จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 690 ข้าเสนอให้เซวียนเอ๋อร์สืบทอดบัลลังก์
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 690 ข้าเสนอให้เซวียนเอ๋อร์สืบทอดบัลลังก์
“เรื่องนี้จะมาโทษข้าไม่ได้ พวกเจ้าทำลับๆล่อๆ ถูกคนของข้าจับเพราะคิดว่าเป็นสายลับเอง เดิมทีข้าก็อยากจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี แต่แล้วพวกเขาสองคนกลับหลบหนีกลางดึก นี่ถ้าหากถูกคนของผิงหนานอ๋องจับได้ จะไม่ตายในสภาพศพไม่สมบูรณ์หรอกหรือ
แต่แล้วสองคนนี้กลับถูกงูพิษกัด คนของข้าเป็นคนช่วยพวกเขากลับมากลางดึก กลัวว่าพวกเขาจะก่อกวนแผนการของเราหรือไม่ก็เปิดเผยตัวตน ถึงต้องทำเช่นนี้” องค์หญิงหนานชวนอธิบาย
“เจ้า ยัยผู้หญิงที่สมควรตายนี่ เจ้าจงใจทำทารุณข้าไม่ใช่หรือ ทันทีที่เห็นหน้าก็ให้คนจับกุมข้า หากเจ้าต้อนรับเป็นอย่างดี ข้าจะหลบหนีหรือ!” ฟู่อี้เฉินกล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เดินทัพทำสงคราม เหล่าทหารสามารถกินอิ่มและดื่มจนพอใจก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ยังจะต้อนรับเจ้า คนที่ไม่สามารถทำงานอะไรได้อย่างเจ้า แค่งูพิษตัวเดียวก็ตกใจจนหมดสติ ยังมีหน้าพูดเรื่องให้การต้อนรับอีก!” องค์หญิงหนานชวนกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย
ฟู่อี้เฉินโกรธจนใกล้จะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว เขาคิดไม่ถึงเลยว่าองค์หญิงหนานชวนจะพรรณนาถึงตัวเองได้แย่เช่นนี้
“น่าชิงชังนัก เจ้า——” คำพูดของฟู่อี้เฉินยังไม่ทันได้พูดจบ ก็โกรธจนหมดสติไปโดยตรง
หยุนถิงก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกันที่องค์หญิงหนานชวนจะเที่ยงธรรมและเป็นกลางผิดเมื่อเผชิญหน้ากับความถูกต้อง ไม่เลวจริงๆ “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าช่วยหาห้องให้เขาได้พักผ่อนหน่อย”
“เด็กๆ พาฟู่ซื่อจื่อไปพักผ่อน ให้ห้องพระเครื่องต้นยกอาหารเลิศรสสำเร็จรูปทั้งหมดมาทันที นอกเหนือจากนี้ เตรียมสิ่งของสำหรับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เฉินอ๋อง หาได้ยากที่เฉินอ๋องกับฟู่ซื่อจื่อจะมาสักครั้ง อย่าได้ละเลยในการต้อนรับ!” กู้จิ่วเยวียนออกคำสั่ง
“ขอรับ!” องครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวิ่งเข้ามา ยกฟู่อี้เฉินออกไปทันที
“เซ่อเจิ้งอ๋องท่านช่างทำได้ถูกใจข้ามากจริงๆ ไม่เลว ไม่เลว!” โม่ฉือชิงกล่าวด้วยความตื่นเต้น
ไม่นานนัก อาหารที่อุดมสมบูรณ์ก็ถูกวางเอาไว้เต็มโต๊ะ โม่ฉือชิงวิ่งเข้าไปโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย กินขึ้นมาอย่างตะกละตะกลาม
หยุนถิงส่ายหน้าอย่างจนใจ ช่วยขุนนางเหล่านั้นแก้พิษต่อไป
เวลาผ่านไปทีละนิดทีละนิด เริ่นเซวียนเอ๋อร์เหนื่อยจนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ เกือบจะหมดสติไปกลางคัน ดีที่ได้หยุนถิงฝังเข็มให้นางสองสามเข็มถึงได้ทุเลาลง
“ถ้าอย่างไรเจ้าไปพักผ่อนก่อน ข้าจัดการต่อเอง!” หยุนถิงเอ่ยปาก
