จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 703 ขอเพียงพวกเรารักใคร่ปรองดองกันเช่นนี้
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 703 ขอเพียงพวกเรารักใคร่ปรองดองกันเช่นนี้
สาวใช้ถูกองครักษ์ลับส่งกลับจวนองค์หญิงใหญ่อย่างลับๆ พอกลับไปก็รีบไปหาองค์หญิงใหญ่ทันที
“องค์หญิง ซื่อจื่อเฟยมารักษาให้ท่านหรือไม่?” สาวใช้กระซิบถาม
องค์หญิงใหญ่ขมวดคิ้ว “หน้าผากเจ้าเป็นอะไร เจ้าไปขอร้องหยุนถิงมารึ?”
สาวใช้ยกมือปิดหน้าผากทันที “ข้าน้อยมิเป็นอะไร ข้าน้อยไม่ทันระวังหัวไปชนเอง”
องค์หญิงใหญ่สีหน้าเย็นเยียบลงทันที “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
สาวใช้คุกเข่าลงพื้นทันที “องค์หญิงใหญ่ ข้าน้อยแอบหนีออกไปขอร้องซื่อจื่อเฟยมาช่วยท่านเอง วันนี้ท่านกระอักเลือดแล้ว ข้ากลัวท่านเป็นอะไรไป”
“แอบออกไป?” องค์หญิงใหญ่จับประเด็นสำคัญ
สาวใช้ถึงเล่าเรื่องที่ก่อนหน้านี้จะออกไปแต่โดนอาเหรินขวางไว้ออกมา ทำเอาองค์หญิงใหญ่เดือดดาลหนัก และไอออกมาอย่างรุนแรงเพราะโกรธมากเกินไป
“องค์หญิงใหญ่ ท่านอย่าโมโหไปเลย ข้าไร้ความสามารถเอง ข้าไม่อาจช่วยองค์หญิงใหญ่ได้”
“เด็กโง่ รีบลุกขึ้นเถอะ ข้าก็ว่าอยู่ว่า เหตุใดวันนี้จวินหย่วนโยวกับหยุนถิงถึงมาที่จวนองค์หญิงใหญ่ได้ เจ้าช่วยข้าไว้!” องค์หญิงใหญ่พูดอย่างหนักแน่น
สาวใช้ถึงถอนหายใจโล่งอก “ขอเพียงสามารถช่วยองค์หญิงใหญ่ได้ ต่อให้ต้องตายข้าก็ยอม”
“ออกไปเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว”
“เจ้าค่ะ!”
พอสาวใช้ออกไป สายตาเลื่อนลอยขององค์หญิงใหญ่พลันเหี้ยมเกรียม ทะมึนขึ้น
จวนองค์หญิงใหญ่ของนางมีคนทรยศเกิดขึ้น นี่เป็นสิ่งที่นางไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นใคร กล้าวางยาพิษตน ตนไม่มีทางละเว้นมันแน่
อีกด้าน หยุนถิงกับจวินหย่วนโยวออกจากจวนองค์หญิงใหญ่ ก็ขึ้นรถม้าจากไป
“ท่านพี่ ข้ารู้สึกว่าอาเหรินไม่ค่อยเหมือนกับเมื่อสองปีก่อนเลย” หยุนถิงบอก
“ไม่ได้สังเกต!” จวินหย่วนโยวตอบ
นอกจากหยุนถิงกับลูกๆแล้ว คนอื่นจะเป็นจะตาย จวินหย่วนโยวไม่สนใจเลยสักนิด
“ท่านนะ ยังไงก็เป็นเรื่องภายในของจวนองค์หญิงใหญ่ ให้องค์หญิงใหญ่จัดการเอาเองแล้วกัน” หยุนถิงถอนหายใจยาว
“ถิงเอ๋อร์ อยากไปที่ใดรึ?” จวินหย่วนโยวพลันถามขึ้น
“กลับจวนไง”
“นานๆเราจะได้ออกมาสองคนสักที พาเจ้าไปที่แห่งหนึ่งนะ จะให้มีลูกแล้วก็เอาแต่ห้อมล้อมรอบตัวลูกๆไม่ได้ พวกเราก็ต้องมีเวลาส่วนตัวบ้าง” จวินหย่วนโยวเสนอ
ตั้งแต่รับหยุนถิงกลับมาจากชนเผ่า จนอยู่กับลูกสองคน จวินหย่วนโยวตื้นตันและซาบซึ้งนัก แต่อยู่กับลูกทั้งกลางวันกลางคืน รู้สึกว่าเขากับถิงเอ๋อร์ไม่มีเวลาของตัวเองเลยสักนิด
