จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 708 เจ้าขโมยหัวใจข้าไป
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 708 เจ้าขโมยหัวใจข้าไป
ท่าทางน่าสงสารนั่น ราวกับสตรีที่โดนรังแก ทำเอาโม่หลานใบ้กินไปเลย
“โม่ฉือชิง สมองเจ้าโดนไหเหล้าทุบเข้าหรือไง ชายคนหนึ่งทำท่าทางเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน?” โม่หลานบอกอย่างรังเกียจ
“จะสนใจทำไม ข้าโดนคนรังแกแล้วนะ เจ้าต้องรับผิดชอบข้านะ” มือที่กอดโม่หลานของโม่ฉือชิงรัดแน่นขึ้น
“เจ้าเป็นบ้ากระมัง เจ้าเตะจี้อวี๋ แล้วโง่เตะไม่โดนเอง ทำไมข้าต้องรับผิดชอบเจ้าด้วยล่ะ?”
“เพราะว่าเจ้าขโมยหัวใจข้าไป” โม่ฉือชิงตอบ
คราวนี้โม่หลานอึ้งบื้อไปเลย ยื่นมือไปลูบหน้าอกด้านหัวใจของโม่ฉือชิงทันที “อย่าเหลวไหล หัวใจเจ้ายังดีๆอยู่ ข้าขโมยไปตอนไหน หากขโมยไปจริง ตอนนี้เจ้าตายไปแล้ว”
จี้อวี๋หน่ายใจจริงๆ “หญิงกล้าแกร่งเกินชาย ความหมายของเฉินอ๋องคือ เขารักเจ้า สนใจเจ้า ปกติเอาแต่รบราฆ่าฟัน ขนาดคำบอกรักยังฟังไม่ออก โง่จริง”
โม่หลานถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล “หุบปากเจ้าไปซะ!”
“นางพูดถูก ข้าชอบเจ้า ชอบเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่เจ้ากลับใจไม้ไส้ระกำ ไม่รู้ความรู้สึกข้าสักที” โม่ฉือชิงอาศัยความเมาพูดความในใจที่เก็บซ่อนไว้ออกมา
โม่หลานอึ้งกิมกี่ไปเลย แต่คิดยังไงก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ “โม่ฉือชิง ข้าจะถือเสียว่าไม่เคยได้ยินคำพูดพวกนี้มาก่อน เจ้าอย่ามาทำเมาแล้วตีเนียน ข้าจะให้คนส่งเจ้ากลับไป”
“ไม่ไป ข้าไม่ไป ข้าชอบเจ้าจริงๆนะ ทำไมเจ้าไม่เข้าใจข้าล่ะ สามปีมานี้เสด็จพี่ถามข้าไม่รู้กี่ครั้ง อยากจะประทานสมรสพระราชทานให้ข้า แต่ก็โดนข้าปฏิเสธหมด
เพราะในใจข้ามีแต่เจ้า แต่วันๆเจ้าเอาแต่อยู่ในค่ายทหาร ข้าไปหาเจ้า เจ้าก็หาว่าข้าไปรบกวนการฝึกซ้อมของค่าย
ข้ามอบเครื่องประทินโฉมผงชาดให้เจ้า เจ้าก็คืนกลับมาหมด ให้ผ้าไหมผ้าแพร เจ้าบอกว่าไม่ชอบสีของผ้านั่น
ให้เครื่องหยกและของโบราณ เจ้าก็บอกว่าของพวกนั้นแตกง่าย ใช้ไม่ได้ ให้ปืนผาหน้าไม้และกระบี่ เจ้ากลับบอกว่าของเหล่านั้นยังใช้ไม่ดีเท่าดาบใหญ่ของเจ้า—
ข้าคิดหาทุกหนทางแล้วเพื่อให้เจ้าพอใจ แต่เจ้ากลับไม่อ่อนข้อให้ข้าเลย ข้าง่ายนักรึ ของที่สตรีธรรมดาชอบเจ้าก็ไม่ชอบ ข้าจะทำอะไรได้ ต่อให้เป็นก้อนหินในส้วม ก็น่าจะร้อนได้แล้วนะ” โม่ฉือชิงพูดอย่างน้อยใจ
ข้อความก่อนหน้า โม่หลานยังซาบซึ้งอยู่บ้าง แต่พอฟังประโยคสุดท้าย สีหน้าดำทะมึนลงทันที
“โม่ฉือชิง เจ้ากล้าหาว่าข้าเป็นก้อนหินในส้วม!” โม่หลานกัดฟันกรอด จะซัดกำปั้นใส่
