จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 766 ข้าคิดไปเองว่าเจ้ามีใจ
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 766 ข้าคิดไปเองว่าเจ้ามีใจ
“รีบปล่อยมือ เจ็บ!” หลงเอ้อเจ็บจนใบหน้าซีดขาวไปหมดแล้ว
เป่ยจิงจิงรีบปล่อยมือทันที น้ำตาก็ยิ่งไหลพรากลงมา “หลงเอ้อ ขอบคุณเจ้ามาก ขอบคุณ”
หลงเอ้อมองดูท่าทางที่น้ำตาคลอของนาง รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็พูดมันออกมา
“เป่ยจิงจิง ข้าไม่ได้ทำเช่นนี้เพราะชอบเจ้า เปลี่ยนเป็นคนอื่น หรือผู้หญิงที่ไม่รู้จักคนไหน เจอเรื่องเช่นนี้ ข้าก็จะให้ความช่วยเหลือเหมือนกัน
ดังนั้นหวังว่าเจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้มีความรู้สึกใดๆกับเจ้า เพียงแค่ผ่านมาพบความอยุติธรรมก็เลยให้ความช่วยเหลือเท่านั้น ถ้าหากเจ้าเกิดเรื่องขึ้นที่แคว้นต้าเยียน จะต้องทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างสองแคว้นอย่างแน่นอน!
ข้ารู้ว่าพูดเรื่องนี้กับเจ้าตอนนี้มันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ แต่ข้าแค่อยากให้เจ้าเข้าใจ ระหว่างเจ้ากับข้ามันไม่มีทางเป็นไปได้”
ทุกคำทุกประโยค ราวกับมีดสั้นที่แหลมคมเฉือนเชือดหัวใจของเป่ยจิงจิง
นางรู้ นางรู้มาตลอดว่าหลงเอ้อไม่ชอบตัวเอง เดิมนึกว่าผ่านอุบัติเหตุในครั้งนี้แล้ว หลงเอ้อจะอ่อนโยนและทะนุถนอมต่อตัวเอง
แต่เป่ยจิงจิงลืมไปว่า หลงเอ้อเป็นคนที่คลานออกมาจากกองซากศพตั้งแต่เด็ก ในสายตาของเขามีแค่ซื่อจื่อเท่านั้น ไม่เคยมีความอ่อนโยนและทะนุถนอมสตรีมาก่อน
เวลานี้เขาแบ่งเส้นเขตกับตัวเองอย่างเด็ดขาดชัดเจนเช่นนี้ ทำให้เป่ยจิงจิงยิ่งเศร้าเสียใจมากขึ้น
จู่ๆนางก็นึกถึงคำพูดของหยุนถิง หากไม่รักจริงๆก็ต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมือ แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน นางยิ่งไม่อยากกลายเป็นองค์หญิงห้าคนที่สอง
หากตัวเองยังตามตื้ออีก จะไม่ใช่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีหรอกหรือ ในฐานะที่เป็นองค์หญิงแห่งแคว้นเป่ยลี่ นางมีความหยิ่งทะนงและศักดิ์ศรีของตัวเอง
“ข้ารู้ ข้ารู้มาตลอดว่าเจ้าไม่ชอบข้า ข้าคิดไปเองว่าเจ้ามีใจ ครั้งนี้ขอบคุณเจ้ามาก ขอบคุณที่เจ้าช่วยข้าไว้ ต่อไปข้าจะไม่มารบกวนเจ้าอีก!” เป่ยจิงจิงพยายามทำให้ตัวเองพูดประโยคนี้ออกมาอย่างใจเย็น หันหลังก็วิ่งออกไป
หลงเอ้อมองดูแผ่นหลังของนาง ไม่ได้ไล่ตามไป
ในเมื่อไม่ชอบ เหตุใดต้องทำให้นางเข้าใจผิด ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาสองคนพัวพันกันมาหลายปี ทำไมจะต้องเสียเวลาของอีกฝ่ายโดยไร้ประโยชน์
นอกประตู หยุนถิงกำลังพูดคุยกับจวินหย่วนโยว ก็เห็นเป่ยจิงจิงร้องไห้วิ่งออกมา ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่า หลงเอ้อจะไม่ชอบนางจริงๆ!”
“แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน เรื่องของความรักให้พวกเขาไปจัดการกันเองดีกว่า!” จวินหย่วนโยวตอบ
ตั้งแต่เริ่มแรกเขาก็รู้แล้วว่า ระหว่างหลงเอ้อกับเป่ยจิงจิงมันเป็นไปไม่ได้
“อืม เมื่อครู่ข้ายังนึกว่าหลงเอ้อชอบเป่ยจิงจิงเสียอีก ดูท่าข้าคงเข้าใจผิดไป”
“หลงเอ้อมีความคิดเป็นของตัวเองมาก เขาสามารถจัดการมันได้ดีด้วยตัวเอง”
“อืม แต่ว่านี่ก็ดึกแล้ว เป่ยจิงจิงเพิ่งประสบอุบัติเหตุ กลับไปคนเดียวในเวลานี้เกรงว่าคงจะไม่ปลอดภัย ส่งคนไปปกป้องนนางอย่างลับๆเถอะ” หยุนถิงเสนอแนะ
“รั่วจิ่ง เจ้าไป!” จวินหย่วนโยวกล่าวเสียงเย็นชา
“ขอรับ!” รั่วจิ่งออกไปทันที
ในตอนที่กำลังจะออกไป รั่วจิ่งก็พบกับหลันซานที่กลับมา
“รั่วจิ่ง ดึกขนาดนี้เจ้าจะออกไปทำอะไร?” หลันซานถาม
รั่วจิ่งนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่โจวมู่กับหลันซานกินขนมถั่วเขียวก่อนหน้านี้ รู้สึกอารมณ์หดหู่เล็กน้อย “ข้าจะไปคุ้มกันขนมถั่วเขียว!”
หลันซานยังไม่ทันได้ตอบสนองกลับมา รั่วจิ่งก็เดินไปไกลแล้ว นางรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
“ขนมถั่วเขียว ยังต้องคุ้มกันด้วยหรือ?”
“คุณหนู ความจริงมีเรื่องหนึ่งข้าไม่ได้บอกท่าน วันนี้ได้ยินบ่าวรับใช้ชายบอกว่ารั่วจิ่งไปที่ร้านขายยาของเรา แถมยังมอบขนมถั่วเขียวให้เขากล่องหนึ่ง ข้าคิดว่าเขาต้องไปหาคุณหนูอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มอบขนมถั่วเขียวให้กับบ่าวรับใช้ชาย” สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปากทันที
หลันซานตกตะลึงอย่างยิ่ง “นี่เป็นเรื่องเมื่อไหร่กัน?”
“เย็นวันนี้นี่แหละ น่าจะเป็นเวลาหลังอาหารเย็นกระมัง”
จู่ๆหลันซานก็นึกขึ้นได้ว่า เวลานั้นดูเหมือนว่าโจวมู่ซื้อขนมถั่วเขียวมาให้นางหนึ่งกล่อง แถมยังยื่นให้นางกินหนึ่งชิ้น หรือว่ารั่วจิ่งจะเห็นภาพฉากนี้เข้า?
หลันซานอยากอธิบายกับรั่วจิ่ง แต่รั่วจิ่งหายลับตาไปนานแล้ว หลันซานถอนหายใจอย่างจนใจ ถึงได้เดินเข้าไป
วันรุ่งขึ้นก็เป็นคืนก่อนวันตรุษจีนแล้ว บรรยากาศทั่วทั้งจวนซื่อจื่อล้วนเต็มไปด้วยความสุขและความปลาบปลื้มยินดี ในตอนเช้าตรู่ผู้คนก็เริ่มยุ่งกับการทำงานอย่างเป็นระเบียบ
หยุนถิงกับจวินหย่วนโยวตื่นมาในตอนเช้า หลังจากกินข้าวเช้าง่ายๆแล้ว ก็เห็นซูหลินพาคนยกกล่องใหญ่หลายสิบใบเข้ามา
หยุนถิงให้พ่อบ้านเรียกบ่าวรับใช้ในจวนมาให้หมด ทุกคนล้วนไม่รู้ว่าทำไม รีบมาในทันที
ในตอนที่เห็นว่าในกล่องใหญ่หลายสิบใบนั่นเต็มไปด้วยหยวนเป่าทองคำ ทุกคนล้วนพากันตกตะลึง
“ในปีนี้ทุกคนลำบากกันแล้ว วันนี้ให้เงินรางวัลแก่ทุกคน เข้าแถวกันให้เรียบร้อย ตามลำดับอาวุโส!” หยุนถิงเอ่ยปาก
ทุกคนโห่ร้องด้วยความดีใจทันที ยืนกันเป็นแถวอย่างรวดเร็ว
พ่อบ้านเป็นคนแรกที่รับหน้าที่นี้ หยุนถิงยกหยวนเป่าทองคำให้เขาหนึ่งแถวเต็มๆ
“ขอบคุณซื่อจื่อเฟยมาก! บ่าวอยู่มานานหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยได้รับเงินรางวัลมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย” พ่อบ้านกล่าวด้วยความซาบซึ้งใน มือที่รับจานมายังสั่นเทา
