จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 73 เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของซื่อจื่อ
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 73 เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของซื่อจื่อ
“เขาต้องการพบข้าทำไม?” หยุนถิงเบะปาก
“ไม่แน่ใจขอรับ ท่าทางของท่านลั่วดูเหมือนจะร้อนใจมาก เขาให้องครักษ์ที่ดูแลซื่อจื่อออกมาบอก เขาไม่เคยให้ใครเข้าไปในห้องยานั้น นอกจากซื่อจื่อ” พ่อบ้านตอบกลับ
หยุนถิงไม่อยากจะยุ่ง แต่จวินหย่วนโยวไม่อยู่ หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านผู้เฒ่านั่นจริงๆ ต่อไปใครจะปรับสมดุลร่างกายให้จวินหย่วนโยว
“เช่นนั้นข้าจะไปดูหน่อย” หยุนถิงเดินตรงไปที่สวนหลังบ้าน
นางจำค่ายกลคราวก่อนได้ และเดินผ่านป่าไผ่เข้าไปในห้องได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นก็เห็นมือข้างหนึ่งของท่านลั่วกำลังสั่นเทา ร่างกายของเขากระตุก และตกอยู่ในสถานการณ์คับขันอย่างยิ่ง
“ตาแก ท่านเป็นอะไรไป?” หยุนถิงรีบเข้ามาในทันที นางยื่นมือไปคลำหาเข็มเงินบนผมออกมา แล้วแทงไปที่จุดฝังเข็มจุดหนึ่งของเขา
การกระทำเป็นไปอย่างรวดเร็วและมั่นคง หลังจากฝังเข็มเพียงไม่กี่เล่ม ท่านลั่วก็กลับมาเป็นปกติ มือไม่สั่น และร่างกายไม่กระตุกแล้ว
“โชคดีที่เจ้ามา มิเช่นนั้นตาเฒ่าเช่นข้ายังไม่รู้เลยว่าจะต้องทรมานอีกนานแค่ไหน” ท่านลั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก และทรุดตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้
“อย่าบอกว่าที่ท่านเป็นเช่นนี้ เพราะท่านทำตัวเอง?” หยุนถิงเบะปาก
“คงต้องโทษเจ้า ถุงนั้นที่เจ้าให้ข้ามา ข้าศึกษาอยู่นาน แต่ก็ไม่พบเงื่อนงำใด และยาน้ำที่อยู่ในนั้นก็แปลกมากจริงๆ ข้าจะไม่ประหลาดใจได้อย่างไร ข้าเห็นว่าเจ้าแค่แทงเข็มลงไป ดังนั้นข้าจึงลองแทงเข็มตัวเองอยู่หลายครั้ง” ท่านลั่วตอบอย่างเก้อเขิน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยุนถิงก็ขมวดคิ้ว “ท่านเป็นหมอเทวดาผู้เลื่องชื่อมิใช่หรือ คิดไม่ถึงเลยว่าขะทำให้ตัวเองกลายเป็นเช่นนี้ได้”
ท่านลั่วรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก แต่ก็ยังปากแข็ง “ตั้งแต่สมัยโบราณ หมอเทวดาล้วนต้องทดลองยากับตัวเอง ข้าก็แค่ลองฝังเข็มกับตัวเอง”
“เป็นเช่นนี้เอง ในเมื่อท่านไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าไปแล้ว” หยุนถิงลุกขึ้นและกำลังจะจากไป
“ยัยเด็กอัปลักษณ์ เจ้าจะไม่อยู่เป็นเพื่อนข้าหรือ? หากข้าแทงตัวเองจนย่ำแย่เล่า?” ท่านลั่วเบะปาก
“ท่านบอกเองว่าหมอเทวดาย่อมต้องผ่านการฝึกฝนและการทดสอบมาอย่างโชกโชน หากไม่ฝึกฝนแล้วจะกลายเป็นเหล็กกล้าได้อย่างไร”
ท่านลั่วกลอกตา นั่นเป็นเพียงข้อแก้ตัวของเขา เจ้าเด็กคนนี้น่าชังจริงๆ
“หรือว่าเจ้าไม่อยากรู้สภาพร่างกายของเจ้าหนูจวิน?” ท่านลั่วจงใจถาม
แน่นอนว่าประโยคนี้ ทำให้หยุนถิงหยุดชะงัก “เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของซื่อจื่อ?”
