จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 72 ทำไมข้าต้องไป
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 72 ทำไมข้าต้องไป
สีหน้าของซูชิงโยวก็เย็นชาลง “นางเพียงแต่ต้องการให้บุตรสาวของนางเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินเฒ่าฟู่แทนข้า จริงสิคุณหนูหยุน เจ้าเตรียมของขวัญวันเกิดแล้วหรือไม่?”
หยุนถิงรู้สึกงงงวย “เหตุใดข้าต้องเตรียมด้วย?”
ในเวลานี้ซูชิงโยวรู้สึกประหลาดใจ “หรือว่าเจ้าจะไม่ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินเฒ่าฟู่? ”
“ทำไมข้าต้องไป?”
เมื่อเห็นว่านางไม่รู้จริงๆ ซูชิงโยวจึงรีบอธิบาย “ฮูหยินเฒ่าฟู่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของไทเฮาองค์ปัจจุบัน เป็นฮูหยินตราตั้งชั้นหนึ่ง สามีของนางเป็นแม่ทัพเทพสงครามแห่งแคว้นต้าเยียน ในตอนนั้นฮูหยินเฒ่าฟู่และแม่ทัพเทพสงครามเป็นเรื่องราวที่ดีของแคว้นต้าเยียน
พวกเขาสามีภรรยารักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง ทั้งสองร่วมรบในสนามรบด้วยกัน ไร้เทียมทาน รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เป็นที่เกรงขามและน่ากลัวของทั้งสี่แค้น ขอเพียงพวกเขาออกรบก็ไม่เคยแพ้
แต่ในการสู้รบต่อมา แม่ทัพเทพสงครามเสียชีวิตอย่างน่าเสียดาย และเสียชีวิตเพื่อชาติบ้านเมืองตั้งแต่อายุยังน้อย ฮูหยินเฒ่าฟู่จึงอยู่เป็นม่ายมาหลายปี หลังจากสามีเสียชีวิต นางก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ และยิ่งไม่มีผู้สืบตระกูล
ดังนั้นในงานเลี้ยงวันเกิดทุกปีของฮูหยินเฒ่าฟู่ ล้วนเป็นไทเฮาที่จัดขึ้นด้วยตนเอง ประการแรกคือเป็นการให้เกียรติและแสดงความเคารพต่อฮูหยินเฒ่าฟู่ ประการที่สองคือเพื่อให้ฮูหยินเฒ่าฟู่ได้รื่นเริง
ในงานเลี้ยงวันเกิด ฮ่องเต้กับไทเฮาก็จะเข้าร่วมด้วย เช่นเดียวกันกับตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงทั้งหมด และชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานจำนวนมากก็จะเข้าร่วมด้วย
โอกาสที่ดีเช่นนี้ แน่นอนว่าทุกคนล้วนแต่ยากจะแสดงตัว หากเป็นที่ถูกตาต้องใจของคุณชายบ้านไหน หรือผู้ที่มีอำนาจมาก ก็จะได้ก้าวหน้าอย่างพรวดพราดไม่ใช่หรือ
ซูซินโหรวเป็นลูกอนุภรรยา เดิมทีไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ดังนั้นนางหลิวจึงกระตือรือร้นเช่นนี้ และทำเพื่ออนาคตของบุตรสาวนาง”
เมื่อได้ยินหยุนถิงก็รู้สึกประหลาดใจ “หากเจ้าไม่บอก ข้าก็คงไม่รู้ว่าฮูหยินเฒ่าฟู่เก่งกาจมากเช่นนี้ ช่างเป็นแบบอย่างของสตรีอย่างแท้จริง”
“แน่นอน สตรีจำนวนมากในเมืองหลวง หรือแม้แต่ในสี่แคว้น ต่างถือว่าฮูหยินเฒ่าฟู่เป็นที่เลื่อมใสศรัทธา ชื่นชมนางไม่ขาดปาก และในตอนนั้นนางก็เป็นวีรสตรีแห่งยุค
อันที่จริงข้าก็เลื่อมใสศรัทธานางมากเช่นกัน และอยากแต่งงานกับชายที่ตนเองรักอย่างสุดซึ้งเหมือนนาง เป็นสามีภรรยากันที่รักกันอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้ว่าข้าจะมีวาสนาเช่นนั้นหรือไม่” ซูชิงโยวถอนหายใจ
“มีสิ โชคชะตาเป็นสิ่งที่วิเศษมาก เจ้าคิดเช่นนี้ได้ก็เป็นเรื่องดี” หยุนถิงกล่าวชื่นชม