“พูดอย่างกับว่าปกติข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีอย่างนั้นแหละ!” จวินหย่วนโยวกล่าวอย่างเย็นชา
มุมปากของพ่อบ้านกระตุกขึ้นมา รีบอธิบายทันที “ซื่อจื่อย่อมปฏิบัติต่อบ่าวเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้ใจป้ำอย่างซื่อจื่อเฟยเท่านั้นเอง”
หยุนถิงก็ยังรู้สึกขบขัน “หลายปีมานี้ลำบากพ่อบ้านแล้ว ต่อไปจะมีทุกปี”
“พ่อบ้านหากท่านยกไม่ไหว ข้าช่วยท่านยก” รั่วจิ่งเย้าแหย่ทันที
“เจ้าเด็กเวรอยู่เฉยๆเลยไป อย่าคิดจะมายุ่งกับหยวนเป่าทองคำของข้า” พ่อบ้านปกป้องเอาไว้ทันที
คนอื่นๆล้วนรู้สึกตลกขบขัน พากันเข้ามารับเงิน ทั้งหมดรู้สึกขอบคุณซื่อจื่อเฟยไม่สิ้นสุด
เงินเดือนของจวนซื่อจื่อในเวลาปกติก็มากกว่าจวนอื่นๆหลายเท่าตัว สิ้นปีก็ยังมีเงินรางวัลอีก มากที่สุดคือหนึ่งหมื่นตำลึงของพ่อบ้าน บ่าวรับใช้ที่ได้น้อยที่สุดก็ได้หยวนเป่าทองคำสองแท่งเช่นกัน ทีนี้ทุกคนล้วนร่ำรวยกันแล้ว
เหล่าองครักษ์เงามังกรกับองครักษ์ลับมองด้วยความอิจฉา หยุนถิงไม่ได้ให้เงินแก่พวกเขา แต่แจกจ่ายอาวุธที่สร้างใหม่ให้คนละหนึ่งชิ้น ทุกคนยินดีอย่างยิ่ง รู้สึกนับถือซื่อจื่อเฟยมากยิ่งขึ้น
จวินหย่วนโยวที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วยังรู้สึกอิจฉา คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ของจวนซื่อจื่อ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าพวกเขาเคารพนับถือซื่อจื่อเฟยมากกว่าตัวเองเสียอีก
หลังจากที่แจกจ่ายอาวุธและเงินรางวัล หยุนถิงทำธุระเสร็จบอกกับจวินหย่วนโยวคำหนึ่ง ก็ออกไปเดินตลาด
วัตถุดิบของห้องครัวเตรียมไว้ครบถ้วนนานแล้ว หยุนถิงคิดว่าจะไปเดินตลาดดูอีกครั้ง เผื่อมีอะไรที่ต้องการ ถือโอกาสไปที่จวนตระกูลหยุนด้วย
เดิมทีจวินหย่วนโยวต้องการจะไปกับนาง แต่กลับถูกซูกงกงมาถ่ายทอดคำพูด ให้เขาเข้าไปในวัง
หยุนถิงไม่ได้พาลูกสองคนไปเดินตลาดด้วย พาไปแค่ซูหลินเท่านั้น
ตอนนี้เป็นวันสิ้นปี ร้านค้ามากมายล้วนปิดไปแล้ว คนเดินเท้าที่สัญจรไปมาสีหน้าท่าทางเร่งรีบ ส่วนมากล้วนออกมาจับจ่ายซื้อของกันทั้งนั้น
หยุนถิงซื้อของอีกเล็กน้อย กำลังจะหันหลังเดินกลับกับซูหลิน จู่ๆก็ได้ยินเสียงร้องงิ้วดังขึ้นมา
“เวลานี้ยังมีคนร้องงิ้วอีกหรือ?” หยุนถิงขมวดคิ้ว
“ลานแสดงงิ้วที่อยู่ข้างหน้าเดือนที่แล้วเพิ่งมีคนใหม่มาหนึ่งคน ร้องงิ้วได้ดีมาก เจ้าขุนมูลนายในเมืองหลวงมากมายล้วนให้เขาไปแสดงที่เรือนส่วนตัวกัน!” ซูหลินอธิบาย
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไปดูกันหน่อย!” หยุนถิงก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
เมื่อบ่าวรับใช้ชายที่อยู่หน้าประตูลานแสดงงิ้วเห็นหยุนถิง ก็คำนับด้วยความเคารพนบนอบทันที ซูหลินหยิบเงินออกมามอบให้เขา จากนั้นก็ติดตามหยุนถิงเข้าไป
ในตอนที่เห็นคนที่ยืนร้องงิ้วอยู่บนเวทีสูงคนนั้น คนทั้งคนของหยุนถิงชะงักงันไป
คนผู้นั้นสวมเครื่องแบบทหารทั้งชุด กล้าหาญชาญชัย สูงยาวเข่าดี มือถือหอกยาว มีความสามารถและเย็นชา ทุกท่วงท่าแฝงไปด้วยความกล้าหาญ โดยเฉพาะนัยน์ตาดอกท้อคู่นั้น ชั่วร้ายและสง่างาม เหมือนกับคนผู้นั้นทุกประการ
เลือดทั้งร่างกายของหยุนถิงแข็งตัวไปหมด หรือว่าเขาก็มาที่นี่เช่นกัน? ?