“งั้นท่านพี่อยากไปไหนล่ะ?” หยุนถิงถาม
“ไปล่องเรือละกัน ดื่มเหล้าเล็กน้อย ฟังเพลงสักหน่อย สบายอารมณ์นัก รอให้ผ่านวันหนาวๆพวกนี้ไปหน่อย พอแม่น้ำเป็นน้ำแข็งแล้วก็ไปไม่ได้แล้วนะ” จวินหย่วนโยวเสนอ
“ได้ ฟังท่านพี่แล้วกัน”
ริมแม่น้ำคูเมือง ตอนนี้ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้ว เรือที่มาพายในทะเลสาบมีน้อยมากจริงๆ เรือที่เหลือน้อยมากนั้นได้แต่ลอยคออยู่เหนือแม่น้ำ
จวินหย่วนโยวยื่นมือให้ จูงมือหยุนถิงก้าวขึ้นเรือ นายเรือเริ่มพายเรือ หลิงเฟิงกับหลงเอ้อร์คอยจัดวางขนม ต้มน้ำชาอยู่ข้างๆ
“ท่านพี่ ครั้งก่อนที่เราเรือที่มาพายในทะเลสาบก็หลายปีแล้วนะ ยังจำได้ว่าตอนนั้นมีคนจงใจหาเรื่อง ถูกข้าทำผีหลอกสลบไปเลย” หยุนถิงหัวเราะขำ
“ใช่ ตอนนั้นฝ่าบาทยังให้องครักษ์หลวงไปสืบโดยเฉพาะ สุดท้ายกลับสืบไม่พบอะไรเลย” จวินหย่วนโยวกุมมือหยุนถิงแน่น
“เพราะท่านพี่คอยช่วยอย่างลับๆน่ะแหละ ข้ารู้ดี พริบตาเดียวผ่านไปหลายปีแล้วนะ ท่านบอกข้ามาตามจริงนะว่า เริ่มสนใจข้าหลังจากตอนนั้นใช่หรือไม่” หยุนถิงเย้าเขา
“ไม่ใช่”
“งั้นเมื่อใดเล่า?”
“นับจากวินาทีที่เจ้าบอกว่าจะไม่ให้ข้าลำบากอีก ต่อไปเจ้าจะเลี้ยงข้าเอง ถึงจะมิใช่คำพูดน่าฟังอะไร แต่ทำให้ใจข้าอบอุ่นนัก
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดเช่นนี้กับข้า เป็นครั้งแรกที่มีคนรู้สึกว่าข้าเหนื่อยมากเกินไป เป็นห่วงข้าด้วยใจจริง ดังนั้นนับจากวินาทีนั้น ข้าก็สาบานว่าจะคุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัยตราบเท่าที่ข้ายังมีชีวิตอยู่” จวินหย่วนโยวอธิบาย
หยุนถิงตื้นตันใจนัก เอนหัวพิงไหล่จวินหย่วนโยว “ขอเพียงพวกเรารักใคร่ปรองดองกันเช่นนี้ก็พอแล้ว”
“อืม”
“ท่านพี่ ข้าอยากฟังท่านดีดพิณ!” หยุนถิงเสนอ
“ได้”
หลงเอ้อร์จัดวางพิณโบราณอย่างคล่องแคล่วทันที จวินหย่วนโยวเดินเข้าไป นิ้วมือเรียวยาวขาวเนียนดีดเล่นสายพิณ เสียงพิณกำจายไปทั่ว ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย
หยุนถิงเอนพิงเบาะอ่อนข้างๆ กินขนม ดื่มชาร้อน มองดูสามีตรงหน้าที่ใบหน้าหล่อเหลา องอาจสง่างาม ชุดคลุมสีขาวดูสง่างามผ่าเผยนัก หยุนถิงพอใจและสบายอารมณ์นัก
“ซื่อจื่อเฟย ระยะนี้ข้าเรียนการเล่านิทานมา พูดให้ท่านฟังดีหรือไม่” หลงเอ้อร์เสนอ
“ก็ดีนะ”
หลงเอ้อร์พูดขึ้นมา ถึงจะเป็นคำพูดเล่นไม่เป็นทางการ แต่เอามาฆ่าเวลาก็ไม่เลวนะ
เรือค่อยเคลื่อนไปตามน้ำ แล่นไปตามกระสายของคูน้ำ แล่นไปได้ระยะหนึ่ง หยุนถิงเหล่เห็นเรือลำนั้นที่อยู่ไม่ไกลนัก
“หลงเอ้อร์ เรือลำนั้นทำไมดูคุ้นตานัก?”
