จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 887 เจ้ามาได้อย่างไรน่ะ
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 887 เจ้ามาได้อย่างไรน่ะ
หากมิใช่เพราะเมื่อครู่ได้ฟังความจริงจากหยุนเฉิงเซี่ยง หมอยมบาลคงซาบซึ้งไปแล้ว
หยุนซูมองหงหลิง คิดถึงคำพูดที่พี่หญิงใหญ่บอกตนก่อนออกเดินทาง พลางว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ในเมื่อนางรักมั่นคงต่อพี่ชายห้า เช่นนั้นก็ให้นางอยู่เถอะ”
ซูชิงโยวที่เดิมลำบากใจ พอเห็นหยุนซูพูดแบบนี้ก็ได้แต่เห็นด้วย “เช่นนั้นก็อยู่เถอะ”
“ขอบคุณฮูหยินน้อยมาก ขอบคุณคุณหนูสาม” หงหลิงซาบซึ้งใจนัก
พวกหมอยมบาลพึ่งออกไปได้ไม่นาน หยุนเฉิงเซี่ยงก็ฟื้นแล้ว เขาลากสังขาร “อ่อนแอ”เข้าวังไป ใครห้ามก็ห้ามไม่อยู่
พอหงหลิงเห็นหยุนเฉิงเซี่ยงออกไป ก็ลอบถอนหายใจโล่งอก หยุนเฉิงเซี่ยงเป็นขุนนางเก่าแก่ ฝ่าบาทต้องไว้หน้าเขาอยู่บ้าง
เดิมซูชิงโยวอยากตามไปด้วย แต่สตรีอย่างนางไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ บุตรสาวภรรยารองอย่างหยุนซูไม่มีสิทธิ์เข้าเฝ้าหน้าพระพักตร์ พี่หญิงใหญ่และพี่เขยซื่อจื่อบัดนี้ล้วนไม่อยู่ในเมืองหลวง หยุนซูไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี นางเลยได้แต่ไปหาซุนฟั่ง
พอซุนฟั่งเห็นหยุนซูมา ก็ประหลาดใจมาก “ซูเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไรน่ะ?”
เขาช่วยหยุนถิงดูแลควบคุมเรื่องการข่าว ยุ่งมาก บางครั้งก็ไม่ได้เจอหยุนซูเป็นสิบวันหรือครึ่งเดือนก็มี นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาหาซุนฟั่งก่อน
“ซุนฟั่ง เจ้ามีหนทางติดต่อพี่หญิงใหญ่หรือไม่ พี่ชายห้าเกิดเรื่องแล้ว ข้าแอบตัดสินใจโดยพลการให้หงหลิงอยู่ที่จวนต่อ แต่ไม่รู้จะรับมืออย่างไรดี” หยุนซูบอกอย่างกังวล
ซุนฟั่งกุมมือนางไว้ “ซูเอ๋อร์อย่ากังวลไปเลย เดิมข้าจะไปหาเจ้าพอดี นกพิราบสื่อสารของซื่อจื่อเฟยพึ่งมาพอดี เจ้าดูสิ”
หยุนซูสีหน้ายินดี รีบรับมา พอเห็นลายมืออันคุ้นเคยของพี่หญิงใหญ่ หยุนซูถึงสบายใจขึ้น
“สมเป็นพี่หญิงใหญ่ ตัวนางไปแคว้นเป่ยลี่ยังคิดถึงเรื่องพวกนี้อีก”
“ซื่อจื่อเฟยรอบคอบละเอียดอ่อน เฉลียวฉลาดมีไหวพริบ ย่อมไม่มีทางให้ตระกูลหยุนเกิดเรื่องแน่นอน” ซุนฟั่งปลอบ
“คราวนี้ข้าไม่กังวลแล้วล่ะ ข้าจะรีบนำจดหมายนี้กลับไปให้พี่สะใภ้ใหญ่ดู นางเป็นห่วงแทบตายแล้ว” หยุนซูหยิบจดหมายออกไป
“ข้าไปส่งเจ้านะ” ซุนฟั่งบอกอย่างไม่อยากให้ไป
พอถึงหน้าประตูจวนตระกูลหยุน ซุนฟั่งไม่ได้เข้าไป แต่กลับควักของที่ห่อผ้าไว้ออกจากในอกเสื้อ “นี่ข้าทำเองนะ ให้เจ้า”
หยุนซูรับมาทันที “ขอบคุณมาก” พูดจบก็เข้าจวนไป
ซุนฟั่งเห็นท่าทางร้อนใจของนางก็เข้าใจ พอเห็นหยุนซูเข้าไป เขาถึงกลับ
ส่วนหยุนซูที่พึ่งกลับมา ก็พุ่งไปห้องซูชิงโยวทันที “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ามีข่าวดีมาบอกท่าน พี่หญิงใหญ่นาง—“
ซูชิงโยวส่ายหัวให้นางทันที จากนั้นมองไปทางนอกประตู พอเห็นไม่มีใคร รีบเดินเข้าม่าปิดประตูทันที
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านทำลึกลับขนาดนี้ทำไมรึ?” หยุนซูไม่เข้าใจ
ซูชิงโยวถามเสียงต่ำ “เจ้าจะพูดอะไรกับข้ารึ?”