“นี่โม่หลาน หูเจ้าโดนอุดอยู่หรือไง ฟังไม่ออกรึว่าเฉินอ๋องกำลังบอกรักเจ้า ลำบากเฉินอ๋องแล้วที่รักเจ้า ข้าว่า นอกจากเขาแล้ว โลกนี้คงมิมีใครรักเจ้าแล้ว เจ้าเพลาๆบ้างเถอะ จะได้ไม่พลาดเสียคนดีๆไป” จี้อวี๋ร้อนใจยิ่งนัก
เจ้านี่เป็นท่อนไม้จริงๆ แค่นี้ยังฟังไม่ออกอีก
โม่หลานแก้มแดงเรื่อ รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง กำลังจะพูดอะไร โม่ฉือชิงพลันยื่นหน้าเข้ามาจูบปากโม่หลานทันที
โม่หลานตัวแข็งเป็นหินไปเลย สมองว่างเปล่า ลืมขัดขืนไปเลย
จี้อวี๋มองตาค้าง ไม่คิดว่าเฉินอ๋องที่ปกติไร้สาระ รู้จักแต่ค้าขายจะมีมุมองอาจเช่นนี้ด้วย
พอเห็นท่าทางอึ้งตะลึงของโม่หลานแล้ว จี้อวี๋แอบขัน ลอบหลบออกไป
เวลานี้นางไม่อยากเป็นก้างขวางคอใคร รีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทดีกว่า น่ากลัวว่าโม่หลานคงยังปลีกตัวไม่ได้ระยะหนึ่ง
ส่วนเฉินอ๋องรับรู้ถึงริมฝีปากอ่อนนุ่มของโม่หลาน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนขนมที่รสชาติเลิศล้ำ ทำให้เขาอดใจไม่ไหวอยากได้มากขึ้น
ริมฝีปากโม่ฉือชิงเริ่มอ้าขยาย จูบโม่หลานอย่างหนักหน่วงขึ้น
พอรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดเล็กน้อยที่ริมฝีปาก แก้มโม่หลานแดงเรื่อด้วยความอายทันที ทั้งเดือดดาลและเขินอาย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี สุดท้ายซัดหมัดใส่โม่ฉือชิงจนสลบไปเลย
มองดูโม่ฉือชิงที่นอนแบบที่พื้น โม่หลานทั้งโกรธทั้งอาย หมุนตัววิ่งหนีไปเลย
เดิมนางจะไปเข้าเฝ้า ยังลืมเลยว่าต้องไป วิ่งออกจากวังไปเลย
สุดท้ายมีนางกำนัลผ่านมาเห็นเฉินอ๋องนอนสลบที่พื้น ก็ตกใจนัก รีบหามเขาไปพบฝ่าบาททันที
ฮ่องเต้โกรธจัด คิดว่ามีคนมาลงมือกับเฉินอ๋องในวัง กำลังจะส่งคนออกไปสืบ จี้อวี๋ที่ยืนเข้าเฝ้าอยู่พลันอธิบายที่มาที่ไปของเรื่อง
ฮ่องเต้ตกตะลึงยิ่งนัก “เจ้าบอกว่าเฉินอ๋องรักโม่หลาน?”
“ทูลฝ่าบาท ใช่เพคะ เฉินอ๋องบอกว่าเขารักโม่หลานมาหลายปีแล้ว ดังนั้นที่ปฏิเสธสมรสพระราชทานของฝ่าบาท ก็เพราะอยากจะหาคนที่รักชอบด้วยใจจริง ไม่สนใจเรื่องฐานะชาติกำเนิด ขอแค่รักใคร่ชอบพอกันด้วยใจจริงเท่านั้น” จี้อวี๋รีบตอบทันที
แน่นอนว่าประโยคหลังนางเติมเข้าไปเอง นางแค่ไม่อยากให้ฮ่องเต้เข้ามาแทรกเรื่องของโม่หลานกับเฉินอ๋อง หวังว่าพวกเขาจะสามารถครองคู่กันได้
เพราะนิสัยนังหนูนั่นโผงผาง หายากที่มีคนมาชอบ คนที่ไร้สาระอย่างเฉินอ๋องทำเพื่อโม่หลานถึงเพียงนี้ มันทำให้คนซาบซึ้งจริงๆ
ฮ่องเต้เองก็แปลกใจจริงๆ “ไม่คิดเลยจริงๆว่า เจ้าสี่จะรักนังหนูโม่หลาน มิน่าก่อนหน้านี้ข้าจะประทานสมรสให้เขา เขามักจะปฏิเสธ วันหลังข้าจะถามเขาเอง”
“ฝ่าบาท งั้นเฉินอ๋อง?” ซูกงกงถาม
“ให้คนส่งเขากลับจวนเถอะ” ฮ่องเต้บอก
“พ่ะย่ะค่ะ!”