ยากที่จะได้เห็นเรื่องที่หญิงสาวผู้นี้สนใจ ท่านลั่วจงใจยืดตัวตรงและกล่าวว่า “จะว่าไปแล้วเจ้าหนูจวินก็น่าสงสาร พิษร้ายแรงในร่างกายของเขา ได้มาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา”
“แน่นอนข้ารู้เรื่องนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนวางยาพิษซื่อจื่อ?” หยุนถิงมองไป
“เรื่องนี้ข้าเองก็ยากที่จะพูด ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าหนูจวินเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงของแคว้นต้าเยียน ในตอนนั้นแคว้นต้าเยียนตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน และถูกแคว้นอื่นๆ อีกสามแคว้นร่วมมือกันจัดการ เป็นท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าหนูจวินที่อาจหาญการรบ นำองครักษ์เงามังกรไปต้านข้าศึก
ในขณะนั้นจวินฮูหยินกำลังตั้งครรภ์ ดังนั้นท่านพ่อของเจ้าหนูจวินจึงให้นางอยู่ในเมือง แม้ว่าจะท้องโต จวินฮูหยินก็ยังคงแข็งแกร่ง และนำผู้คนไปต่อต้าน
สามแคว้นบุกเข้ามาลอบโจมตีในเวลากลางคืน จวินฮูหยินให้กำเนิดบุตร ในคืนนั้นทุกคนสู้อย่างไม่คิดชีวิต เดิมทีฮูหยินมีสุขภาพดี แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในระหว่างคลอด นางถึงเลือดออกมากอย่างกะทันหัน
นอกจากนี้ มีคนมารายงานว่าแม่ทัพจวินเสียชีวิตในสนามรบ และลมหายใจเฮือกสุดท้ายของจวินฮูหยินก็หมดลงในชั่วพริบตาเดียว นางกระอักเลือดออกมาเต็มปาก และท้ายที่สุดก็เสียชีวิตเพราะเสียเลือดมาก
ทุกคนปกป้องเจ้าหนูจวินและพาเขาหนีไป โชคดีที่รอดชีวิต ต่อมาอีกสามแคว้นก็ถูกขับไล่ แต่แม่ทัพจวินและจวินฮูหยินก็เสียชีวิตแล้ว ในเวลานั้นจวนแม่ทัพและองครักษ์เงามังกรก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
ต่อมาประชาชนส่งศพมาเป็นระยะทางหลายสิบหลี้ อดีตฮ่องเต้และไทเฮาเป็นผู้ส่งศพด้วยตนเอง เหตุการณ์นั้นช้างยิ่งใหญ่เหลือเกิน แม้แต่อดีตฮ่องเต้ก็ไม่เคยทำเช่นนี้ ทุกคนต่างพูดว่าสองสามีภรรยาตระกูลจวินปกป้องแคว้นต้าเยียนด้วยชีวิต และช่วยชีวิตประชาชนทุกคน” ท่านลั่วกล่าวอย่างทอดถอนใจ
เมื่อได้ยินหยุนถิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสาร “ดังนั้นพิษในร่างกายของซื่อจื่อ เป็นเพราะในตอนนั้นมีคนจงใจวางยาพิษจวินฮูหยินใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง ข้าก็คิดเช่นนั้น แม้ว่าจวินฮูหยินจะเป็นผู้หญิง แต่ความกล้าหาญและสติปัญญาของนางก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้ชาย อีกทั้งยังฝึกในสนามรบตลอดทั้งปี ดังนั้นจึงไม่สามารถอ่อนแอเช่นนั้นได้”
“แล้วท่านรู้ไหมว่าใครเป็นคนวางยาพิษ?” หยุนถิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ในขณะนั้นทั้งสามแคว้นเข้ามารุกราน ผู้คนมากมายเช่นนั้น อีกทั้งในเมืองหลวงก็โกลาหลวุ่นวาย ทั้งหมดล้วนเป็นประชาชน ผู้ลี้ภัย และทหาร
ในเวลานั้นไม่มีความแตกต่างระหว่างกองทัพกับประชาชน ขอเพียงเป็นผู้ชายที่สามารถเคลื่อนไหวได้ ล้วนแต่ต้องนำมาจับอาวุธเพื่อต่อต้านการรุกรานของแคว้นอื่น มีผู้คนจำนวนมากเข้าออกจวนแม่ทัพ ยากที่จะหาคนที่น่าสงสัย” ท่านลั่วถอนหายใจ
“ดังนั้นต้องมีคนปลอมตัวเป็นองครักษ์ ผู้ลี้ภัย หรือสาวใช้แอบเข้ามาในจวนแม่ทัพ แล้ววางยาพิษจวินฮูหยิน ความคิดเช่นนี้ช่างชั่วร้ายจริงๆ บางทีอาจเป็นศัตรูของตระกูลจวิน หรือไส้ศึกของอีกสามแคว้น ขอบเขตกว้างเช่นนี้ ยากที่จะตรวจสอบจริงๆ” หยุนถิงสีหน้าดูเคร่งขรึม
“ยัยเด็กอัปลักษณ์ เจ้าพูดถูก”
“หากท่านไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าไปก่อน ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ” หยุนถิงหันหลังและกำลังจะจากไป
“ยัยเด็กอัปลักษณ์ เจ้าพูดแล้วก็จะทำเลยได้อย่างไร เจ้าจะไม่อยู่เป็นเพื่อนข้าหรือ ชายชราเช่นข้าอยู่ที่นี่ตามลำพังนั้นโดดเดี่ยวมาก” ท่านลั่วเรียกร้องความสงสารในทันที
“ท่านก็ออกไปข้างนอกสิ ข้างนอกมีพ่อบ้าน มีองครักษ์ มีผู้คนมากมาย อีกทั้งยังมีของอร่อย วันนี้ในจวนน่าจะมีชานมและผลไม้รวม ท่านลองไปชิมดูสิ”
“ชานม ผลไม้รวม นั่นมันคืออะไร ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน?”
