จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 795 ห้ามเขาเข้าเมือง
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 795 ห้ามเขาเข้าเมือง
“เพราะเขาเฉลียวฉลาดมีพรสวรรค์ ใจกล้าละเอียดอ่อน ไม่ได้คร่ำเคร่งกฎจนไม่รู้จักพัฒนาตนเอง แถมยังมีความคิดเป็นของตนเอง ไม่เอาแต่ย่ำอยู่กับที่เพราะคำพูดอาจารย์ ข้าต้องการคนเช่นนี้
ถึงเจ้าจะร่ำเรียนในเรือนอวี๋มาหกปี เย่อหยิ่งจองหอง รังแกศิษย์ใหม่ ไม่เห็นผู้อาวุโสอยู่ในสายตา ไม่วางใจไว้ในเรื่องการเรียนแพทย์ แต่กลับเอาแต่คิดกำจัดศัตรู แบ่งพรรคแบ่งพวก ดังนั้นข้าเลยไม่เคยคิดจะถ่ายทอดวิชาฝึกกู่ให้กับเจ้า
ในเมื่อเจ้าทำเรื่องเมื่อคืนออกมา ข้าก็จะไม่เก็บเจ้าไว้อีก ใครก็ได้ โยนโอจื่อโฝวทิ้งลงถ้ำหลังเขา ให้มันเอาตัวรอดเอาเอง!” น้ำเสียงผู้อาวุโสอวี๋เย็นชาไร้หัวใจ โหดเหี้ยมยิ่งนัก
โอจื่อโฝวอึ้งบื้อไปเลย นี่คืออาจารย์ที่ตนเคารพนับถือคนนั้นรึ การติดตามร่ำเรียนตลอดหกปีของตนกลับโอจื่อโฝวในใจเขาเพียงนี้
โอจื่อโฝวยิ้มเย็น หัวเราะไปหัวเราะมาน้ำตาไหลพราก
หัวใจ ด้านชาแล้ว
คนเมื่อคืนจะเป็นตนหรือไม่นั้นไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญคือ อาจารย์ไม่เคยคิดจะถ่ายทอดให้ตนมาก่อนเลย
วินาทีนี้โอจื่อโฝวถึงพบว่าตนไม่เคยรู้จักเลย
เขาดูแปลกหน้า โหดเหี้ยมขนาดนั้น
ความเจ็บปวดบนร่างกายราวกับมดนับหมื่นรุมกัดกิน เส้นชีพจรทั่วร่างกระตุกพันกันเป็นปม เขาเจ็บปวดจนอยากตาย โอจื่อโฝวเจ็บจนอยู่ไม่สู้ตาย
เสียงร้องนั้นทำให้คนที่ได้ฟังขนหัวลุก น่าอนาถนัก
“ยังไม่รีบพามันออกไปอีก!” ผู้อาวุโสอวี๋ตะคอกดังอย่างเดือดดาล
“ขอรับ!” ฉินเจี่ยรีบนำคนออกไปด้วยตัวเองทันที
“คนอื่นแยกย้ายกันไปได้แล้ว” ผู้อาวุโสอวี๋สั่งเสียงเย็นพลางหมุนตัวจากไป
ศิษย์คนอื่นรีบแยกย้ายไปทันที ใครก็ไม่คิดว่า ศิษย์พี่โอจื่อโฝวที่อยู่เหนือคนอื่นและอยู่ใต้อาจารย์เพียงผู้เดียวจะมามีจุดจบเช่นนี้
โดยเฉพาะศิษย์พวกนั้นที่ติดสอยห้อยตามโอจื่อโฝวก่อนหน้านี้ พากันอึ้งกิมกี่ไปตามๆกัน
ศิษย์พี่ใหญ่ที่พวกเขาภูมิใจหนักหนากลับมาโดนศิษย์เข้าใหม่คนหนึ่งเบียดลงไป ตีให้ตายพวกเขาก็ไม่เชื่อ แต่อาจารย์พูดอย่างนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน พวกเขาจำต้องเชื่อ
มีหลายคนที่เคยรังแกหยุนถิงมาก่อน ตอนนี้ได้แต่เสียใจกลัดกลุ้มยิ่งนัก หากรู้ก่อนว่าอาจารย์จะให้ความสำคัญกับศิษย์ใหม่ขนาดนี้ พูดยังไงพวกเขาก็ไม่มีทางหาเรื่องหยุนถิงแน่