โดยทั่วไปแล้ว การแต่งงานของผู้หญิงล้วนเป็นไปตามคำสั่งของพ่อแม่และการชักนำของแม่สื่อ คนที่แต่งงานมักไม่รู้จักกัน หรือไม่เคยพบกัน แล้วจะเรียกว่าความรักได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์และอำนาจ
เมื่อได้ยินซูชิงโยวพูดเช่นนี้ หยุนถิงก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณสำหรับคำพูดที่เป็นมงคลของเจ้า” ซูชิงโยวกล่าวขอบคุณ ตั้งแต่ได้รู้จักกับหยุนถิง ดูเหมือนว่านางจะโชคดีอยู่ไม่ขาด
“ในเมื่อเจ้ารู้ความคิดและแผนชั่วของพวกนางแล้ว ยังจะปล่อยให้แผนชั่วของพวกนางสำเร็จอีกหรือ?” หยุนถิงถาม
“แน่นอนว่าไม่ ปล่อยให้พวกนางลำพองใจไปก่อนสักสองสามวัน ข้าจะใช้มาสก์หน้าถอนพิษที่เจ้าให้ข้าทุกวัน นอกจากสาวใช้ของข้าแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าใบหน้าของข้าดีขึ้นอย่างไรบ้าง รอให้ถึงวันงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินเฒ่าฟู่ ข้าจะยืนตรงหน้าพวกนางในทันทันใด และบอกว่าใบหน้าของข้าหายดีแล้ว พวกนางคงโกรธมาก เรียกได้ว่ายิ่งคาดหวังมากก็ยิ่งผิดหวังมาก ถึงเวลานั้นท่านพ่อจะต้องให้ข้าไปอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรข้าก็เป็นบุตรสาวของภรรยาเอก” ซูชิงโยวกล่าวทีละคำ
หยุนถิงมองไปที่นาง “นับว่าเจ้าโหดเหี้ยม”
“ข้าแค่ตาต่อตาฟันต่อฟัน พวกนางคิดไม่ดีกับข้า เหตุใดข้าต้องเกรงใจพวกนางด้วย ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเจ้า เป็นเจ้าที่ทำให้ข้าเข้าใจว่าคนดีมักถูกรังแก” ซูชิงโยวกล่าวขอบคุณ
“ดี ข้าชอบนิสัยนี้ของเจ้า” หยุนถิงช่วยทายาให้นาง และบังเอิญเหลือบไปเห็นเนื้อตากแห้งบนโต๊ะ “นี่คืออะไร?”
“นี่เป็นเนื้อวัวตากแห้ง ท่านพ่อของข้าควบคุมดูแลตอนเหนือ ปีนี้นายอำเภอที่นั่นส่งเนื้อตากแห้งมาให้ หากเจ้าชอบกิน ข้าจะให้เจ้าเอากลับไปด้วย ยังมีอีกเยอะเลย” ซูชิงโยวกล่าว
หยุนถิงก็ไม่เกรงใจเช่นกัน นางหยิบขึ้นมากินชิ้นหนึ่ง “โอ้โห รสชาติใช้ได้เลย”
ซูชิงโยวเรียกลู่เอ๋อร์เข้ามาในทันที และให้นางเอาเนื้อตากแห้งทั้งหมดที่ส่งมาเมื่อวานออกมา เดิมทีนางยังกลุ้มใจว่าจะขอบคุณหยุนถิงอย่างไรดี ถึงอย่างไรนางก็เป็นฮูหยินของซื่อจื่อ เกียรติยศสูงส่ง และไม่ขาดเหลือสิ่งใด
หาได้ยากที่หยุนถิงจะชอบกินของสิ่งนี้ และบังเอิญว่าตนเองมี ซูชิงโยวจึงไม่ตระหนี่เลยแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องเยอะขนาดนั้น เอามาให้ข้าชิมอย่างละนิดก็พอ หากให้ข้าหมดกินแล้วเจ้าจะกินอะไร?” หยุนถิงกล่าว
“ปกติข้าก็กินแต่อาหารดีๆ กินจนเบื่อแล้ว หาได้ยากที่เจ้าจะชอบกิน เนื้อตากแห้งนี้จะส่งมาเป็นระยะๆ คราวหน้าหากทางนั้นส่งมา ข้าจะส่งไปให้เจ้าบ้าง ล้วนเป็นเนื้อวัวดำอบแห้งในท้องถิ่น รสชาติดีมาก”
“กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าที่ตอนเหนือมีเยอะหรือ?” หยุนถิงมองดู
“ใช่ ที่นั่นล้วนเป็นชนเผ่าเร่ร่อน ประชาชนล้วนอาศัยวัวแกะในการดำรงชีวิต ทุกคนล้วนเลี้ยงสัตว์ในการดำรงชีวิต ตอนนี้เป็นเดือนห้า ทุ่งหญ้าที่นั่นยังพอใช้ได้ แต่เมื่อถึงฤดูหนาว ตอนเหนือจะรกร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย สถานที่อันเหน็บหนาว วัวแกะไม่มีอะไรจะกิน และอดตายเป็นจำนวนมาก ประชาชนจึงทำได้นำวัวแกะที่ตายแล้วมาทำเป็นอาหาร” ซูชิงโยวกล่าวอย่างทอดถอนใจ
“แล้วท่านพ่อของเจ้าไม่สนใจหรือ?”