อีกด้านหนึ่ง โม่หลานวิ่งโร่กลับไปยังจวนแม่ทัพ เจอโม่ฉืเฟิงที่หน้าประตูจวนพอดี
“น้องหญิง เจ้าเป็นอะไรน่ะ เหตุใดหน้าตาตื่นเช่นนี้?” โม่ฉืเฟิงถาม
“ไม่เป็นไร ข้ากลับห้องตนเองก่อนนะ” โม่หลานจะเข้าข้างใน
“ไม่สิ ทำไมหน้าเจ้าแดงเพียงนี้เล่า?” โม่ฉืเฟิงรีบไล่ตามไปทันที
พอพูดอย่างนี้ แก้มโม่หลานที่เดิมรู้สึกร้อนผ่าวอยู่แล้ว ยิ่งร้อนหนักกว่าเดิม “ข้าไม่เป็นไร ท่านจะไปทำอะไรก็ไปทำเถิด”
“เจ้าเป็นอะไรกันแน่น่ะ? เกิดอะไรขึ้นใช่หรือไม่ หรือว่ามีใครรังแกเจ้า?”
“ข้าน่ะเป็นแม่ทัพใหญ่นะ ใครจะกล้ารังแกข้ากัน ไม่เป็นไรจริงๆ ท่านรีบไปเถอะ” โม่หลานผลักโม่ฉืเฟิงออกนอกห้องไปเลย
โม่ฉืเฟิงยิ่งไม่เข้าใจหนักขึ้น น้องสาวเขามิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เขารีบไปหาท่านพ่อทันที
พอแม่ทัพเฒ่าโม่ได้ยิน ถึงจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดจะให้โม่ฉืเฟิงไปรบกวน
“น้องสาวเจ้าบอกไม่เป็นไรก็คือไม่เป็นไร จะวุ่นวายอะไรหนักหนา เจ้าโตจนป่านนี้แล้ว ควรจะคิดเรื่องการแต่งงานของตนเองได้แล้ว ชอบพอสาวบ้านไหนก็บอกมา ข้าจะได้ไปขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท จะได้เป็นการสืบทอดลูกหลานให้ตระกูลโม่ด้วย” แม่ทัพเฒ่าโม่เร่งเร้า
โม่ฉืเฟิงมุมปากกระตุก “ท่านพ่อ ข้านึกขึ้นมาได้ว่ายังมีงานที่ค่ายทหาร ข้าไปก่อนนะ” พูดจบ ก็ไม่รอแม่ทัพเฒ่าโม่เห็นด้วย ชิ่งหนีทันที
“ไอ้หนูนี่ พอพูดเรื่องตัวเองทีไรก็ทำตีเนียนไม่รู้เรื่องใส่ข้า เจ้าเด็กบ้า!” แม่ทัพเฒ่าโม่โกรธกัดฟันกรอด
ส่วนโม่หลานที่กลับถึงห้อง มองดูตัวเองในกระจก แก้มแดงก่ำราวกับกุ้งสุกก็ไม่ปาน นางเพียงรู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าวยิ่งนัก
พอคิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของโม่ฉือชิง เขากล้าจูบตน จนถึงตอนนี้โม่หลานยังรู้สึกเหมือนฝันไปอยู่เลย
โม่ฉือชิงบอกรักตน เป็นไปได้อย่างไรกัน ตนเห็นเขาเป็นสหายมาตลอด เขาต้องดื่มมากไปเลยล้อเล่นกับตนแน่
ใช่ ต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