จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 743 ท่านมิได้มีสัมพันธ์อันใดกับซื่อจื่อเฟยจริงรึ
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 743 ท่านมิได้มีสัมพันธ์อันใดกับซื่อจื่อเฟยจริงรึ
คืนนั้นองค์ชายรองชางเยว่หมิงก็วางแผนการกับเหล่าขุนนางที่ติดตามเขา ทุกคนสุมหัวปรึกษากัน จวบจนดึกมากเหล่าขุนนางถึงกลับไป
ขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งในนั้น พอกลับถึงบ้านก็รีบเขียนจดหมาย ให้คนส่งออกทางประตูหลัง คนรับใช้พุ่งไปจวนองค์ชายสี่ทันที
ชางหลัวอวี้ที่กำลังศึกษาค้นคว้าอาวุธอยู่พอเห็นจดหมายนั่น ก็โยนเข้ากองไฟข้างๆเลย
จดหมายถูกจุดไฟเผาติด จากนั้นก็กลายเป็นปืนในพริบตา
“องค์ชายสี่ หรือว่าพวกเราจะไม่ส่งจดหมายนี่ไปให้ไท่จื่อรึ เมื่อครู่คนรับใช้ของใต้เท้าจ้าวบอกว่าเรื่องคับขันนัก เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของไท่จื่อนะ?” พ่อบ้านถามอย่างตกตะลึง
“ไอ้โง่อย่างชางเยว่หมิง ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านพี่ไท่จื่อเลยสักนิด เขาคิดว่าตนเองปกปิดได้มิดชิดแล้ว กลับไม่รู้เลยว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาของท่านพี่ไท่จื่อหมดแล้ว ไม่ต้องให้ข้าเข้าไปยุ่มย่ามดอก” ชางหลัวอวี้อธิบาย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง องค์ชายเฉลียวฉลาดนัก!”
“เจ้าออกไปเถอะ ไม่มีอะไรอย่ามารบกวนข้า นี่เป็นของล้ำค่านัก ข้าจะศึกษาค้นคว้ามันให้เข้าใจให้ได้!” ชางหลัวอวี้บอกอย่างรำคาญ
“ขอรับ!” พ่อบ้านรีบออกไปทันที
ชางหลัวอวี้มองดูปืนสีดำเมี่ยมนั่น สิ่งนี้พอท่านพี่ไท่จื่อกลับมาก็มอบให้เขาแล้ว ผ่านไปนานขนาดนี้ ตนยังไม่เข้าใจโครงสร้างด้านในของมันเลย ช่างเดือดดาลนัก
ชางหลัวอวี้อึดอัดใจนัก ลงมือแกะต่อไป ครั้งนี้เขาไม่ได้ทำตามปกติ แต่กลับพลิกกลับมาดู อย่าพูดไป เขาแกะมันออกได้จริงๆแล้ว
“ดียิ่งนัก ข้าแกะมันได้แล้ว ที่แท้ในนี้เป็นอย่างนี้นี่เอง” ชางหลัวอวี้ค้นคว้าต่ออย่างตื่นเต้น รีบพกข้าวของพุ่งตรงไปพระราชวังทันที
ชางหลันเย่ได้ยินว่าชางหลัวอวี้มา ก็ไปพบเขาที่ตำหนักข้าง
พอเจอหน้า ชางหลัวอวี้กอดเขาอย่างตื่นเต้นทันที “ท่านพี่ไท่จื่อ อาวุธปืนนั่นที่ท่านให้ข้า วันนี้ข้าแกะมันออกมาได้แล้ว รู้โครงสร้างด้านในหมดแล้ว สิ่งนี้ช่างอัศจรรย์จริง”
ชางหลันเย่คิ้วขมวดเล็กน้อย “ปล่อยมือเจ้าก่อน!”
