จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 689 หยุนถิง ช่วยด้วย
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 689 หยุนถิง ช่วยด้วย
ทั้งสองคนกลับเข้าไปในห้องลับ หยุนถิงนำของมีค่าทั้งหมดในห้องลับใส่เข้าไปในมิติ รวมไปถึงม้วนภาพต้นสนเขียวชอุ่มภาพนั้น
มองเห็นช่องลับบนกำแพงด้านหลังถูกเปิดออก หยุนถิงขมวดคิ้ว “หรือว่านี่ก็คือสิ่งที่ผิงหนานอ๋องยอมละทิ้งชีวิตก็จะต้องกลับมาค้นหาให้ได้?”
ช่องลับเล็กมาก ใส่ได้แต่กล่องที่เล็กเท่าฝ่ามือเท่านั้น
“หยุนถิง เจ้าดูนี่!” โม่เหลิ่งเหยียนพบกล่องที่ถูกทิ้งเอาไว้บนโต๊ะกล่องนั้น และรีบนำมาทันที
ไม้จันทน์สีน้ำตาล ส่งกลิ่นหอมจางๆ ดูเก่าเล็กน้อย ตรงมุมกล่องสีลอกออกแล้ว แต่ด้านบนกล่องกลับสะอาดมาก ดูออกว่าถูกเช็ดทำความสะอาดบ่อยๆ
“กล่องเล็กขนาดนี้ น่าจะไม่สามารถใส่หนอนกู่ได้ใช่ไหม อีกอย่างกล่องนี้ดูเหมือนค่อนข้างมีอายุแล้ว” หยุนถิงกล่าวด้วยความสงสัย
โม่เหลิ่งเหยียนชำเลืองมองกล่องใบนั้นครู่หนึ่ง สายตาหยุดอยู่ที่ลวดลายด้านนอกกล่อง “ตอนที่ข้าเดินทางไปทัศนาจรที่โพ้นทะเล เคยมีโอกาสได้เห็นลวดลายนี้ หากข้าเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นลวดลายของเขตทะเลนิรนาม”
“เขตทะเลนิรนามนี่อีกแล้ว ดูท่าคนที่วางกู่ให้ท่านแม่ของซื่อจื่อต้องอยู่ที่เขตทะเลนิรนามแน่นอน กล่องใบนี้เรานำกลับไปก่อน แล้วค่อยปรึกษาหารือกันในระยะยาว” หยุนถิงกล่าวพร้อมกับใส่กล่องใบนั้นเข้าไปในมิติ
ทั้งสองคนค้นหาและตักตวงสิ่งของในห้องลับ แล้วก็ไปที่ห้องอื่นๆ รวบรวมและนำสิ่งของมีค่าทั้งหมดในจวนอ๋องออกไป ถึงได้จากไป
พระราชวังแคว้นเทียนจิ่ว
เริ่นเซวียนเอ๋อร์กอดร่างของฮ่องเต้เอาไว้ ร่ำไห้น้ำตาไหลอาบหน้า เจ็บปวดและเศร้าโศกอย่างมาก
กู้จิ่วเยวียนรู้สึกเอ็นดูสงสารอย่างยิ่ง ยื่นมือไปตบไหล่ของเริ่นเซวียนเอ๋อร์เบาๆ “เซวียนเอ๋อร์ ฝ่าบาททรงรู้ตัวว่ามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เขาทำเช่นนี้เพียงเพราะไม่อยากให้เจ้าถูกผิงหนานอ๋องข่มขู่ ตั้งสติให้ดี แคว้นเทียนจิ่วต้องการเจ้า”
น้ำตาของเริ่นเซวียนเอ๋อร์ไหลแอบลงมาราวกับเขื่อนแตก “หลายปีมานี้ ข้าไม่เคยอยู่ทำหน้าที่ลูกใกล้ๆเสด็จพ่อเลย เอาแต่เที่ยวเตร่ไปทั่ว ช่างอกตัญญูจริงๆ”
กู้จิ่วเยวียนไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ยืนอยู่ด้านข้าง อยู่กับนาง มองดูนางเงียบๆ
“องค์หญิงสาม ขอท่านโปรดช่วยพวกกระหม่อมด้วยเถิด!” ขุนนางคนหนึ่งรีบเอ่ยปากทันที
“พุด!” ขุนนางคนหนึ่งกระอักเลือดออกมาแล้ว “องค์หญิงสามโปรดช่วยกระหม่อมด้วย!”
