จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 836 ฝ่ามือเดียวซัดนางลอยกระเด็น
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 836 ฝ่ามือเดียวซัดนางลอยกระเด็น
พอคำนี้ออกมา ทุกคนที่ตามมาด้วยก็พากันซุบซิบวิจารณ์ เพราะหรงเอ๋อร์เป็นสาวใช้คนสนิทของวี่รั่วยี เป็นประเภทไปไหนก็ตามไปด้วย พวกเขาล้วนรู้จักกันหมด
หากบอกว่าหรงเอ๋อร์หยิบดอกกล้วยไม้ผิดไปนั้น ไม่มีใครเชื่อจริงๆ แต่ติดที่คุณหนูใหญ่กับฮูหยินเจ้าทะเลอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาเลยไม่กล้าพูดอะไร
สีเลือดบนใบหน้าวี่รั่วยีค่อยๆถดถอยออกไปเรื่อยๆ จิ่วฟ่างน่าตายนักวันนี้จงใจเป็นศัตรูกับตนใช่ไหม
พอคิดถึงความเย็นชาของเขาเมื่อคืน ยังซัดหรงเอ๋อร์กระเด็นไปอีก วี่รั่วยีโกรธจนตัวสั่นเทา
“จิ่วฟ่าง ตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องดอกกล้วยไม้ แต่เป็นเจ้าโดนคนปลอมแปลงมา แถมยังฆ่าศิษย์คนอื่นของเรือนตะวันตก บัดนี้คนพวกนี้ล้วนนอนอยู่ในเรือน เจ้ายังกล้าไม่ยอมรับอีกรึ
ขอร้องท่านแม่จับตัวจิ่วฟ่างขึ้นมา สืบสวนอย่างเข้มงวด ต้องล้างแค้นให้เหล่าศิษย์ของเรือนอวี๋ให้ได้นะ!” วี่รั่วยีพูดด้วยความเห็นใจ
จิ่วฟ่างเห็นนางทำท่าทางอ่อนแอเสแสร้งด้วยสีหน้าเย็นชา แต่กลับไม่พูดอะไร
เซียวหลันสั่งการด้วยสีหน้าเย็นชา “ใครก็ได้ ไปดูศิษย์เหล่านั้นสิ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
“ขอรับ!” คนพวกนั้นที่ตามมารีบไปตรวจอาการดูทันที และตรวจดูว่าพวกเขายังหายใจหรือไม่ จากนั้นพากันตกใจยิ่งนัก
“ฮูหยิน พวกเขาไม่หายใจแล้วจริงๆ” ทุกคนรีบกลับมารายงานทันที
วี่รั่วยีสีหน้าสาแก่ใจ “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
“งั้นขอถามคุณหนูใหญ่หน่อย ข้าฆ่าพวกเขาได้อย่างไรกัน?” จิ่วฟ่างถามเสียงเย็น
“ข้า ข้าจะรู้ได้อย่างไร ยังไงซะเจ้าก็จะตายแล้ว ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะแก้ตัวอย่างไรอีก” วี่รั่วยีย่อมพูดความจริงไม่ได้อยู่แล้ว
“งั้นข้าบอกคุณหนูใหญ่เอง พวกเขาโดนชีโถวอูพิษร้ายนี้เติบโตอยู่รอบๆเกาะเทียนหลงเท่านั้น เพราะว่าเป็นพิษร้าย ดังนั้นฮูหยินเจ้าทะเลเลยให้คนเฝ้าเอาไว้ เพื่อป้องกันคนเกิดเรื่อง
ระยะเวลาในการเดินเรือจากเรือนอวี๋มาเกาะเทียนหลงต้องใช้เวลาสามวัน นับจากขึ้นเกาะเทียนหลงมา ข้าก็อยู่ในเรือนตะวันตกนี่ตลอด จะมีแค่เดินเล่นรอบๆเท่านั้น ขอถามหน่อยว่าข้าจะไปเอายาพิษนี้มาได้อย่างไร
ชีโถวอูแช่อยู่ในน้ำมานานปี ดังนั้นฤทธิ์ของพิษเลยอ่อนมาก หากอยากจะวางยาพิษให้ศิษย์มากมายขนาดนี้ตาย จะอย่างไรก็ต้องเอาชีโถวอูมาตากแดดให้แห้งบดเป็นผงและใช้ในปริมาณมากถึงจะได้
มันมิใช่อะไรที่ทำเสร็จในเวลาแค่ไม่กี่วันแน่ อย่างน้อยต้องมีเป็นเดือน หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ข้ายังอยู่ที่เรือนอวี๋ ดังนั้นคุณหนูใหญ่ต่อให้จะใส่ความข้าก็ช่วยพูดให้สมเหตุสมผลหน่อยถึงจะดีนะ!”
