จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 896 ข้าช่วยเจ้าไว้เอง
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 896 ข้าช่วยเจ้าไว้เอง
“ฮูหยิน ฮูหยินท่านเป็นอะไรรึ ใครก็ได้ ฮูหยินสลบไปอีกแล้ว!” สาวใช้ร้องเสียงดังทันที
เหิงจิ่วองครักษ์ด้านนอกประตูได้ยินเสียงร้อง ก็มีสีหน้าดูถูก แต่ก็ออกไปอยู่ดี แต่เขามิได้ออกไปเชิญท่านหมอ และไม่ได้ไปรายงานต่อรั่วเฉิงเซี่ยง แต่กลับพุ่งไปห้องคุณหนูใหญ่ทันที
ก่อนหน้านี้ฮูหยินรองเกือบตีเขาจนตายเพราะเรื่องเล็กน้อย เป็นคุณหนูใหญ่ที่ขอร้องและช่วยเขาไว้ ดังนั้นเหิงจิ่วเลยซาบซึ้งในบุญคุณของคุณหนูใหญ่มาก
การที่เขากลับมายังเรือนของฮูหยินรอง แน่นอนว่าเพื่อช่วยคุณหนูใหญ่จับตาดูฮูหยินรองไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ฮูหยินรองทำร้ายคุณหนูใหญ่
ตอนนี้รั่วเฟิงซีเองพึ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน บาดแผลได้รับการรักษาแล้ว นางดื่มยา และเริ่มรู้สึกตัวขึ้น
“คุณหนูใหญ่ เหิงจิ่วขอเข้าพบ!” ซีเอ๋อร์ที่เป็นสาวใช้บอกขึ้น
“ให้เขาเข้ามา” รั่วเฟิงซีบอก
“เจ้าค่ะ!”
เหิงจิ่วเดินเข้ามาคารวะทันที “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินรองพึ่งตื่น พอได้ยินว่าคุณหนูรองโดนส่งไปสำนักบำเรอ ร่ำร้องว่าจะไปช่วยคน สุดท้ายยังไม่ทันออกจากเรือนก็สลบไปอีก”
รั่วเฟิงซีดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย “หลายปีมานี้ฮูหยินรองลงทุนลงแรงไปกับจื่ออวิ้นไม่น้อย หากเป็นคนทั่วไปก็ช่างเถิด แต่นางกลับเป็นศัตรูกับจวินหย่วนโยว ดังนั้นได้แต่ต้องทนรับความซวยไป”
“คุณหนูใหญ่ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?” เหิงจิ่วถาม
“ในเมื่อฮูหยินรองไม่เคลื่อนไหวเอง ข้าจะช่วยนางอีกแรง ซีเอ๋อร์เตรียมเครื่องเขียนเสีย” รั่วเฟิงซีลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะหนังสือ
“เจ้าค่ะ!” ซีเอ๋อร์รีบฝนหมึกทันที
พอรั่วเฟิงซียกแขนขึ้นก็โดนไหล่ เจ็บจนนางขมวดคิ้ว
ทำเอาเหิงจิ่วยิ่งเป็นห่วงหนัก “คุณหนูใหญ่ ท่านจะเขียนอะไรรึ ให้ข้าเขียนแทนได้หรือไม่”
“ไม่ต้อง ครั้งนี้เจ้าเขียนแทนไม่ได้ อีกครู่ส่งไปตระกูลโค่วนะ ให้เจ้าตระกูลตระกูลโค่วก็พอ” รั่วเฟิงซีหยิบพู่กันขึ้นมาเขียน
“ขอรับ!”