เหล่าขุนนางล้วนคุกเข่าอ้อนวอน อย่างไรเสียองค์หญิงสามก็เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาแล้ว
เริ่นเซวียนเอ๋อร์สีหน้าตึงเครียดทันที หันหน้ามองไปทางขุนนางที่กำลังเจ็บปวดเหล่านั้น นางเช็ดน้ำตาที่อยู่บนแก้มอย่างแรง ใช่แล้ว ขุนนางเหล่านี้ต้องการนาง แคว้นเทียนจิ่วก็ต้องการนางเช่นกัน นางจะเอาแต่เศร้าโศกได้อย่างไร
เริ่นเซวียนเอ๋อร์วางฮ่องเต้ลงอย่างระมัดระวัง ลุกขึ้นเดินไปทางขุนนางเหล่านั้น เริ่มจับชีพจรและรักษาให้พวกเขา
“ทุกคนเข้าแถวให้เรียบร้อย ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะช่วยทุกคนเอง” เริ่นเซวียนเอ๋อร์เอ่ยปาก
“พวกท่านไม่ต้องกังวลไป พี่ใหญ่ข้าจะกลับมาในไม่ช้า นางจะต้องช่วยพวกท่านแน่นอน” หยุนหลีกล่าวปลอบโยน
เหล่าขุนนางถึงได้แอบโล่งใจเงียบๆ ล้วนพากันเข้าแถวอย่างรู้ตัว
“กองทัพหลวงฟังคำสั่ง ทำความสะอาดพระราชวังเดี๋ยวนี้ จัดการทำความสะอาดศพทั้งหมดให้เรียบร้อย หากพบผู้สมรู้ร่วมคิดหรือเศษเดนของผิงหนานอ๋อง จัดการประหารได้ทันที!
ผู้บังคับบัญชากองทัพหลวงฟังคำสั่ง นำกำลังคนออกค้นหาทั่วทั้งเมืองหลวง ขอเพียงเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับผิงหนานอ๋องให้จับกุมเอาไว้ทั้งหมด อีกอย่างปิดข่าวเรื่องการสวรรคตของฝ่าบาทเอาไว้ เพิ่มกำลังคนลาดตระเวนและเฝ้ารักษาการณ์ ใครก็ตามที่น่าสงสัยให้จับกุมทันที” เซ่อเจิ้งอ๋องออกคำสั่ง
“ขอรับ!” บรรดาแม่ทัพรีบไปดำเนินการทันที
หยุนถิงกับโม่เหลิ่งเหยียนเดินเข้ามาจากด้านนอก “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“พี่ใหญ่ สถานการณ์ของพระราชวังอยู่ตัวแล้ว พวกท่านจับกุมคนได้ไหม?” หยุนหลีรีบวิ่งเข้ามาทันที
คนอื่นๆก็พากันมองมา ล้วนอยากรู้อยากเห็นทั้งนั้น
หยุนถิงส่ายหน้า “จับไม่ได้”
“ไม่ใช่มั้ง ท่านกับซวนอ๋องลงมือยังให้เขาหนีไปได้?” ใบหน้าของหยุนหลีเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ผิงหนานอ๋องตายแล้ว เขาถูกพวกเดียวกันใช้อาวุธลับฆ่าตาย คนผู้นั้นน่าจะฆ่าคนเพื่อปิดปาก” หยุนถิงอธิบาย
“ถึงตายก็ไม่สาสมกับความผิดที่ได้กระทำ คนคนเดียวถึงกับสร้างความโกลาหลมากมายขนาดนี้ ทำร้ายผู้คนไปมากมายขนาดนี้ สมน้ำหน้า!” หยุนหลีกล่าวด้วยความสาแก่ใจ
เริ่นเซวียนเอ๋อร์ขมวดคิ้วขึ้นทันที เสด็จอาตายแล้ว ตายไปเช่นนี้แล้ว
“โอ้ย องค์หญิงสามท่านเบาเข็มหน่อย!” ขุนนางคนนั้นคร่ำครวญ เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน
“ขอโทษด้วย ข้าเหม่อลอยไปชั่วขณะ”
“องค์หญิงสามไม่จำเป็นต้องขอโทษข้า ข้าต้องขอบคุณองค์หญิงสำหรับบุญคุณที่ช่วยชีวิต”
“หยุนถิง รีบเข้ามาช่วยเร็ว ข้าคนเดียวทำไม่ไหว” เริ่นเซวียนเอ๋อร์เอ่ยปาก
“ตกลง! เห็นแก่หน้าของเจ้า ข้าจะช่วยในครั้งนี้” หยุนถิงเดินเข้ามา
กู้จิ่วเยวียนให้คนไปเรียกหมอหลวงทั้งหมดมาทันที จะได้เป็นผู้ช่วยให้กับพวกนางสองคน
นอกพระตำหนัก ผู้บัญชาการองครักษ์หลวงเดินเข้ามาพร้อมกับคนสองสามคน
“เซ่อเจิ้งอ๋อง ข้าน้อยเพิ่งออกจากประตูวังก็พบกับองค์หญิงหนานชวนแห่งแคว้นต้าเยียน นางช่วยเราจับกุมเศษเดนของผิงหนานอ๋อง จำนวนหลายร้อยคน หนึ่งในนั้นมีเซียจิ่วเซียวรวมอยู่ด้วย ขอเซ่อเจิ้งอ๋องโปรดตัดสินด้วย!” ผู้บัญชาการองครักษ์หลวงรายงาน