เริ่นเซวียนเอ๋อร์เช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก “ข้าไม่เป็นไร ยังสามารถยืนหยัดต่อไปได้ สุขภาพของเหล่าขุนนางสำคัญ พวกเขาล้วนเป็นคนที่ติดตามเสด็จพ่อ ข้าจะไม่ให้พวกเขาเป็นอะไรไปเด็ดขาด”
เหล่าขุนนางได้ยินก็ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง เบ้าตาของหลายคนแดงก่ำขึ้นมา
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า องค์หญิงสามที่ไม่เคยสนใจราชสำนักจะมีเมตตาเช่นนี้ โดยเฉพาะขุนนางหลายคนที่โอนเอียงไปทางผิงหนานอ๋องเมื่อครู่นี้ ยิ่งรู้สึกละอายใจสุดขีด
“กระหม่อมผิดต่อองค์หญิงสาม เมื่อครู่กระหม่อมยังพูดแทนผิงหนานอ๋องอยู่เลย กระหม่อมละอายใจต่อฮ่องเต้องค์ก่อน!” ขุนนางคนหนึ่งคุกเข่ายอมรับผิด
ขุนนางคนอื่นๆก็พากันคุกเข่าคารวะหน้าผากแตะพื้น ละอายใจว่าสู้ไม่ได้
เริ่นเซวียนเอ๋อร์มองดูพวกเขาครู่หนึ่ง “ทุกคนลุกขึ้นมาเถอะ พวกเจ้าถูกเขาวางยาพิษข่มขู่ ข้าไม่โทษพวกเจ้าหรอก”
บรรดาขุนนางรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง รู้สึกนับถือน้ำใจขององค์หญิงสามจากก้นบึ้งของหัวใจ
หลังจากผ่านไปประมาณสองชั่วยาม พิษของขุนนางทุกคนก็ถูกกำจัดออกไป
ผู้บัญชาการกองทัพหลวงเข้ามาจากด้านนอก “เรียนเซ่อเจิ้งอ๋อง องค์หญิงสาม ข้าน้อยให้คนยกร่างขององค์ชายกับองค์หญิงที่ถูกสังหารมาถึงด้านนอกพระตำหนักแล้ว ลั่วผินเสียชีวิตพร้อมกับลูกในครรภ์ เฉียนกุ้ยเฟยดูเหมือนจะเสียสติเพราะเกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชายหก สนมคนอื่นๆบ้างก็บาดเจ็บ บ้างก็ล้มตาย ขอเซ่อเจิ้งอ๋องโปรดตัดสินด้วย!”
ทันทีที่เหล่าขุนนางได้ยิน ล้วนรู้สึกเคียดแค้นชิงชัง ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นผิงหนานอ๋องอย่างยิ่ง
เริ่นเซวียนเอ๋อร์เสียหลัก คนทั้งคนล้มลงไปกับพื้น กู้จิ่วเยวียนประคองนางเอาไว้ “เจ้าพักผ่อนก่อน ข้าไปจัดการเอง!”
“ไม่ต้อง ข้าทำได้!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ยืนกราน ก้าวเท้าเดินไปนอกพระตำหนัก
กู้จิ่วเยวียนตามไปทันที เหล่าขุนนางก็พากันลากร่างกายที่อ่อนแอตามไปเช่นกัน
นอกพระตำหนัก มีศพวางเรียงรายกันเป็นแถว ทั้งหมดล้วนเป็นองค์ชายกับองค์หญิง
เริ่นเซวียนเอ๋อร์เจ็บปวดใจอย่างยิ่ง สีหน้าซีดขาว เดินเข้าไปทีละก้าว มองดูพี่น้องของตัวเองล้วนนอนกันอยู่ที่นี่ รู้สึกโศกเศร้าและเจ็บปวดใจ
“เสด็จอา เขาทำลงคอได้อย่างไร คนพวกนี้ก็ล้วนเป็นคนที่เขาเห็นการเติบโต ลั่วผินยังตั้งครรภ์อยู่ด้วยซ้ำ——” คนทั้งคนของเริ่นเซวียนเอ๋อร์ล้มลงไปกับพื้น น้ำตาไหลพรากลงมา
กู้จิ่วเยวียนเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง หยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมที่พกติดตัวตลอดออกมาและยื่นมาให้
เริ่นเซวียนเอ๋อร์ไม่ได้รับ ร้องไห้โฮขึ้นมา เสียงร้องไห้นั่นทำให้คนฟังเอ็นดูสงสาร และใจสลาย
มองดูเริ่นเซวียนเอ๋อร์ที่พังทลายเช่นนี้ หัวใจทั้งดวงของกู้จิ่วเยวียนรู้สึกบีบแน่น ยื่นมือไปคว้าเริ่นเซวียนเอ๋อร์มากอดเอาไว้ “ร้องไห้ออกมาเถอะ ไม่ต้องฝืนตัวเอง!”
