จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 850 หากเป็นดั่งเช่นแรกพบ หากเป็นดั่งเช่นความตั้งใจแรกเริ่ม
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 850 หากเป็นดั่งเช่นแรกพบ หากเป็นดั่งเช่นความตั้งใจแรกเริ่ม
“เจ้านั่นเอง!” ใบหน้าของชางหลันเย่เต็มไปด้วยความตกตะลึง รู้สึกยินดีเล็กน้อย ตื่นเต้นเล็กน้อย และประหลาดใจเล็กน้อย
นึกไม่ถึงว่านางยังอยู่ในวัง ถึงแม้จะผ่านไปนานหลายปี นางเติบโตแล้ว แต่ใบหน้านั้นยังมีปานของนางอยู่ ทำให้ชางหลันเย่จำนางได้ในทันทีที่เห็น
ตอนนั้น เขายังไม่ได้ถูกส่งตัวไปเป็นตัวประกันที่แคว้นต้าเยียน ถึงแม้จะมีฐานะเป็นถึงไท่จื่อ แต่กลับเป็นเพราะหมิงเฟยอ่อนแอ ไม่มีกองกำลังสนับสนุนจากราชสำนัก ดังนั้นจึงถูกองค์ชายรองและองค์ชายคนอื่นๆข่มเหงรังแกมาโดยตลอด
ในเวลานั้นหยางเฟยเรืองอำนาจ อิทธิพลบ้านแม่ก็แข็งแกร่ง นางเอาชนะใจทั้งราชสำนักและวังหลัง เต็มไปด้วยอำนาจและบารมี จงใจแอบหักเงินประจำเดือน อาหารเสื้อผ้าและที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะเมื่อหิมะตกในฤดูหนาว อากาศหนาวเหน็บ ถ่านไฟในลานของพวกเขาด้อยคุณภาพที่สุดเสมอ
จุดติดได้ยาก แถมยังมีควันเยอะ ทำให้คนสำลักและอึดอัดมาก
ตอนนั้นชางหลันเย่ก็เคยไปหาเสด็จพ่อ แต่ในตอนนั้นสี่แคว้นกำลังรบกันชุลมุน เสด็จพ่อยุ่งอยู่กับราชกิจทุกวัน ไม่มีเวลาสนใจพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
มีครั้งหนึ่งชางหลันเย่ไปคุยกับหยางเฟยด้วยเหตุผล แต่กลับถูกหยางเฟยโบยด้วยข้อหาที่ไม่มีอยู่จริง หลังจากที่ฮ่องเต้ทรงทราบกลับเพิกเฉยไม่แยแส
จนถึงตอนนี้ชางหลันเย่ก็ยังจำคืนที่หิมะตกหนักในฤดูหนาวนั้นได้ดี เขาได้รับบาดเจ็บแต่กลับไม่กล้าบอกเสด็จแม่ แอบร้องไห้อยู่ในมุมแห่งหนึ่งของพระราชวัง
เกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถ ยิ่งเกลียดที่ตัวเองไม่สามารถปกป้องเสด็จแม่ได้
นางที่เป็นนางกำนัลในตอนนั้นปรากฏตัวขึ้นมา นางถามเขาว่าเป็นอะไรไป ชางหลันเย่บอกว่าตัวเองกับเสด็จแม่ไม่มีถ่านไฟแล้ว เสด็จแม่ไม่ค่อยสบาย หากไม่มีถ่านไฟอีกเกรงว่าคงจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว
นางกำนัลน้อยบอกว่านางมีวิธี ดังนั้นจึงพาชางหลันเย่ไปที่มุมแห่งหนึ่งของลานหลังเรือนเคียง ที่นั่นนางเก็บสะสมกิ่งไม้แห้งเอาไว้
ในเวลาปกตินางรับผิดชอบทำความสะอาด เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวกิ่งไม้แห้งในวังก็จะร่วงหล่น เดิมทีต้องเข้าไปทิ้งในเตาหลอมเพื่อเผาทำลาย แต่ว่านางรู้สึกเสียดาย ก็เลยเก็บสะสมกิ่งไม้ทั้งหมดเอาไว้
นางกำนัลคนอื่นล้วนบอกว่านางโง่ กิ่งไม้หักสองสามท่อนไม่ใช่ของมีค่าอะไรเสียหน่อย ผู้ดูแลก็ไม่ได้สนใจ ขอเพียงไม่ทำให้งานล่าช้าก็พอ
เป็นเพราะกิ่งไม้แห้งพวกนั้นช่วยให้ชางหลันเย่กับหมิงเฟยผ่านค่ำคืนที่หนาวเหน็บและมืดมิดในแต่ละคืนไปได้ ชางหลันเย่รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
คนหนึ่งคือไท่จื่อที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบ มีแค่เพียงตำแหน่งเท่านั้น คนหนึ่งคือนางกำนัลอัปลักษณ์ที่ต่ำต้อยที่สุดในเรือนเคียง ทั้งสองคนล้วนเป็นคนที่ถูกรังเกียจ ชิงชัง ดูถูกเหยียดหยาม บางทีอาจเป็นเพราะโดดเดี่ยวเหมือนกัน ดังนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