บัดนี้ทุกอย่างสายไปแล้ว
กว่าหยุนถิงจะตื่นมาก็เที่ยงกว่าแล้ว นางแต่งกายเรียบร้อยก็ไปกินข้าวที่ห้องครัว
สุดท้ายพอถึงห้องครัว ศิษย์ทุกคนที่กำลังกินข้าวอยู่พากันเข้ามาแสดงความยินดีกับนาง ทำเอาหยุนถิงงุนงงไปหมด
“สหายถิงหยุน ยินดีด้วยที่เจ้ากลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิของอาจารย์!” ฉินเจี่ยเดินเข้ามาพูดอย่างเป็นกันเอง
“ศิษย์พี่ ท่านรู้ได้อย่างไรกัน?” หยุนถิงแสร้งทำไม่เข้าใจ
“ตอนนี้ทั่วทั้งเรือนอวี๋ต่างรู้กันทั่วแล้ว เจ้าหนูนี่ช่างมีบุญนักนะ ต่อไปศิษย์พี่ยังต้องพึ่งพาเจ้าอีก อาหารโต๊ะนี้ข้าสั่งมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ กินให้สบายได้เลย!” ฉินเจี่ยดึงหยุนถิงไปที่โต๊ะตน
หยุนถิงมองอาหารเต็มโต๊ะ ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
นางแน่ใจเลยว่า ฉินเจี่ยนี่จงใจแน่ๆ หากเป็นศิษย์พี่คนอื่นเลี้ยงข้าวนางต้องดีใจแน่ แต่ยาพิษเต็มโต๊ะขนาดนี้ หยุนถิงไม่กล้ากินจริงๆ
“ขอบคุณศิษย์พี่มาก แต่อาหารมากขนาดนี้ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก” หยุนถิงอิดออด
“นี่ศิษย์น้องไม่ไว้หน้าข้ารึ?” ฉินเจี่ยสีหน้าเย็นชาลงทันที
“แน่นอนว่าไม่ใช่ สามารถทำให้ศิษย์พี่เลี้ยงข้าวได้นี่เป็นบุญของข้านัก ก็ข้าเห็นว่ามันมากเกินไปไง กินไม่หมดก็สิ้นเปลืองสิ” หยุนถิงอธิบายทันที
“มิเป็นไร เงินแค่นี้ข้ายังพอมี ศิษย์น้องเชิญเถอะ!” สายตาฉินเจี่ยมีแววสงสัยเคลือบแคลง
ในเมื่อมันเป็นคนที่อาจารย์เลือกแล้ว และยังถ่ายทอดวิชาฝึกกู่ให้มันอีก เช่นนั้นฝีมือการแพทย์ต้องร้ายกาจมากแน่ เขาไม่น่าจะไม่รู้ว่าในอาหารมีพิษสิ
“เช่นนั้น ข้าไม่เกรงใจศิษย์พี่ละนะ” หยุนถิงบอก หยิบตะเกียบคีบคำโตขึ้นมากิน “อืม อาหารที่ศิษย์พี่เลี้ยงอร่อยมากจริงๆ ขอบคุณศิษย์พี่”
ฉินเจี่ยมองดูท่าทางกินสวาปามอย่างสุขีของเขาแล้ว ดูแล้วไม่มีวี่แววหวาดระแวงเลยสักนิด ยิ่งสงสัยหนักขึ้น หรือว่าตนจะคิดมากไป
พอศิษย์คนอื่นเห็นอย่างนั้น ก็พากันแยกย้าย ใครจะกล้าแย่งคนกับศิษย์พี่ฉินเจี่ย
พอผางซิงและโจวปู้เห็นอย่างนั้น ก็อิจฉายิ่งนัก แต่ก็รู้ดีว่าพวกเขาฐานะต่ำต้อย เวลานี้ไม่เหมาะจะเข้าไป พวกเขาเลยไม่ได้ไปทักทายหยุนถิง แต่กลับนั่งลงกินอยู่ห่างๆ
ข่าวว่าหยุนถิงกินข้าวกับฉินเจี่ย แพร่กระจายไปทั่วทั้งเรือนอวี๋ทันที สามารถทำให้ศิษย์พี่ฉินเจี่ยเลี้ยงข้าวได้นั้น เขาเป็นคนแรก ทุกคนยิ่งอิจฉาหยุนถิงหนักขึ้นไปอีก
……….
อีกด้านหนึ่ง พวกโม่เหลิ่งเหยียนใช้เวลาไปหนึ่งเดือนกว่า ในที่สุดก็มาถึงเมืองฉือสักที
พอลงเรือ เหล่าทหารมีทั้งอาเจียนและเวียนหัว หลายคนนอนแผ่หลาบนพื้นเลย ต่างตื่นเต้นจนร้องไห้ไปตามๆกัน
ใช้ชีวิตกลางทะเลเดือนกว่านี้ ช่างทรมานยิ่งนัก
“พวกเจ้าแต่ละคนจะร้องไห้คร่ำครวญหาอะไรกัน ทำหยั่งกับพ่อแม่ตายแล้ว?” รั่วฉิงทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว
“หุบปาก คนรับใช้อย่างเจ้าจะรู้อะไร พวกเราใช้ชีวิตอยู่บนพื้นดินทุกวัน จู่ๆต้องไปอยู่กลางทะเลเดือนกว่า มันง่ายรึ!” ทหารคนหนึ่งย้อน
รั่วฉิงคิดๆดูก็ว่าจริง “ได้ ถือว่าข้าพูดผิดละกัน”
บนหาดทรายด้านนอกเมือง หลงซานเห็นพวกเขาลงจากเรือ ก็พาม่อเซิงและจิ่งไป๋มาต้อนรับด้วยตัวเอง พอเห็นซวนอ๋องก็ดีใจยิ่งนัก
“พวกเจ้ามาแล้ว รีบเข้าเมืองเร็ว ข้าให้คนเตรียมอาหารไว้แล้ว!” หลงซานต้อนรับอย่างเอาใจใส่
“ลำบากเจ้าแล้ว!” โม่เหลิ่งเหยียนยกเท้าก้าวเดินไปเลย
ทหารคนอื่นรีบตามไปทันที หลงซานนี่ได้ใจจริงๆ ดียิ่งนัก
รั่วฉิงเห็นโม่เหลิ่งเหยียนไปแล้ว รีบตามไปทันที “คุณชาย ข้าอยากเป็นลูกน้องท่าน ไม่ต้องการเงิน ขอเพียงท่านให้ข้าวข้ากินก็พอแล้ว!”
หลงซานเหล่มองคนรับใช้คนนั้น รูปร่างบอบบางเล็กบาง เห็นหน้าไม่ชัด สงสัยขึ้นมา
คนรับใช้คนนี้ใจกล้ายิ่งนัก กล้าพูดว่าจะเป็นคนรับใช้ของซวนอ๋อง
“ไม่ต้องการ ห้ามมิให้เขาเข้าเมืองเด็ดขาด!” โม่เหลิ่งเหยียนปฏิเสธเสียงเย็น ไม่หันหลังกลับเลยสักนิด ยกเท้าเดินไปทันที
เจว๋เฟิงรีบให้คนสกัดรั่วฉิงไว้ทันที
“คุณชายท่านทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร ข้าแค่อยากกินเนื้อ ท่านต้องงกขนาดนี้เลยรึ ไม่ยอมให้ข้าเข้าเมืองอีก นี่ท่านหมดประโยชน์แล้วถีบหัวส่งนะ!” รั่วฉิงเดือดจัด
เจว๋เฟิงจี้จุดเขาทันที “นายท่านของข้าเกลียดเสียงหนวกหูที่สุด ไม่อยากตายก็รีบไปซะ ไม่อย่างนั้นใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”
“คุณชายไว้ชีวิตด้วย ข้าจะพานางจากไปเดี๋ยวนี้ รีบไปเร็ว!” ท่านอาคังรีบลากรั่วฉิงขึ้นเรือทันที
ลูกน้องโม่เหลิ่งเหยียนเหลือคนกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ที่ชายหาด คนอื่นพากันเข้าเมืองกันหมด
จวนเจ้าเมือง
อาหารเต็มโต๊ะสิบโต๊ะพร้อมสรรพรอรับ พวกโม่เหลิ่งเหยียนกินกันทันที ถึงหม้อไฟร้อนทันใจจะอร่อย แต่กินเป็นเดือนก็เริ่มเอียนแล้วเหมือนกัน
“ซวนอ๋อง เหล่าชาวบ้านของเมืองนี้เรียบง่ายและใจดี อาหารพวกนี้พวกเขาล้วนเป็นคนเตรียมด้วยตนเอง หากรสชาติไม่ถูกปากข้าจะให้คนไปทำใหม่!” หลงซานบอก
“ดีมากแล้ว!” โม่เหลิ่งเหยียนกินข้าวสองชามอย่างหาได้ยากยิ่ง อย่าพูดไปอาหารทะเลของเมืองเล็กติดทะเลเช่นนี้ไม่เลวเลยจริงๆ
“หลงซาน เจ้ากลายเป็นเจ้าเมืองไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เมื่อครู่ตอนเข้าเมือง ชาวบ้านมากมายขนาดนั้นพากันสนับสนุนเจ้า เก่งมากนี่?” เหลยเยว่กระเซ้า“เป็นความดีความชอบของซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟย ข้าแค่รับหน้าที่เฝ้าที่นี่ไว้เท่านั้น ในเมื่อพวกเจ้ามาแล้ว ที่นี่ก็ยกให้ซวนอ๋องละ ก่อนซื่อจื่อเฟยจะไปได้เหลือถุงผ้าไว้หนึ่งถุง ให้ข้ามอบให้ท่าน!” หลงซานบอก พลางควักถุงผ้าออกมาจากในอกเสื้อ