“ข้าศึกษาเรื่องอาหารการกิน แน่นอนว่าท่านไม่เคยได้ยิน ทุกคนในจวนซื่อจื่อล้วนเคยกินแล้ว และชมว่ามันอร่อย ท่านผู้เฒ่าควรออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง อยู่แต่ในห้องนี้ทั้งวัน ไม่ออกไปทำอะไรเลย มันจะไม่ดีต่อการฟื้นฟูบาดแผล” หลังจากหยุนถิงพูดจบ นางก็เดินตรงออกไป
“ยัยเด็กอัปลักษณ์ เจ้ารอข้าด้วย โอ๊ย แผลของข้า” ท่านลั่วรีบตามไป
หยุนถิงกลับไปที่เรือนของตัวเอง หลังจากนั้นก็เข้าไปในมิติ ครั้งก่อนที่นางช่วยรักษาจวินหย่วนโยว นางตั้งใจเก็บเลือดของเขาไว้ เพื่อนำมาสกัดและใช้ศึกษาวิจัย
พ่อแม่คู่หนึ่งยอมสละชีวิตเพื่อชาติบ้านเมือง แต่ลูกกลับถูกพิษร้ายแรงรุมเร้า ใครกันแน่ที่ชั่วร้ายได้ขนาดนี้
หลังจากที่ท่านลั่วออกไป รั่วจิ่งกับพ่อบ้านก็เข้ามาในทันที “ท่านลั่วมีอะไรจะสั่งหรือไม่ ให้คนมาบอกก็ได้ ซื่อจื่อบอกว่าตอนนี้ท่านต้องพักผ่อนมากๆ จะช่วยให้บาดแผลฟื้นฟูได้ดี”
“ข้าได้ยินยัยเด็กอัปลักษณ์บอกว่าพวกเจ้าขโมยกินชานมและผลไม้รวมลับหลังข้าหรือ?” ท่านลั่วถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
พ่อบ้านสีหน้าแข็งทื่อ “ยัยเด็กอัปลักษณ์?”
“ภรรยาที่ซื่อจื่อเพิ่งจะแต่งเข้ามา”
พ่อบ้านพูดไม่ออก “นั่นเป็นฮูหยินที่ซื่อจื่อเพิ่งจะแต่งเข้ามา คุณหนูหยุน ชานมและผลไม้รวม ล้วนเป็นฮูหยินที่คิดค้นขึ้นมา ทุกคนในจวนล้วนแต่เคยกินแล้ว และชมกันอย่างไม่ขาดปาก อีกทั้งยังขายดีมากในภัตตาคารและโรงน้ำชา”
“เช่นนั้นเจ้าจะรออะไรอยู่ รีบไปเอามาให้ข้าชิมสิ” ท่านลั่วกล่าวเร่งเร้า
“ขอรับ” พ่อบ้านให้คนนำมาให้ในทันที
เมื่อจวินหย่วนโยวกลับมาจากข้างนอก เขาก็เห็นว่าท่านลั่วนั่งดื่มกินอยู่ที่โต๊ะในห้องโถง ด้วยท่าทางที่ตะกละตะกลาม และจวินหย่วนโยวก็ขมวดคิ้ว
ท่านลั่วผู้เย็นชาที่หยิ่งยโสและไม่สบอารมณ์อยู่เสมอ ไม่สนใจภาพลักษณ์ตั้งแต่เมื่อใด