นางกำนัลน้อยเล่าเรื่องของเรือนเคียงให้เขาฟังมากมาย ชางหลันเย่สอนนางอ่านและเขียนหนังสือ
ต่อมาชางหลันเย่ถูกส่งไปเป็นตัวประกันที่แคว้นต้าเยียน ก็ไม่ได้เจอนางอีกเลย
หลังจากที่ชางหลันเย่กลับวัง ก็ยุ่งอยู่กับการจัดการหยางเฟยและคนอื่นๆ เคยส่งคนตามหานางอย่างลับๆ แต่เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว เรือนเคียงเปลี่ยนคนไปหลายครั้งแล้ว ย่อมไม่มีใครรู้เป็นธรรมดา
ชางหลันเย่ก็เลยยอมแพ้ไป คำนวณจากอายุ นางน่าจะออกจากวังไปนานแล้ว
แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางยังอยู่ในพระราชวัง แถมยังถูกตนเองพบว่านางถูกรังแกอีก
“ใช่เจ้าจริงๆด้วย นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังไม่ได้ออกจากวัง รีบลุกขึ้นมาพูดเถิด” ชางหลันเย่ยื่นมือไปดึงนางขึ้นมา
นางกำนัลตกใจจนรีบถอยหลังทันที “ฝ่าบาทไม่ได้นะเพคะ พระองค์มีฐานะสูงส่ง บ่าวกลัวจะทำให้เสื้อผ้าของพระองค์สกปรก”
“หากว่าตอนนั้นไม่มีความช่วยเหลือของเจ้า เกรงว่าข้ากับเสด็จแม่คงจะไม่สามารถรอดมาจากฤดูหนาวที่หนาวเหน็บนั่นได้ ดังนั้นเจ้าคือผู้มีพระคุณของข้ากับเสด็จแม่ ต่อไปเจ้าก็อยู่ปรนนิบัติข้างกายข้าเถอะ” ชางหลันเย่เอ่ยปาก
นางกำนัลมองดูชางหลันเย่อย่างตะลึงงัน นัยน์ตาแดงก่ำในชั่วพริบตา ร้อยพันคำพูดอยู่ติดอยู่ในลำคอ แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ
ฝ่าบาทในตอนนี้ไม่ใช่ไท่จื่อที่ไม่ได้รับความโปรดปรานคนนั้นอย่างในอดีตนานแล้ว แต่เป็นฝ่าบาทแห่งแคว้นชางเยว่ ในแต่ละวันเขามีงานยุ่งมากมาย นึกไม่ถึงว่ายังจำตนเองได้ ยังจำเหตุการณ์ในตอนนั้นได้ นี่ทำให้นางกำนัลซาบซึ้งอย่างยิ่ง
หลายปีมานี้ นางไม่ได้เสียเวลารออย่างไร้ประโยชน์
“ฝ่าบาท นี่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์”
“ข้าก็คือกฎเกณฑ์ ต่อไปเจ้าชื่อรั่วชูก็แล้วกัน หากเป็นดั่งเช่นแรกพบ หากเป็นดั่งเช่นความตั้งใจแรกเริ่ม นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าก็คือสาวใช้ระดับหนึ่งข้างกายของข้า!” ชางหลันเย่กล่าวจบ ก็หันหลังจากไป
น้ำตาของนางกำนัลไหลพรากลงมาราวกับน้ำพุ นางรู้ว่าฝ่าบาทไม่อยากให้นางถูกรังแกอีก และกำลังช่วยนางอยู่
“รั่วชู ขอบพระทัยฝ่าบาทที่พระราชทานชื่อให้!”
ในวันนี้ รั่วชูเลื่อนตำแหน่งจากนางกำนัลที่ต่ำต้อยที่สุดเป็นนางกำนัลระดับหนึ่งข้างกายฮ่องเต้ แถมยังเป็นประเภทที่ปรนนิบัติอย่างใกล้ชิด นี่คือสิ่งที่นางไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึง
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ล้วนเป็นความเมตตาในตอนนั้น
หลังจากที่ชางหลันเย่กลับไป ก็เรียกหมอหลวงมาช่วยตรวจรักษาใบหน้าให้รั่วชูทันที มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่รักสวยรักงาม ยิ่งไปกว่านั้นรอยแผลเป็นบนใบหน้าของนางอยู่ซีกซ้ายของใบหน้าพอดี
เพียงแต่ว่าหมอหลวงทุกคนตรวจวินิจฉัย และหารือกันแล้ว สุดท้ายต่างก็บอกว่าจนหนทาง เพราะนี่คือปานที่ติดมาจากครรภ์มารดา
“ฝ่าบาท บ่าวเคยชินกับมันแล้ว ไม่ต้องรบกวนบรรดาหมอหลวงแล้ว” รั่วชูกล่าวขอบคุณ
“ไม่เป็นไร หลายฝูพารั่วชูไปจัดหาที่พัก และสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตให้เรียบร้อย” ชางหลันเย่ออกคำสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ!”