“เสด็จอากลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร พวกเขาล้วนเป็นพี่น้องของข้า ฮือๆ——”
“ถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้ เขาจะถอนรากถอนโคนได้อย่างไร ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต!” หยุนถิงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“เช่นนั้นทำไมองค์หญิงสามถึงไม่?” ขุนนางคนหนึ่งสอบถามเสียงเบา
“นั่นเป็นเพราะว่าข้าเดาได้ว่าผิงหนานอ๋องจะกำจัดทุกคนให้สิ้นซาก ก็เลยพาองค์หญิงสามจากไปทางห้องลับของเซ่อเจิ้งอ๋องล่วงหน้า ถึงทำให้องค์หญิงสามหนีรอดมาได้!” กู้จิ่วเยวียนอธิบาย
เหล่าขุนนางถึงได้เข้าใจในทันที พากันชื่นชมการเตรียมการล่วงหน้าของเซ่อเจิ้งอ๋อง
นานพักใหญ่หลังจากนั้น เสียงร้องไห้ของเริ่นเซวียนเอ๋อร์ถึงได้เบาลงเล็กน้อย
“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ใครก็คิดไม่ถึงเช่นกัน องค์หญิงสามโปรดระงับความเสียใจ ประเทศไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากผู้นำ วางแผนเอาไว้เนิ่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้แคว้นเทียนจิ่วถูกอีกสามแคว้นร่วมมือกันโจมตีเนื่องจากความขัดแย้งภายในดีกว่า!” โม่เหลิ่งเหยียนที่ไม่พูดอะไรมาตลอดเอ่ยปากขึ้นมา
เมื่อเหล่าขุนนางได้ยิน “จวินซื่อจื่อ” กล่าวเช่นนี้ พวกเขาล้วนเป็นขุนนางเก่าของราชสำนัก ย่อมเข้าใจว่าเวลานี้แคว้นเทียนจิ่วตกอยู่ในอันตรายที่สุด
“ข้าเสนอให้เซวียนเอ๋อร์สืบทอดบัลลังก์ นางเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์ ไม่มีใครมีสิทธิ์ไปกว่านางแล้ว!” เสียงที่เย็นชาเคร่งขรึมของกู้จิ่วเยวียน ทำให้ทุกคนตกตะลึง
เหล่าขุนนางฮือฮากันขึ้นมาทันที วิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา
“สิ่งที่เซ่อเจิ้งอ๋องกล่าวมาไม่ผิด องค์หญิงสามเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียว แต่ว่านางเป็นผู้หญิง นับแต่โบราณมีผู้หญิงขึ้นครองบัลลังก์ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ที่ไหนกัน?” ขุนนางคนหนึ่งตั้งข้อสงสัย
ขุนนางคนอื่นๆก็พากันส่งเสียงคัดค้านเช่นกัน อย่างไรเสียในสายตาพวกเขานี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว
หยุนถิงกวาดมองขุนนางเหล่านั้นครู่หนึ่ง “หากไม่ใช่องค์หญิงสาม พวกเจ้าจะยังมีชีวิตมาตั้งข้อสงสัยที่นี่หรือ นับแต่โบราณไม่มีผู้หญิงขึ้นครองบัลลังก์ เหตุใดแคว้นเทียนจิ่วพวกเจ้าถึงไม่สามารถเป็นแบบอย่างนี้ก่อนล่ะ
ทักษะทางการแพทย์ขององค์หญิงสามอยู่เหนือคนทั่วไป เป็นคนดีมีศีลธรรม แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวชัดเจน อีกทั้งยังเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์ นางคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
หากนางสืบทอดบัลลังก์ อาศัยแค่สัมพันธไมตรีของข้ากับองค์หญิงสาม ข้าหยุนถิงสามารถรับประกันได้ว่าแคว้นต้าเยียนจะไม่โจมตีแคว้นเทียนจิ่วในเวลานี้เด็ดขาด
และสัมพันธไมตรีขององค์หญิงสามกับเป่ยหมิงฉี่แห่งแคว้นเป่ยลี่ก็มีดีเช่นกัน ส่งจดหมายไปหนึ่งฉบับเชื่อว่าเป่ยหมิงฉี่ก็จะให้เกียรตินี้แก่นางเช่นกัน
ข้าเคยช่วยไท่จื่อแห่งแคว้นชางเยว่ หากเริ่นเซวียนเอ๋อร์ขึ้นครองบัลลังก์ ข้าสามารถทำให้ชางหลันเย่เกลี้ยกล่อมฮ่องเต้แคว้นชางเยว่ละทิ้งการโจมตี เมื่อเป็นเช่นนี้ ภัยพิบัติที่สามแคว้นร่วมมือมันก็จะคลี่คลายลงอย่างง่ายดาย
แต่ถ้าหากเริ่นเซวียนเอ๋อร์ไม่ได้สืบทอดบัลลังก์ พวกเจ้าเลือกญาติโกโหติกาของราชวงศ์มาขึ้นครองบัลลังก์ตามอำเภอใจ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ออมมือ จะต้องร่วมมือกับอีกสองแคว้นทำลายล้างแคว้นเทียนจิ่วในคราวเดียวอย่างแน่นอน
อย่างไรเสีย โอกาสเช่นนี้ก็มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ลงมือเวลานี้ยังจะรอเวลาไหน ถึงเวลาชาวประชาเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ลำบากยากเข็ญ ขุนนางใหญ่อย่างพวกเจ้าก็จะกลายเป็นคนสิ้นชาติ
ตำแหน่งราชการและเงินเดือนที่สูง อีกทั้งความเป็นอยู่ที่ดีในตอนนี้ถึงเวลาก็จะกลายเป็นความอัปยศอดสู สิ่งที่คนอื่นเจียดมาให้ ดังนั้นสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน ขุนนางทุกท่านควรต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน!”