ใบหน้าของกู้จิ่วเยวียนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนเขากับองค์หญิงหนานชวนจะไม่ได้มีสัมพันธไมตรีอะไรต่อกัน เหตุใดนางถึงให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ คิดว่าคงเป็นเพราะซื่อจื่อเฟย จวินซื่อจื่อล่ะมั้ง
“ขอบคุณองค์หญิงหนานชวนที่ให้ความช่วยเหลือ ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจไม่สิ้นสุด หากวันหน้าองค์หญิงมีความต้องการสิ่งใด ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถแน่นอน!” กู้จิ่วเยวียนกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
“เซ่อเจิ้งอ๋องไม่ต้องเกรงใจ ซื่อจื่อเฟยส่งจดหมายหาข้า ให้ข้ารับช่วงต่อนอกเมือง ข้าก็เลยมา” องค์หญิงหนานชวนตอบ จากนั้นก็มองไปทางหยุนถิง
“ขอบคุณมาก!” หยุนถิงกล่าวขอบคุณ
“ซื่อจื่อเฟยไม่ต้องเกรงใจ คุณหนูซูกับข้าร่วมหุ้นกันเปิดร้าน ตอนนี้ชาวบ้านทั่วทั้งเมืองหนานชวนร่ำรวย เพลิดเพลินกับการพูดคุย ข้าก็แค่ให้ความช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น” องค์หญิงหนานชวนกล่าว
ตั้งแต่หยุนซูส่งผู้เชี่ยวชาญทางด้านปิ้งย่างไปที่เมืองหนานชวนห้าคน จากร้านปิ้งย่างหนึ่งร้าน จนถึงยี่สิบสามสิบร้านในตอนนี้ การค้าของทุกๆร้านล้วนเฟื่องฟูอย่างมาก แม้แต่ผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็มาด้วยความชื่นชม นี่ทำให้เมืองหนานชวนมีรายได้เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
“ขอบคุณองค์หญิงหนานชวนมาก!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวขอบคุณ
“เรียนเซ่อเจิ้งอ๋อง ข้าน้อยจับคนที่แอบกินอาหารที่ห้องพระเครื่องต้นได้สองคน พวกเขาอ้างว่าเป็นฟู่ซื่อจื่อกับเฉินอ๋องแห่งแคว้นต้าเยียน ข้าน้อยพาพวกเขามาที่นี่โดยเฉพาะ ขอเซ่อเจิ้งอ๋องโปรดจัดการลงโทษด้วย!” ขณะที่องครักษ์กล่าวไป องครักษ์ที่อยู่หน้าประตูก็กุมตัวฟู่อี้เฉินกับโม่ฉือชิงเข้ามา
“หยุนถิง ช่วยด้วย!” ฟู่อี้เฉินคร่ำครวญอย่างน่าสังเวช
หยุนถิงมองไปทางเขา ไหนเลยจะยังมีความอวดดีในเวลาปกติอยู่อีก ฟู่อี้เฉินในเวลานี้เสื้อผ้ายับยู่ยี่ แถมยังมีฝุ่นดินติดอยู่ ดูสกปรกเล็กน้อย สีหน้าซีดเซียวอย่างมาก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดูทุลักทุเลเล็กน้อย
“ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้?” หยุนถิงถามด้วยความประหลาดใจ
ฟู่อี้เฉินจ้องมองไปทางองค์หญิงหนานชวนด้วยความหงุดหงิดโมโห “เป็นเพราะยัยผู้หญิงบ้าคนนี้ จงใจจับข้าเอาไว้ ไม่ยอมให้ข้ากับเฉินอ๋องกินดื่ม ให้พวกเราอดอาหารมาสามวัน
ข้ากินดีอยู่ดีมาตั้งแต่เด็ก เคยอดอยากเมื่อไหร่กัน แถมยังให้อดอาหารสามวัน หลังจากนั้นก็ให้กินอาหารวันละมื้อ ถึงจะปฏิบัติต่อนักโทษก็ไม่สามารถทำเช่นนี้
ข้ากับเฉินอ๋องติดตามยัยผู้หญิงบ้านี่เข้าวัง ก็บอกว่าจะไปหาอาหารที่ห้องพระเครื่องต้นกินหน่อย แต่นางคนนี้ปากบอกให้เราไปได้ แต่แล้วก็ส่งคนมาจับกุมเราในฐานะเศษเดน หนานชวนเจ้านี่มันช่างเป็นผู้หญิงที่จิตใจอำมหิตจริงๆ!”
โม่ฉือชิงที่อยู่ด้านข้างไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ ถือไก่ย่างเอาไว้และกำลังกินมันอย่างเต็มปากเต็มคำ หลังจากเหตุการณ์หลายวันที่ผ่านมานี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้กินอิ่ม