จู่ๆชางหลันเย่ก็นึกถึงหยุนถิงขึ้นมา ตอนนั้นบนใบหน้าของนางก็มีปานที่อัปลักษณ์อย่างยิ่งไม่ใช่หรือ ตอนนี้หยุนถิงงดงามไม่มีใครเทียบเทียม คิดดูแล้วนางต้องมีวิธีแน่นอน ชางหลันเย่เขียนจดหมายให้คนส่งไปที่แคว้นต้าเยียนอย่างเร่งด่วนทันที
และหยุนถิงแห่งแคว้นต้าเยียน ได้รับจดหมายของชางหลันเย่ก็เป็นเวลาสิบวันหลังจากนั้นแล้ว
มองดูเนื้อหาบนจดหมาย หยุนถิงเลิกคิ้วขึ้นมา “ท่านพี่ ชางหลันเย่ถามวิธีกำจัดปานบนใบหน้าของผู้หญิงกับข้า หรือว่าเขามีคนที่ชอบแล้ว?”
จวินหย่วนโยวกำลังอุ้มลูกชายเล่นอยู่ มองมา “สายที่แคว้นชางเยว่รายงานมาว่า ชางหลันเย่เลื่อนตำแหน่งนางกำนัลระดับล่างขึ้นมาเป็นนางกำนัลส่วนตัวระดับหนึ่ง เพราะนางกำนัลคนนั้นเคยช่วยเขาในตอนเด็ก”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง งั้นข้าเขียนจดหมายตอบเขา” หยุนถิงเขียนจดหมายขึ้นมาสองหน้า พร้อมแนบขวดยาโอสถไปหลายขวด ให้คนส่งกลับไปทันที
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เรามาเล่นด้วยกันเถอะ!” จวินเสี่ยวเทียนเอ่ยปากขึ้นมา
ตั้งแต่พ่อแม่กลับมา เจ้าเด็กน้อยสองคนก็ติดกันแจ อย่างไรเสียก็ไม่ได้พบเจอพ่อแม่มาหลายเดือนแล้ว
“ตกลง วันนี้พาพวกเจ้าสองคนไปเล่น” จวินหย่วนโยวกล่าว
“ท่านพ่อใจดีจริงๆ”
พ่อบ้านให้คนไปเตรียมอาหารเครื่องดื่มและของเล่นทันที จากนั้นจวินหย่วนโยวก็พาหยุนถิงกับลูกสองคนออกเดินทาง
นอกเมืองในเขตชานเมืองตะวันออก ตอนนี้เข้าสู่ช่วงฤดูร้อนแล้ว ต้นหญ้าเขียวขจี ต้นไม้ร่มรื่น ลมพัดเอื่อยๆ ทำให้สดชื่นมาก
จวินเสี่ยวเทียนกับจวินเสี่ยวเหยียนลงมาจากรถม้าทันที มองเห็นไม่ไกลออกไปก็มีคนไม่น้อยกำลังเล่นกันอยู่ เด็กสองคนโห่ร้องด้วยความดีใจไม่รู้จบ
“ท่านพ่อ ว่าว เล่นว่าว!” จวินเสี่ยวเทียนเอ่ยปาก
“ท่านแม่ ข้าจะเด็ดดอกไม้!” จวินเสี่ยวเหยียนกล่าว
“ได้ ได้”
พ่อบ้านนำว่าวมาทันที จวินหย่วนโยวเล่นพร้อมกับเขา และหยุนถิงก็หยิบตะกร้ามาหนึ่งอัน เด็ดดอกไม้ป่าริมถนนที่อยู่ไม่ไกลออกไปพร้อมกับจวินเสี่ยวเหยียน
ซูหลินกับเยว่เอ๋อร์หาพื้นที่โล่งกางกระโจมทันที นำอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดออกมา
ขณะที่หลิงเฟิงกับรั่วจิ่งทำเตาย่าง หลงเอ้อก่อไฟ หลงซานถือไม้เสียบเริ่มย่างขึ้นมา
แสงแดดที่อบอุ่นสาดส่องมายังทุกคน พร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจของเด็กๆ มีความสุขและอบอุ่นเช่นนี้
ไม่ไกลออกไป หลีอ๋องกับเป่ยตันเสวี่ยที่ออกมาเดินเล่นได้ยินเสียงจากทางด้านนี้ หันหน้าก็เห็นภาพฉากนี้
ไม่ไกลออกไปจวินเสี่ยวเหยียนถือดอกไม้กำลังช่วยหยุนถิงใส่เอาไว้บนศีรษะ ดอกไม้นั่นธรรมดามาก ใส่เอาไว้บนเส้นผมของหยุนถิงกลับดูมีรูปแบบที่แตกต่างไปเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ชั่วขณะหนึ่งโม่ฉือหานจ้องมองอย่างตกอยู่ในภวังค์ เป่ยตันเสวี่ยที่อยู่ด้านข้างเห็นทั้งหมดนี้ในสายตา มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำหมัดเอาไว้แน่น