“พี่หญิงใหญ่ส่งจดหมายมา ท่านดูสิ เรื่องของพี่ชายห้ามีความคืบหน้าแล้ว เขาไม่เป็นอะไรหรอก” หยุนซูรีบยื่นจดหมายให้ทันที
ซูชิงโยวรับมาดู นางบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้ารู้ ท่านพ่อแกล้งสลบน่ะ เป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่แสดงน่ะ”
ซูชิงโยวเล่าเรื่องที่หยุนเฉิงเซี่ยงสลบออกมา ทำเอาหยุนซูตะลึงประหลาดใจนัก “นี่คือพวกท่านร่วมมือกันหลอกทุกคนงั้นสิ แม้แต่ข้ายังหลอกด้วย”
ทั้งสองคนพูดคุยกัน ก็มีคนรับใช้เข้ามารายงานว่า “ฮูหยินร้อย คุณหนูสามแย่แล้ว ด้านนอกจวนตระกูลหยุนโดนกองทัพหลวงล้อมไว้หมดแล้ว”
หงหลิงที่คอยจับสังเกตสถานการณ์ทางนี้อยู่นอกเรือนได้ยินเข้าพอดี นางสีหน้าซีดเผือด อึ้งงงอยู่นานไม่รู้ตัวเลย
นางพลันรู้สึกเสียใจที่ขออยู่ที่นี่แล้ว แต่ตอนนี้กลับจากไปไม่ได้เสียแล้ว
ซูชิงโยวรีบพาหยุนซูไปที่หน้าประตู แต่กลับโดนกองทัพหลวงห้ามไว้ “ฝ่าบาทมีคำสั่ง จวนตระกูลหยุนห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออก ผู้ฝ่าฝืนฆ่าได้เลยไม่ต้องรายงาน!”
ซุชิงโยวตกใจตัวสั่นเทา “แล้วไห่เทียนเล่า ท่านพ่อล่ะ พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูกงกงที่เร่งรีบมาส่ายหัวบอก “ฮูหยินน้อย หยุนเฉิงเซี่ยงเป็นลมสลบไปในวัง แม่ทัพใหญ่เพราะโต้แย้งฝ่าบาทเลยโดนจับขังคุก สถานการณ์แย่มากๆ เพราะครั้งนี้คุณชายห้าเกี่ยวพันกับเรื่องก่อกบฏ นี่เป็นโทษหนักที่ประหารเก้าชั่วโคตรทีเดียว!”
