จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 746 ลูกที่แท้งขององค์หญิงห้ามิใช่ลูกเจ้ากระมัง
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 746 ลูกที่แท้งขององค์หญิงห้ามิใช่ลูกเจ้ากระมัง
พอชางหลันเย่จัดการเรื่องในราชสำนักเสร็จแล้ว รีบเร่งมาทันที และเห็นภาพนี้เข้าพอดี “ร่างกายเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ต้องรักษาเสด็จพ่อให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้อะไรก็ตาม!”
เหล่าหมอหลวงคุกเข่าถวายบังคมทันที “ขอไท่จื่อโปรดอภัยด้วย ร่างกายของฝ่าบาทนั้นมาถึงขีดสุดแล้ว กระหม่อมไร้ความสามารถ!”
คำพูดเดียวทำเอาสีหน้าชางหลันเย่เย็นเยียบยิ่งนัก “ไร้น้ำยาทั้งนั้น พวกเจ้าทั้งหมดรีบคุยกันเสีย ต้องคุยหาวิธีรักษาเสด็จพ่อออกมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ละเว้นพวกเจ้าแน่!”
เพราะว่าเดือดดาลมากเกินไป ชางหลันเย่ไอค่อกแค่กอย่างรุนแรงออกมา สีหน้าซีดเผือดอีกหลายส่วน
“เย่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หมิงเฟยมองมาอย่างเป็นห่วง
“เสด็จแม่ ลูกมิเป็นไร ร่างกายของเสด็จพ่อสำคัญกว่า!” ชางหลันเย่พูดอีกครั้ง
“อย่าทำให้หมอหลวงลำบากใจเลย ร่างกายของข้าข้ารู้ดี พวกเจ้าออกไปเถอะ” ฮ่องเต้พูดอย่างอ่อนแรง
เหล่าหมอหลวงพากันล่าถอยออกไป ในตำหนักที่กว้างใหญ่เหลือเพียงฮ่องเต้ หมิงเฟยและชางหลันเย่
“เย่เอ๋อร์ เจ้าอย่าโทษตัวเองไปเลย ข้าอยู่มานานขนาดนี้ก็พอแล้ว มันเป็นชะตาชีวิต เจ้าต่างหาก หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว องค์ชายรองกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก” ฮ่องเต้ถอนหายใจบอก
“เสด็จพ่อบุญญาธิการสูงส่ง ต้องไม่เป็นไรแน่ๆ ลูกไร้ความสามารถเอง ลูกสมควรตายนัก ไม่ควรให้ท่านไปห้องโถงบรรพชนเลย!” ชางหลันเย่บอกอย่างรู้สึกผิด
“เด็กโง่ ข้าควรจะขอบคุณเจ้ามากกว่า หากมิใช่เจ้า ข้าคงไม่รู้ว่าองค์ชายรองชั่วร้ายกำเริบเสิบสานเช่นนี้ เลวยิ่งกว่าเดรัจฉานเสียอีก
พอข้าหมดอายุขัยแล้ว ก็ถ่ายทอดราชบัลลังก์ให้เจ้า แคว้นชางเยว่มีเจ้าอยู่ข้าวางใจมาก เวลาของข้าเหลืออีกไม่มากแล้ว
แค่อยากอยู่ข้างกายหมิงเฟยในช่วงสุดท้ายของชีวิต หลายปีมานี้ข้าเองก็ติดค้างนางมากนัก ต่อไปแคว้นชางเยว่มอบให้เจ้าแล้วนะ!” ฮ่องเต้ถอนหายใจบอก
“เสด็จพ่อโปรดวางใจ ลูกจะต้องทำให้แคว้นชางเยว่ร่มเย็นเป็นสุข เจริญรุ่งเรืองแน่นอน!” ชางหลันเย่รับประกัน
“ดี ดีมาก เท่านี้ข้าก็วางใจแล้ว”
เช้าวันต่อมา ตอนออกว่าราชการเช้า ฮ่องเต้ก็ถูกหมิงเฟยและหมอหลวงหามออกมา
ขุนนางหายไปกว่าครึ่ง พอเห็นภาพนี้ เหล่าขุนนางพากันถวายบังคม “ถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”