ชางหลัวอวี้รีบปล่อยมือทันที “ท่านพี่ไท่จื่อ ข้าตื่นเต้นไปหน่อยน่ะ ท่านดูสิ ข้าแกะออกมาหมดแล้ว” พูดพลาง หยิบกล่องมาเปิดออกอย่างโอ้อวด
ชางหลันเย่เหล่มองชิ้นส่วนที่โดนแกะแยกหมด “เจ้ามาหาข้า เพื่อเรื่องนี้รึ”
“แน่นอน ของดีเช่นนี้ท่านพี่ไท่จื่อให้ข้ามาเองนะ ข้าแกะอยู่นานกว่าจะแกะได้ ย่อมต้องมาอวดท่านอยู่แล้ว ของนี้ข้าลองมาหลายครั้งแล้ว อานุภาพร้ายกาจนัก ดีเลย ท่านพี่ไท่จื่อท่านสามารถให้เหล่าอาจารย์ช่างตีอาวุธผลิตออกมาจำนวนมากได้แล้ว ต่อไปแคว้นชางเยว่ของเราไม่ต้องกลัวอีกสามแคว้นแล้ว” ชางหลัวอวี้สีหน้าตื่นเต้นยิ่งนัก
“ไม่ต้อง”
“เพราะอะไรล่ะ อาวุธดีเยี่ยงนี้ต้องเป็นอาวุธชั้นเลิศในบรรดาอาวุธอยู่แล้ว ท่านพี่ไท่จื่อ ท่านพึ่งกลับมาแคว้นชางเยว่ไม่นาน เป็นช่วงที่ต้องการอาวุธมิใช่รึไง?” ชางหลัวอวี้ถามอย่างไม่เข้าใจ
“หยุนถิงได้ให้คนส่งอาวุธมาแล้ว แถมยังเป็นรุ่นพัฒนาแล้ว ระดับสูงกว่าอันนี้มาก อานุภาพมากกว่า” ชางหลันเย่อธิบาย
ชางหลัวอวี้คิดอยากตายขึ้นมาทันที “ซื่อจื่อเฟยผู้นี้จะเก่งกาจไปหรือไม่ ข้าค้นคว้าอยู่นานหลายเดือนพึ่งจะค้นคว้าเข้าใจ นางกลับทำรุ่นพัฒนาออกมาแล้ว แถมยังส่งมาให้แล้วด้วย ท่านพี่ไท่จื่อ ท่านพูดมาตามจริงนะ ท่านมิได้มีสัมพันธ์อันใดกับซื่อจื่อเฟยจริงรึ?”
สายตาคมปลาบดุจใบมีดของชางหลันเย่ปรายมาทันที ทั้งคมปลาบและดุดัน “ข้ากับซื่อจื่อเฟยบริสุทธิ์ใจต่อกัน เมื่อก่อนนางเห็นว่าข้าน่าสงสาร เลยให้ยากับข้ามา และช่วยข้ากลับแคว้นชางเยว่
บัดนี้นางต้องการพันธมิตร สตรีที่งามล้ำแห่งยุคเยี่ยงนั้นมิใช่ผู้ใดก็จะสามารถเข้าตานางได้ ต่อไปหากกล้าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้อีก ข้าไม่รังเกียจที่จะตัดลิ้นเจ้า ให้เจ้าเป็นองค์ชายใบ้!”
น้ำเสียงเย็นเยียบ หนักแน่น ทอประกายทรงอำนาจที่ห้ามขัดขืน
ชางหลัวอวี้ตกใจสะท้านเยือก รีบเอามือปิดปากตนเองทันที “ท่านพี่ไท่จื่อ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าไม่กล้าพูดอีกแล้ว”
“ออกไปเถอะ หากเจ้าไม่มีธุระอะไร ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพ่อให้มากหน่อย” ชางหลันเย่กำชับ
“พ่ะย่ะค่ะ!” ชางหลัวอวี้รีบพุ่งออกไปทันที
“ไท่จื่อ พวกองค์ชายรองวางแผนว่าจะกระทำการในวันขอพรอีกห้าวันให้หลัง พวกเราจะเตรียมการไว้ก่อนดีหรือไม่?” เจว๋เฟิงเลียบเคียงถาม
ในวันขอพร ไท่จื่อจะไปวัดหลวง เดินสามก้าวแล้วโขกศีรษะขึ้นขั้นบันได 81ขั้น ขอพรต่อบรรพบุรุษตระกูลชาง ให้ช่วยปกปักรักษาดวงชะตาของแคว้นชางเยว่ให้อุดมสมบูรณ์เจริญรุ่งเรือง
เพราะว่าเป็นวัดหลวง กองทัพหลวงและองครักษ์หลวงได้แต่รออยู่ด้านนอก ให้เพียงไท่จื่อ เหล่าองค์ชายและขุนนางเข้าไป ห้ามพกพาอาวุธใดๆทั้งสิ้นเข้าไป
ชางหลันเย่เลิกคิ้วน้อยๆ “ในเมื่อเขาเลือกที่จะลงมือในวันนั้น ข้าจะวางแผนให้พาเสด็จพ่อเข้าไปด้วย มีแต่ให้เสด็จพ่อเห็นกับตาตนเองว่าชางเยว่หมิงลอบฆ่า ถึงจะไม่รู้สึกว่าข้าฆ่าฟันพี่น้องกันเอง องครักษ์ลับฝึกฝนมานานขนาดนั้นแล้วควรจะเอามาใช้ได้แล้ว ใช้อาวุธชุดนั้นที่หยุนถิงส่งมาให้ จะได้มาทดสอบอานุภาพเสียเลย”