จิ่วฟ่างเน้นย้ำทีละคำ แถมเป็นเหตุเป็นผลทุกคำ มันทำให้คนอื่นล้วนเห็นด้วย ทุกคนที่เดิมเชื่อวี่รั่วยี วินาทีนี้เริ่มสงสัยนางด้วย
ผู้อาวุโสคนหนึ่งเดินไปทางศิษย์คนหนึ่งที่นอนอยู่บนพื้น ตรวจสอบร่างกายเขา สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า “ฮูหยิน เขาโดนพิษชีโถวอูจริงๆ”
สีหน้าเซียวหลันเองก็ไม่น่าดูนัก นางให้คนเฝ้าชีโถวอูนี่ไว้ตลอด ไม่เคยให้ผู้ใดเข้าใกล้เลย นอกจากวี่รั่วยีแล้ว คนอื่นคงไม่หาญกล้าได้หรอก
วี่รั่วยีนี่ช่างบังอาจนัก ต่อให้นางอยากแก้แค้นที่โดนปฏิเสธ จะวางยาพิษฆ่าคนคนเดียวก็ได้แล้ว แต่นี่กลับฆ่าคนมากมายขนาดนี้ ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก สันดานเดียวกับแม่นางไม่มีผิด ดูท่าตนคงเก็บนางไว้ไม่ได้อีกแล้ว
“ใครก็ได้ นำตัวจิ่วฟ่างออกไป ข้าจะสอบสวนด้วยตัวเอง!” เซียวหลันออกคำสั่ง
“รอประเดี๋ยวก่อนท่านแม่ เขาจงใจแปลงโฉมเป็นจิ่วฟ่าง ลอบเข้ามาปะปนในเกาะเทียนหลง ไม่แน่อาจจะมาลอบฆ่าท่านแม่ก็ได้!” วี่รั่วยีพูดต่อไป
เซียวหลันเหล่มองจิ่วฟ่างอย่างระแวง “ข้าจะไม่มีวันยอมอนุญาตให้ใครหน้าไหนมาฆ่าคนเป็นผักปลาภายใต้สายตาข้าเด็ดขาด ยีเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้ามั่นใจ ก็ให้เจ้าเป็นคนเปิดโปงเสียเลย!”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” วี่รั่วยีรีบให้คนคุมตัวจิ่วฟ่างกดไว้ทันที
ครั้งนี้จิ่วฟ่างไม่ได้ดิ้นรน และไม่ได้ขัดขืน ยอมให้องครักษ์เหล่านั้นจับเขากดไว้โดยดี
วี่รั่วยีขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่น่าจะเป็นนิสัยจวินหย่วนโยวนี่นา เขาไม่ใช่มีนิสัยไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้รึ ทำไมยอมให้องครักษ์เหล่านี้คุมตัวง่ายๆได้เล่า
แน่นอน ความคิดนี้โผล่เข้ามาในหัววี่รั่วยีเพียงแวบเดียว นางในตอนนี้อยากเปิดโปงจวินหย่วนโยวใจแทบขาด จับเขาสับเป็นหมื่นๆชิ้น แน่นอนว่าย่อมไม่ได้คิดอะไรมาก
วี่รั่วยีค่อยๆเดินเข้าไปทีละก้าว สุดท้ายมาหยุดลงตรงหน้าจิ่วฟ่างและยื่นมือเข้าไปหาแก้มจิ่วฟ่าง
“เจ้าบังคับข้าเองนะ โลกนี้ไม่เคยมีใครกล้าปฏิเสธข้ามาก่อน!” วี่รั่วยีกระซิบเสียงเบาด้วยเสียงที่ได้ยินกันสองคน
จิ่วฟ่างมองนางด้วยสีหน้าหยามหยันและประชด “คนจิตใจชั่วช้าอำมหิตเช่นเจ้า เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ต่อให้ให้เปล่าข้าก็ไม่เอา!”
วี่รั่วยีโกรธจนมือสั่น “สารเลว งั้นเจ้าก็ไปตายซะเถอะ!” ระหว่างพูด ยื่นมือไปคว้าแก้มจิ่วฟ่างทันที
เพียงแต่การคว้าครั้งนี้ ไม่ได้จับเจอหน้ากากหนังมนุษย์ที่นางคาดไว้ แต่กลับทำใบหน้าจิ่วฟ่างเป็นรอยแดงหลายรอย
วี่รั่วยีมองใบหน้าจิ่วฟ่างอย่างอึ้งๆ “เป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้?”
นางลืมฐานะและการสำรวมไปชั่วขณะ รีบยื่นหน้าเข้าใกล้ใบหน้าจิ่วฟ่าง เบิกตากว้างมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ครั้งก่อนตอนนางช่วยรักษาจวินหย่วนโยวที่สลบอยู่ และได้เห็นหน้ากากหนังมนุษย์แผ่นบางราวกับปีกแมลง แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นร่องรอยต่อนั่นเลยสักนิด
วี่รั่วยีเริ่มลนลาน ขยุ้มหน้าจิ่วฟ่างอีกหลายที
นอกจากรอยเล็บแล้วไม่มีอย่างอื่นอีก
“ไม่จริง เจ้าเป็นตัวปลอม ไม่มีทางผิดแน่ หน้ากากเจ้าล่ะ?” วี่รั่วยียังคงไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“คุณหนูใหญ่บอกว่าข้าเป็นตัวปลอมตั้งแต่แรก ตอนนี้ทดสอบด้วยตัวเองแล้วยังพูดจาเลื่อนเปื้อนอีก หรือว่าฮูหยินเจ้าทะเลจะปล่อยให้บุตรสาวตนปรักปรำข้าตามใจชอบเยี่ยงนี้รึ
ถึงจะยังหาอาจารย์ข้าไม่เจอจนถึงตอนนี้ แต่ข้าก็เป็นศิษย์ระดับหนึ่งของเรือนอวี๋ เกาะเทียนหลงรังแกกันแบบนี้ คิดว่าเรือนอวี๋เราไม่มีใครแล้วงั้นรึ” จิ่วฟ่างแค่นเสียงเย็น พลางซัดฝ่ามือใส่วี่รั่วยีจนลอยกระเด็นไป
เพราะวี่รั่วยียังคงคิดถึงแต่หน้ากากหนังมนุษย์ของจิ่วฟ่าง ดังนั้นเลยไม่ทันรู้ตัว และไม่คิดว่าจิ่วฟ่างจู่ๆจะลงมือ นางโดนซัดลอยกระเด็นไปห้าหกเมตร พลางหล่นกระแทกพื้นอย่างแรง กระอักเลือดคำหนึ่งออกมา แต่ไม่ได้สลบไป
“จิ่วฟ่าง หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เซียวหลันตะคอกดังด้วยความโกรธ
“คนอย่างข้าแต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนไม่หาเรื่องใครก่อนอยู่แล้ว ในเมื่อคุณหนูใหญ่ใส่ร้ายข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าย่อมไม่ทนอยู่แล้ว
หรือว่าฮูหยินเจ้าทะเลเองก็สงสัยว่าข้าเป็นตัวปลอมด้วย หากเป็นเช่นนี้ ท่านให้ใครมาตรวจสอบดูก็ได้ หากข้าเป็นจิ่วฟ่างตัวจริง คุณหนูใหญ่ต้องขอขมาข้า!” จิ่วฟ่างกัดฟันบอก
“ผู้อาวุโสโจว ผู้อาวุโสหลิว พวกท่านสองคนไปตรวจด้วยตัวเองสิ!” เซียวหลันสั่งการด้วยเสียงเฉียบขาดอย่างน่าเกรงขาม
“ขอรับ!” ผู้อาวุโสสองท่านรีบเข้าไปทันที และตรวจใบหน้าจิ่วฟ่างอย่างละเอียดถี่ถ้วน ค้นตัวด้วย และไม่พบอะไรน่าสงสัยเลย
“เรียนฮูหยิน ใบหน้าเขาไม่มีร่องรอยการแปลงโฉมเลยจริงๆ” ทั้งสองคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน
คราวนี้ทุกคนพากันมองวี่รั่วยีอย่างรังเกียจ และยิ่งเชื่อเข้าไปใหญ่ว่า นี่เป็นการแก้แค้นของวี่รั่วยีที่ทำเพื่อแก้แค้นที่จิ่วฟ่างปฏิเสธนาง ทันใดนั้นภาพพจน์ของวี่รั่วยีในใจพวกเขานั้นหายไปหมดสิ้นเลย
“ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้ ข้าเคยเห็นหน้ากากหนังมนุษย์บนหน้าเขากับตา!” วี่รั่วยียืนกรานออกมาอีกครั้ง
คำพูดนี้ทำทุกคนตกตะลึงไปตามๆกัน ขนาดเซียวหลันยังมีสีหน้าประหลาดใจและเย็นชา
หากนางเห็นกับตาตนเองจริงๆ เหตุใดไม่มารายงานตน หรือว่าวี่รั่วยีจะแอบคิดไม่ซื่อ?