“เอาล่ะ ตามสบายเถิด วันนี้ข้าจะสละราชบัลลังก์ให้ไท่จื่อชางหลันเย่ต่อหน้าทุกคน มีเขาเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์แห่งแคว้นชางเยว่ ขอทุกคนสนับสนุนประคับประคองด้วยความจงรักภักดีด้วย!” ฮ่องเต้พูดอย่างอ่อนแรง
เหล่าขุนนางตกใจ พริบตาเดียวเสียงพูดคุยซุบซิบเซ็งแซ่ขึ้นมาทันที
หลายวันก่อนข่าวที่ว่าองค์ชายรองลอบฆ่าไท่จื่อแพร่กระจายไปนานแล้ว เหล่าขุนนางต่างก็รู้ดีว่าฮ่องเต้กระอักเลือดสลบไสลไม่ได้สติมาสามวัน ระยะนี้ไท่จื่อจัดการราชสำนักได้เหมาะสมนัก ไม่ว่าจะเป็นช่วยเหลือด้านภัยธรรมชาติ หรือว่าซ่อมแซมทางน้ำ กระทั่งปลอบขวัญประชาชน เหล่าขุนนางล้วนเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา
“กระหม่อมยินดีสนับสนุนไท่จื่อ!” ขุนนางคนหนึ่งพูดขึ้น
พอมีคนนำ คนอื่นก็ตาม พากันคารวะอย่างนอบน้อม บัดนี้เขี้ยวเล็บของหยางเฟยกับองค์ชายรองล้วนถูกกำจัดไปหมดแล้ว ย่อมไม่มีคนคัดค้านอยู่แล้ว
ฮ่องเต้พอใจมาก และมอบตราแผ่นดินให้ชางหลันเย่ต่อหน้าทุกคน
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ ลูกจะทำให้เต็มที่เพื่อให้แคว้นชางเยว่กลายเป็นแคว้นที่แข็งแกร่งที่สุดในสี่แคว้นให้ได้!” ชางหลันเย่รับตราแผ่นดินมาอย่างนอบน้อม
“ได้ พิธีขึ้นครองราชย์กำหนดไว้อีกสิบวันให้หลังเถอะ ถึงจะเร่งไปหน่อย แต่ข้าอยากเห็นเจ้าขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง” ฮ่องเต้บอก
“พ่ะย่ะค่ะ!”
พอราชการเช้าเสร็จ ฮ่องเต้ก็โดนคนหามไปตำหนักข้าง
หมิงเฟยคอยดูแลอยู่ข้างๆ พลางยกยาถ้วยหนึ่งเข้ามา “ฝ่าบาท ดื่มทั้งที่ยังร้อนเถอะ ดื่มแล้วก็นอนพักผ่อนนะ”
ฮ่องเต้รับยาถ้วยนั้นมา เงยหน้ากระดกหมดถ้วย “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว ข้ารู้สถานการณ์ของเจ้ามาตลอด แต่หยางเฟยควบคุมราชสำนักไว้ ข้าทำอะไรไม่ได้เลย”
หมิงเฟยซาบซึ้งจนน้ำตาไหล “ฝ่าบาทอย่าตรัสเช่นนี้เลย หม่อมฉันไม่ลำบาก ขอแค่ได้เห็นฝ่าบาทบ่อยๆ ได้ยินข่าวฝ่าบาทบ้าง หม่อมฉันก็พอใจแล้ว”
คำพูดนี้ทำเอาฮ่องเต้ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เหลือเพียงเสียงถอนหายใจอย่างเงียบเชียบ
……..
แคว้นต้าเยียน
ครึ่งเดือนผ่านไป อ๋องเก้าแห่งแคว้นเป่ยลี่มาถึงต้าเยียนแล้ว ไม่ได้เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แต่กลับมายังจวนซื่อจื่อ
“หยุนถิง เสด็จพี่บอกว่าเจ้าเป็นคนบอกให้ข้ามาแคว้นต้าเยียน มีเรื่องอะไรเขียนจดหมายก็ได้แล้วมิใช่รึ ข้ามิได้สนิทสนมกับเจ้านี่นา มาไกลเพียงนี้ทรมานข้ารึ!” อ๋องเก้าบ่น
ก่อนหน้านี้เพราะเรื่ององค์หญิงห้าให้ร้ายหยุนซู สุดท้ายองค์หญิงห้ากลับมานอนอยู่ข้างกายเขา อ๋องเก้าโดนบังคับให้แต่งงานกับองค์หญิงห้า
นี่เป็นหนามยอกอกอ๋องเก้า และเป็นความอัปยศของเขา ดังนั้นพอมาเจอหยุนถิงตอนนี้ อ๋องเก้าเลยไม่เกรงใจละ
หยุนถิงเองก็ไม่โกรธ “ลูกที่แท้งไปขององค์หญิงห้าไม่ใช่ของเจ้ากระมัง!”
ไม่ใช่คำถาม แต่แน่ใจ
อ๋องเก้าตกตะลึง ถ้วยชาในมือสะบัดลงพื้นทันที ถ้วยชาแตก น้ำชากระเซ็น ลวกเขาจนร้องโหยหวน
“หยุนถิงเจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้ากำลังดูถูกข้ารึ?”
หยุนถิงเลิกคิ้วมองมา “หลายปีมานี้เจ้านกเขาไม่ขัน ยังต้องให้ข้าดูถูกอีกรึ?”
อ๋องเก้าสีหน้าราวกับถ่ายท้องไม่ออก บูดบึ้งยิ่งนัก กลืนน้ำลายในบัดดล “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?”
หลายปีก่อนอ๋องเก้าชอบพอสตรีนางหนึ่ง เข้าไปเกี้ยวพาราสี สุดท้ายกลับโดนสตรีนางนั้นวางยา นับแต่นั้นมาก็นกเขาไม่ขันอีกเลย
อ๋องเก้าให้หมอหลวง ท่านหมอ หมอในยุทธภพทั้งหมดมาดูอาการแล้ว ล้วนไม่ดีขึ้นเลย เขาโกรธจนอยากด่าแม่แล้ว
เพราะว่าอับอายขายขี้หน้าเกินไป ดังนั้นทุกครั้งเขาจะระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้ความลับของตน ไม่เช่นนั้นต้องโดนคนทั่วทั้งสี่แคว้นหัวเราะเยาะแน่
ดังนั้นพอตอนที่รู้ว่าองค์หญิงห้าตั้งท้อง อ๋องเก้าแค้นจนอยากฆ่านาง สตรีสารเลวนี่กล้าคบชู้ลับหลังตน และยังตั้งท้องลูกชู้อีก
โชคดีที่เป่ยหมิงฉี่ห้ามปรามเขาว่า อย่างไรซะอ๋องเก้าไม่ได้รักใคร่องค์หญิงห้า ก็แค่อีกไม่นานมีคนมาให้เลี้ยงอีกคนเท่านั้น ไม่แน่ว่าต่อไปจุดอ่อนนี่จะเป็นประโยชน์กับแคว้นเป่ยลี่ก็ได้ อ๋องเก้าถึงได้ยอมรามือ
แต่ไม่คิดเลยว่า หยุนถิงจะรู้เรื่องนี้
“ในสี่แคว้น มีเรื่องใดปิดบังหูตาของจวนซื่อจื่อได้บ้าง!” หยุนถิงแค่นเสียงเย็น
“เจ้าต้องการอะไร?” อ๋องเก้าทำหน้าระแวง สตรีนางนี้ให้ตนมาไกลถึงเพียงนี้ คงไม่ใช่จะเหยียดหยามตนหรอกนะ
“ข้าแค่อยากตกลงข้อแลกเปลี่ยนกับอ๋องเก้าสักเรื่อง ข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยการรักษาอาการนกเขาไม่ขัน รับรองว่าเจ้าหายวันหายคืนแน่” หยุนถิงบอก
“จริงรึ เจ้าอย่าหลอกข้านะ ข้าหาหมอหลวงและหมอไปทั่วหมดแล้ว แม้แต่วิธีลับก็เคย”ลองยังไม่มีประโยชน์เลย” อ๋องเก้าไม่เชื่ออยู่แล้ว
“เจ้าลองไปถามหลีอ๋องดู ก่อนหน้านี้เขาก็เคยนกเขาไม่ขัน ข้าเป็นคนรักษาเอง”
พออ๋องเก้าได้ยิน ไม่พูดอะไรอีก หมุนตัววิ่งไปจวนหลีอ๋องทันที
หากเป็นเช่นนี้จริง งั้นเขาก็มีทางรอดแล้ว ดียิ่งนัก
ไม่นาน อ๋องเก้าก็กลับมา เพียงแต่กลับมาคราวนี้เขากลับมาด้วยใบหน้าปวมบูด ตาดำคล้ำราวหมีแพนด้า แต่กลับยิ้มร่าราวคนบ้า
“อ๋องเก้า เจ้าโดนหลีอ๋องอัดมารึ?” รั่วจิ่งถาม
“อย่าพูดถึงมันเลย ข้าถามเขาว่าเมื่อก่อนตอนนกเขาไม่ขันถูกเจ้ารักษาใช่หรือไม่ สุดท้ายเขาไม่พูดอะไรก็ซัดข้ายกหนึ่งเลย
แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ จุดสำคัญคือตอนข้าจะออกไป เขาพูดมาหนึ่งคำว่า เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าเลยกลับมาหาเจ้าเลย ข้าตกลงทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้าแล้ว”