“ขอรับ!” เจว๋เฟิงรีบไปเตรียมการทันที
ชางหลันเย่ควักแผนที่ที่หยุนถิงให้คนส่งมาให้ออกมาจากในอก นี่เป็นแผนที่ของเขตทะเลนิรนามพอดี
หลังจากกลับมายังแคว้นชางเยว่แล้ว ก็สั่งให้เจว๋เฟิงฝึกฝนองครักษ์ลับและทหารเดนตายอย่างลับๆ รวมกับอาวุธของหยุนถิงก็สามารถสู้ได้หนึ่งต่อร้อยแล้ว
เขาได้รับข่าวที่ว่าจวินหย่วนโยวโดนลอบฆ่าแล้ว ในเมื่อเขตทะเลนิรนามร้ายกาจขนาดนี้ แค่นี้ยังไม่พอดอก เขาต้องฝึกฝนกองทัพเลือดเหล็กขึ้นมากองทัพหนึ่งอย่างรวดเร็วที่สุด แบบนี้หยุนถิงต้องการเมื่อใด เขาก็สามารถช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ
ห้าวันให้หลัง
วันขอพรของแคว้นชางเยว่ ไท่จื่อชางหลันเย่พาเหล่าองค์ชายและขุนนาง มุ่งตรงไปวัดหลวงประจำตระกูลชางแต่เช้าตรู่
ชิงเติงไต้ซือนำเหล่าลูกศิษย์มาคารวะทันที “อาตมาคารวะไท่จื่อ”
“ไต้ซือลุกขึ้นเถอะ” ชางหลันเย่บอก
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาทตามอาตมาเข้ามาเถอะ” ชิงเติงไต้ซือนำทางอยู่ข้างหน้า
ชางหลันเย่เดินตามเข้าไป พวกองค์ชายชางเยว่หมิงและเหล่าขุนนางรีบตามเข้าไปทันที องครักษ์หลวงและกองทัพหลวงทั้งหมดล้วนโดนกันไว้ด้านนอกอาราม
ชางเยว่หมิงมองเห็นพวกเจว๋เฟิงโดนกันไว้ด้านนอก ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ผ่านวันนี้ไปจะไม่มีชางหลันเย่ในแคว้นชางเยว่อีกแล้ว ต่อไปแคว้นชางเยว่จะเป็นของเขาแล้ว
ทุกคนเดินเข้าไปในวัด เดินไปได้ระยะหนึ่ง สุดท้ายมาหยุดลงที่หน้าขั้นบันไดที่81
“ไท่จื่อ ต่อมาขอท่านเป็นตัวแทนแคว้นชางเยว่สวดมนต์ภาวนาขอพรกับวัดประจำตระกูลชาง ทำการเดินสามก้าวแล้วคุกเข่า เชิญฝ่าบาทเถอะ!” ชิงเติงไต้ซือเอ่ยขึ้น
“ได้!” ชางหลันเย่ยกเท้าขึ้นไปที่ขั้นบันได เริ่มทำการคารวะ
ชางเยว่หมิงมองดูชางหลันเย่ที่คุกเข่ากราบ สายตาทะมึนนั่นเต็มไปด้วยแววริษยาและไม่พอใจ
ชางหลันเย่น่าตายนัก มันมีอะไรดีกัน ตนมีสิ่งใดสู้มันไม่ได้ เสด็จพ่อถึงได้ให้ความสำคัญกับมันเพียงนี้ ยังให้มันเป็นตัวแทนขอพรให้แคว้นชางเยว่
แต่เขาเตรียมการไว้หมดแล้ว สุดปลายทางของขั้นบันไดนี่จะเป็นหลุมฝังศพชางหลันเย่
ชางหลันเย่เดินเข้าไปทีละก้าว เดินไปสามขั้นบันไดก็คุกเข่าลง เดินไปได้เก้าขั้นบันไดก็โขกศีรษะ ตั้งอกตั้งใจและเข้มงวดยิ่งนัก เวลานี้หัวใจของเขาตื่นเต้นยิ่งนัก ทั้งยินดีปรีดาและปวดใจ
เขาถูกส่งไปเป็นตัวประกันที่แคว้นต้าเยียนตั้งแต่เล็ก เขาคิดว่าตนคงตายที่แคว้นต้าเยียนแล้ว แต่เขากลับมาแล้ว และยังเดินสามก้าวแล้วคุกเข่าเข้าวัดบรรพชน เกียรติยิ่งใหญ่เช่นนี้เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย
เขา ในที่สุดก็เข้าวัดบรรพชนอย่างสง่าผ่าเผย นี่เป็นการยอมรับของเสด็จพ่อที่มีต่อเขา และเป็นการยอมรับที่ราษฎรมีต่อเขา
เพื่อวินาทีนี้ ชางหลันเย่รู้สึกว่าการอดกลั้นและความทรมานในหลายปีมานี้ช่างคุ้มค่านัก
เพราะว่าเข้าไปในวัดหลวง ก็เท่ากับว่าเป็นการรับสืบทอดแผ่นดินแคว้นชางเยว่ในภายภาคหน้าแล้ว ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว