที่ทั้งแห้งและเย็น รู้สึกเสียใจที่มาแคว้นเทียนจิ่วยิ่งนัก ปกติเขากินแต่อาหารเลิศรส ไหนเลยจะกินของพวกนี้ลง ดังนั้นเขาเลยไม่กิน
ส่วนฟู่อี้เฉิน ไม่มีใครสนใจเขาสักนิด และไม่มีใครเอาของกินให้เขาด้วย
พออาหารเย็นก็เป็นหมั่นโถวอีก พอโม่ฉือชิงเห็นก็ปวดหัวตึ้บ รีบไปหาหนานชวนทันที “องค์หญิงหนานชวน เจ้าหาของกินดีหน่อยให้เหล่าทหารมิได้รึ ทำไมมีแต่หมั่นโถวแห้งล่ะ?”
ยังไม่รอองค์หญิงหนานชวนตอบ ทหารคนหนึ่งก็พูดขึ้น “มีหมั่นโถวกินก็ดีมากแล้ว เมื่อก่อนพวกเราออกรบกับองค์หญิง หิวจนกินหญ้ากินเปลือกไม้ก็ยังเคย หมั่นโถวขาวเนียนนี่หอมมากนะ หากเฉินอ๋องไม่กินให้ข้าละกัน” ทหารพูดจบก็คว้าเอามากัดกินคำโตทันที
โม่ฉือชิงใบ้กิน แต่ไม่พูดอะไรอีก
ตกกลางดึก โม่ฉือชิงตื่นเพราะหิว คนที่หิวเหมือนกันคือฟู่อี้เฉิน
สองคนนี้ปกติอยู่สุขสบาย จู่ๆก็ต้องมาหิวทั้งวัน มีหรือจะทนไหว
โม่ฉือชิงอาศัยจังหวะตอนทุกคนไม่สังเกต แก้มัดให้ฟู่อี้เฉิน “พวกเราหนีไปดีกว่า นี่ไม่ใช่ที่จะอยู่ได้เลยนะ หิวจนไส้กิ่วแล้ว เมื่อครู่ข้าไปดูมาแล้ว แม้แต่หมั่นโถวแห้งก็ไม่เหลือแล้ว”
“หญิงสารเลวนี่ต้องจงใจแก้แค้นข้าแน่ ไป พวกเราไปหาของกินเลิศรสกันในเมืองหลวงแคว้นเทียนจิ่วกัน” ฟู่อี้เฉินพูดอย่างเคียดแค้น ท้องมีเสียงจ๊อกๆดังมาอีก หิวมาก
ดังนั้นฟู่อี้เฉินและโม่ฉือชิงเลยลอบหนีไปกลางดึก เพียงแต่พวกเขาพึ่งวิ่งไปถึงป่าด้านหน้า ฟู่อี้เฉินพลันเจ็บก้นขึ้นมา พอเอามือไปจับดู บางอย่างทั้งเล็กและลื่นหนึ่งตัว ทำเอาเขาตกใจสะบัดทิ้ง ร้องโหยหวนออกมา
“อ๊าก มีงู ข้าโดนงูกัดแล้ว ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!”
พอโม่ฉือชิงได้ยิน ก็ตกใจจนหันหลังวิ่งกลับไปทางเดิม ไม่สนใจฟู่อี้เฉินสักนิด
“โม่ฉือชิง เจ้าสารเลว หยุดนะ กล้าทิ้งข้า—“ ฟู่อี้เฉินยังพูดไม่ทันจบ ก็เป็นลมสลบไปเลย
รอเขาฟื้นขึ้นมา ก็เป็นวันต่อมาแล้ว พอลืมตาก็เห็นทหารสองคนที่ก่อนหน้านี้ทำหน้าที่เฝ้าตนไว้กำลังถลึงตาใส่ตน
“ข้ายังไม่ตาย ดียิ่งนัก ข้ายังมีชีวิตอยู่”
“ฟู่ซื่อจื่อน่าจะขอบคุณองค์หญิงของเรามากกว่า องค์หญิงให้คนช่วยท่านไว้” องครักษ์คนหนึ่งพูดขึ้น
ฟู่อี้เฉินสีหน้าตกตะลึง “หนานชวน นางรึ?”
“เจ้าน่าจะคิดว่าพวกเราหนีไปจากที่นี่ยังไงดีกว่า?” โม่ฉือชิงเบ้ปาก เขาในตอนนี้โดนมัดรวมกับฟู่อี้เฉิน คับแค้นใจยิ่งนัก
“ทำไมเจ้าก็โดนมัดด้วยล่ะ?”
โม่ฉือชิงมองบนใส่เขา “ก็เพราะเจ้าน่ะแหละ”
ฟู่อี้เฉินกระดากอายนัก “ข้าก็ไม่คิดว่าในป่านั่นจะมีงูพิษนี่”
ตอนเที่ยง องค์หญิงหนานชวนยกบะหมี่ชามหนึ่งและไก่ย่างตัวหนึ่งเดินเข้ามา นั่งกินลงตรงหน้าฟู่อี้เฉินและโม่ฉือชิง
สองคนนี้หิวมาสองวันแล้ว พอได้กลิ่นหอมของไก่ย่าว กลืนน้ำลายเอื๊อกๆ ท้องร้องอย่างน่าอายขึ้นมา
ฟู่อี้เฉินถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล “หนานชวน เจ้าชั่วร้ายเกินไปแล้ว ตนเองกินไก่ย่าง ให้พวกเราสองคนอดข้าว ต่อให้เจ้าไม่ให้พวกเรากิน ก็น่าจะแบ่งให้ทหารของเจ้าบ้างสิ หลบมากินคนเดียวนี่ควรแล้วรึ?”
“วันนี้กินไก่ คนละตัว ไม่ต้องให้แม่ทัพแบ่งให้เรา!” ทหารคนหนึ่งยกไก่ย่างในมือขึ้นบอก
ฟู่อี้เฉินเหล่มอง ทหารแต่ละคนมือถือไก่คนละตัว พลันตกตะลึง ปวดใจนัก
“เป็นไปได้อย่างไรกัน เมื่อคืนพวกเจ้ายังกินหมั่นโถวแห้งอยู่เลย ไก่นี่เป็นของปลอมกระมัง?”