“ท่านพ่อของข้าคิดสิ แต่ตอนเหนือกว้างใหญ่ขนาดนั้น แม้แต่ราชสำนักก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทุกปี ราชสำนักจะส่งอาหารและเครื่องนุ่งห่มไปที่นั่น แต่ประชาชนมีเป็นจำนวนมาก จึงแจกจ่ายกันได้ไม่ทั่วถึง” ซูชิงโยวถอนหายใจอีกครั้ง
“แล้วการคมนาคมที่ตอนเหนือเป็นอย่างไร การเดินทางมาเมืองหลวงสะดวกหรือไม่?” หยุนถิงถามด้วยความสงสัย
“การคมนาคมไม่ค่อยสะดวกนัก ที่นั่นรกร้างเกินไป มีภูเขาสูงและทะเลทรายอันเวิ้งว้างจำนวนมาก มีทางน้ำเพียงไม่กี่สาย แต่หากประสบภัยแล้งในฤดูร้อน ทางน้ำก็จะใช้ไม่ได้ พอถึงฤดูหนาว ภูเขาก็จะปกคลุมไปด้วยหิมะ ท่านพ่อของข้าบอกว่าผู้คนที่ออกมาข้างนอกล้วนถูกฝังอยู่ในหิมะ และยิ่งเดินไปมาอย่างยากลำบาก”
หยุนถิงอดไม่ได้ที่จะเบะปาก “เช่นนั้นก็น่าสงสารมาก เจ้าเล่าสถานการณ์ที่นั่นให้ข้าฟังหน่อยสิ”
ซูชิงโยวเล่าทุกอย่างที่ตนเองรู้ จากนั้นหยุนถิงก็ทิ้งของบางอย่างไว้ให้นางและกลับไป
บนรถม้า หยุนถิงเงียบมาตลอดทาง สีหน้าของนางจริงจังอย่างมาก
หลงเอ้อมองดูอย่างเป็นกังวล “ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรไปขอรับ?”
ปกติฮูหยินจะซื้อของกินระหว่างเดินทางกลับ ทำไมวันนี้ถึงเงียบเช่นนี้
“หลงเอ้อ เจ้าเคยไปตอนเหนือหรือไม่?”
“แน่นอนว่าเคยไปเจ้าค่ะ ตอนเหนือเป็นถิ่นทุรกันดาร รกร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย การคมนาคมไม่สะดวก อากาศแห้ง อีกทั้งไม่มีพื้นที่ราบ ภูเขาทอดยาว และมีทุ่งหญ้าเพียงไม่กี่แห่ง” หลงเอ้อตอบ
“ผู้คนที่นั่นมีชีวิตอยู่กันอย่างไร?” เยว่เอ๋อร์ถามอย่างงุนงง
“ผู้คนที่นั่นเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะ ที่ไหนมีทุ่งหญ้าก็ไปเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะที่นั่น กินทุ่งหญ้าที่นั่นหมดแล้วก็จะไปที่อื่น สรุปก็คือผู้คนที่นั่นไม่มีที่อยู่อาศัยที่แน่นอน”
เยว่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว “เช่นนั้นก็น่าสงสารมาก”
“น่าสงสารมากจริงๆ ฮูหยิน ทำไมจู่ๆ ท่านถึงถามถึงตอนเหนือ?” หลงเอ้อถาม
“ก็แค่ถามดูเท่านั้น” หยุนถิงตอบ
ผู้คนกลับไปที่จวนซื่อจื่อ ปรากฏว่าจวินหย่วนโยวไม่ได้อยู่ที่จวนซื่อจื่อ แต่ถูกฮ่องเต้เรียกตัวไปเข้าเฝ้าในวัง
โดยปกติแล้ว หากฮ่องเต้ไม่มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า จวินหย่วนโยวไม่มีทางเข้าไปในวัง ฮ่องเต้ให้เขาไปเข้าเฝ้าในเวลานี้ หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?
หยุนถิงยังไม่ทันคิดออก นางก็เห็นพ่อบ้านเดินเข้ามา “ฮูหยิน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ท่านลั่วต้องการพบท่าน”