“ซูกงกง พี่ชายห้าไม่มีทางก่อกบฏหรอก เขาเป็นแค่หนอนหนังสือคนหนึ่งเท่านั้น” หยุนซูบอกอย่างกังวล
“หนอนหนังสือกลับเขียนบทกลอนก่อกบฏออกมาในวันนี้ และจดหมายหลายฉบับในนั้นล้วนเป็นสัญญาณลับที่ไว้ใช้ติดต่อกับพวกกบฏ ข้าเห็นแก่หน้าซื่อจื่อเฟยเลยมาเตือนพวกท่าน
พวกท่านล้วนเป็นสตรี หากตอนนี้ไปจากตระกูลหยุน บางทีอาจจะยังพอมีโอกาสรอด หากยังดื้อรั้น พอคุณชายห้าโดนลงโทษจริงๆ นั่นน่ะโทษประหารเก้าชั่วโคตรนะ!” ซูกงกงเตือนเสียงเบา
ถึงเสียงจะไม่ดัง แต่ก็โดนหงหลิงได้ยินเข้าพอดี นางตกตะลึงยิ่งนัก
คิดไม่ถึงเลยว่า เจ้าห้าจะเกี่ยวข้องกับองค์กรกบฏ
“ขอบคุณความหวังดีของซูกงกงนัก แต่ข้าไม่มีทางยืนดูท่านพ่อและไห่เทียนเกิดเรื่องได้ หากให้ซื่อจื่อเฟยออกหน้าเล่า?” ซูชิงโยวถาม
“ฮูหยินน้อยอาจยังไม่ทราบ จวินซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยเร่งรีบกลับมากลางดึก และเข้าวังไปแต่เช้าแล้ว แต่กลับโดนฝ่าบาทด่ากราด เพราะเรื่องก่อกบฏไม่เหมือนเรื่องอื่น
ข้าน้อยแอบฟังได้ความว่า จวินซื่อจื่อใช้ห้าสิบเมืองแลกชีวติของคุณชายเซวี่ยน ต่อให้ไม่ฆ่าก็ต้องเนรเทศ ไม่อาจกลับเมืองหลวงได้ตลอดชีวิต
คำพูดนี้พวกท่านอย่าได้พูดออกไปเชียว การแอบเปิดเผยคำสั่งของฝ่าบาทนั้นต้องโทษประหารเชียวนะ ข้าน้อยขอลาล่ะ” ซูกงกงหมุนตัวจากไป
หงหลิงเข่าอ่อนแทบทรุดลงพื้น โชคดีที่พ่อบ้านพยุงนางไว้ได้ทัน “แม่นางหงหลิง ท่านมิเป็นไรใช่หรือไม่?”
“ข้า ข้าไม่เป็นไร” หงหลิงพยายามยืนหยัด
ซูชิงโยวหันมามองนาง “พ่อบ้าน เจ้าส่งแม่นางหงหลิงกลับไปพักผ่อนเถิด”
“ขอรับ!”
“งั้นหงหลิงไม่รบกวนแล้ว” หงหลิงหมุนตัวจากไปอย่างรู้งาน
ซูชิงโยวดึงหยุนซูกลับไปห้องตนเองทันที และส่งคนสนิทของตนส่งหยุนซือถิงกลับตระกูลซู
“พี่สะใภ้ใหญ่ ทำไมท่านส่งซือถิงไปล่ะ?” หยุนซูแสร้งถามอย่างไม่เข้าใจ
“เมื่อครู่เจ้าก็ได้ยินคำพูดซูกงกงแล้ว น้องห้าน่ะโทษหนักก่อกบฏนะ จวินซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยออกหน้าก็ทำได้แค่ให้เขาโดนเนรเทศไปชายแดน เช่นนั้นข้าย่อมไม่อาจให้ซือถิงเสี่ยงอันตรายได้ เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของข้า” ซูชิงโยวตอบ
“จะว่าไปก็จริง แต่พี่ชายห้ายังไม่ได้แต่งงานมีลูก หากเนรเทศเขาไป ต่อไปมิเท่ากับสิ้นลูกสิ้นหลานรึ” หยุนซูเครียด
“เจ้าโง่รึ ก็มีอยู่แล้วนี่ไง พวกเราให้น้องห้าแต่งงานกับหงหลิงก่อนโดนเนรเทศ หากพวกเขาสองคนมีลูกกัน ก็รับกลับมา เท่านี้ก็มิถือว่าสิ้นลูกสิ้นหลานแล้ว” ซูชิงโยวเสนอ
“พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูกต้องนัก หงหลิงรักมั่นต่อพี่ชายห้านัก นางยอมตายเพื่อเขาด้วยซ้ำ บัดนี้ให้นางตามพี่ชายห้าไปทนทุกข์ที่ชายแดน ก็ดีกว่าตายกระมัง” หยุนซูเป็นห่วง
“นางอยากขออยู่ต่อเองก็โทษพวกเราไม่ได้แล้ว ให้พวกเขาทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุก ถึงเวลานั้นนางก็เป็นคนของตระกูลหยุน ไม่ยอมก็ต้องยอม”
“พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูกต้องนัก ข้าจะไปติดสินบนผู้คุม คืนนี้ส่งหงหลิงไปคุกหลวง”
ด้านนอกห้อง หงหลิงแอบฟังพวกนางคุยกันอย่างระมัดระวัง อึ้งตะลึงบื้อไปเลย มือปิดปากไม่ให้ตนเองร้องออกมา
พวกนางกล้าวางแผนใส่ตน ยังอยากให้ตนทำข้าวสารเป็นข้าวสุกกับเจ้าห้า และยังอยากให้คนตามเขาไปชายแดน เป็นไปได้อย่างไรกัน หงหลิงไม่มีทางรับปากแน่นอน