หลงเอ้อร์หันไปมอง “ซื่อจื่อเฟย นั่นเป็นเรือของหลีอ๋อง!”
“โม่ฉือหาน งั้นสตรีในเรือเขาคือ?”
หยุนถิงมองสตรีชุดแดงคนนั้นที่หันหลังให้ตนอยู่ เลยมองไม่เห็นหน้า เพียงแต่แผ่นหลังอ่อนช้อย น่าจะเป็นหญิงงามคนหนึ่ง
“นั่นคือองค์หญิงรองแห่งแคว้นเป่ยลี่ ว่ากันว่าจะมาแต่งงานเจริญสัมพันธไมตรีกับหลีอ๋อง” จวินหย่วนโยวตอบ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” หยุนถิงพูดเสียงเรียบ
พอคิดถึงเรื่องเมื่อก่อนกับโม่ฉือหาน ตอนนี้ในสายตาหยุนถิง ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้าเลย
คนบนเรือลำนั้นมองมาทางนี้พอดี หลงเอ้อร์เพ่งมอง ลุกขึ้นเดินออกไป “ซื่อจื่อเฟย ข้าไปก่อนล่ะ!”
“เกิดอะไรขึ้น?” หยุนถิงถามเสร็จ ก็เห็นสตรีชุดเหลืองบนเรือลำนั้นโบกมือมาทางนี้
“หลงเอ้อร์ หลงเอ้อร์ ข้าเห็นเจ้าแล้ว นายเรือ พายเรือไปทางนั้นเร็ว!” เป่ยจิงจิงพูดอย่างยินดี
เดิมนางรู้สึกว่ามาล่องเรือน่าเบื่อนัก เพราะท่านพี่ไท่จื่อให้นางมาเป็นเพื่อนพี่หญิงรอง เป่ยจิงจิงถึงได้มา ไม่คิดว่าจะมาเจอหลงเอ้อร์ที่นี่ เป่ยจิงจิงตื่นเต้นยิ่งนัก
นายเรือหันมองหลีอ๋องทันที พอเห็นท่านอ๋องพยักหน้า ถึงได้พายเรือเข้าไป
วินาทีนั้นที่โม่ฉือหานเห็นหยุนถิง มือที่ถือถ้วยชาพลันออกแรงเล็กน้อย
สองปีแล้ว ในที่สุดนางก็กลับมา
หยุนถิงที่อยู่ห่างไปไม่กี่เมตรในตอนนี้นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอารมณ์ ใบหน้างดงามเมื่อสองปีก่อนบัดนี้ยิ่งงามล้ำยิ่งขึ้น ดวงตางามมีแววเย็นชาเล็กน้อย ดูห่างเหิน สันจมูกเชิดโด่ง ปากจิ้มลิ้มแดงโดยมิต้องเติมแต่ง ยิ่งเพิ่มพูนเสน่ห์ของอิสตรีขึ้นหลายส่วน ราศีดูสง่างดงามดุจดอกกล้วยไม้ สงบนิ่งเรียบร้อย
กระโปรงยาวสีขาว ถึงจะไม่มีเครื่องประดับเลยสักนิด แต่กลับยิ่งทำให้นางดูสูงส่งหรูหรามากขึ้น
หยุนถิงที่เป็นแบบนี้ ทำเอาโม่ฉือหานมองเหม่อไปเลย
สองปีมานี้ โม่ฉือหานเองก็ส่งคนออกไปตามหาร่องรอยของหยุนถิงอย่างลับๆหลายครั้ง แต่น่าเสียดายที่หาไม่พบเลย
ต่อมาโม่ฉือหานเองก็เริ่มเชื่อแล้วว่า หยุนถิงคงตายแล้วจริงๆ กลับมาไม่ได้อีกแล้ว
วินาทีนั้นที่รู้ว่านางกลับมาแล้ว โม่ฉือหานตื่นเต้นยิ่งนัก รีบไปจวนซื่อจื่อทันที แต่กลับยืนหงออยู่หน้าประตูจวนไม่กล้าเข้าไป
เขารู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์นานแล้ว
ตอนนี้ได้มาเห็นหยุนถิง ในใจโม่ฉือหานครุ่นคิดเป็นพัลวัน
“ท่านนี้คือซื่อจื่อเฟยแห่งแคว้นต้าเยียนกระมัง งดงามสมคำร่ำลือจริงๆ ท่านพี่ไท่จื่อมักเอ่ยถึงซื่อจื่อเฟยบ่อยครั้ง ตันเสวี่ยคารวะซื่อจื่อเฟย จวินซื่อจื่อ” เป่ยตันเสวี่ย องค์หญิงรองแห่งแคว้นเป่ยลี่เอ่ยขึ้น