รอจนหมึกแห้งแล้ว เหิงจิ่วรีบพับจดหมายเข้าอกเสื้อ และหมุนตัวพุ่งไปหน้าประตูทันที
รั่วเฟิงซีมองตามแผ่นหลังเขา ยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
หลายปีมานี้ ท่านพ่อแค่เห็นแก่ตระกูลโค่วเท่านั้น ถึงได้ทนกับฮูหยินรองขนาดนี้ หากไม่มีตระกูลโค่ว จุดจบฮูหยินรองจะเป็นอย่างไรนั้นก็พอคาดเดาได้เลย
ตอนนั้นหากมิใช่เพราะฮูหยินรอง ท่านแม่ก็คงไม่ต้องตายอนาถ รั่วเฟิงซีอดกลั้นมาหลายปี ในที่สุดก็รอจนได้โอกาสล้างแค้นให้ท่านแม่แล้ว
เหิงจิ่วอยู่ที่เรือนฮูหยินรองมาหลายปี แอบเก็บสะสมทุกอย่างที่มีลายมืออย่างเช่นบัตรเชิญของฮูหยินรองอย่างลับๆ จากนั้นก็มอบให้รั่วเฟิงซี
ส่วนรั่วเฟิงซีก็คอยคัดลอกลายมือฮูหยินรองมาตลอด วันนี้มาถึงขั้นที่สามารถเหมือนจริงได้แล้ว ย่อมเอามาใช้เสียที
ตระกูลโค่ว
พอองครักษ์หน้าประตูได้ยินว่าฮูหยินรองส่งมา ก็รีบพาเหิงจิ่วเข้าไปพบนายท่านทันที
“ฮูหยินรองเกิดอะไรขึ้นรึ?” โค่วซ่างซูถาม
เรื่องรั่วจื่ออวิ้นโดนตัดลิ้นนั้น ตระกูลโค่วก็ได้ยินข่าวมาเหมือนกัน นางโค่วเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของนายท่านโค่ว รั่วจื่ออวิ้นก็เป็นหลานตาเพียงคนเดียวของโค่วซ่างซูอีก โค่วซ่างซูย่อมต้องร้อนใจอยู่แล้ว
“เรียนใต้เท้าซ่างซู ฮูหยินให้ข้ามาส่งข่าวท่าน” เหิงจิ่วพูดพลางควักจดหมายนั้นออกมาจากในอกเสื้อ
โค่วซ่างซูรีบเปิดออกอ่านทันที พอเห็นลายมือบนจดหมาย ก็ตื่นเต้นเคร่งเครียดยิ่งนัก “ฮูหยินรองเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“พอฮูหยินได้ยินว่า คุณหนูรองโดนตัดลิ้นก็เสียใจจนสลบไปแล้ว บอกว่าต่อให้ตัวตายก็จะช่วยคุณหนูรองให้ได้ ต่อมานายท่านยับยั้งไว้ ฮูหยินรองเสียใจอย่างหนักสลบไม่ได้สติเลย
กว่านางจะฟื้นอีกที ก็ได้ยินว่าคุณหนูรองถูกส่งไปสำนักบำเรอ ก็ร้อนใจจนกระอักเลือดเลย นางบอกว่าคุณหนูรองเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของนาง จะไม่มีวันยอมให้หญิงสาวบริสุทธิ์อยู่ในสถานที่อย่างสำนักบำเรอเด็ดขาด
ดังนั้นขอร้องใต้เท้าซ่างซูช่วยคุณหนูรองของเราให้ได้นะ ให้ข้าเป็นวัวเป็นควายรับใช้ ข้าก็ยินดี” เหิงจิ่วตอบอย่างนอบน้อม สีหน้าร้อนใจยิ่งนัก
โค่วซ่างซูเห็นเขาจงรักภักดีเช่นนี้ ก็ไม่สงสัยอะไรเขา “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปบอกนางโค่วให้พักรักษาตัวให้ดี ข้าจะต้องคิดหาหนทาง ไม่มีวันยอมให้หลานสาวข้าไปอยู่ในที่เช่นนั้นแน่”
“ขอบคุณใต้เท้าซ่างซู ขอบคุณมาก!” เหิงจิ่วซาบซึ้งใจยิ่งนัก ถึงได้จากไป
“นายท่าน ท่านคิดจะช่วยคุณหนูจื่ออวิ้นอย่างไรได้แล้วรึ?” พ่อบ้านถามเสียงเบา
“ในเมื่อนางถูกพาตัวไปสำนักบำเรอ ย่อมเป็นราชโองการของฝ่าบาท ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้า จื่ออวิ้นเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของข้า ข้าไม่มีวันยอมให้นางต้องไปอยู่ในสถานที่ชั้นต่ำอย่างสำนักบำเรอเด็ดขาด!” โค่วซ่างซูถลึงตาโกรธขึ้ง
พระราชวัง
เป่ยหมิงฉี่กำลังคุยเล่นกับจวินหย่วนโยวและหยุนถิงในสวน เด็กสองคนวิ่งเล่นในอุทยานหลวงอย่างสนุกสนุน กำลังวิ่งไล่จับผีเสื้อ จากนั้นพลันมีขันทีน้อยคนหนึ่งพุ่งเข้ามา
“ฝ่าบาท โค่วซ่างซูขอเข้าเฝ้า!”
เป่ยหมิงฉี่สีหน้าเย็นชาทันที “ไม่พบ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“เกิดเรื่องรั่วจื่ออวิ้นนี้ขึ้น เจ้าน่าจะยุ่งมาก ไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนข้ากับท่านพี่หรอก” หยุนถิงบอก
“ไม่ยุ่ง หลายปีมานี้รั่วเฉิงเซี่ยงถือดีว่าตนเป็นขุนนางเก่าแก่ มักจะค้านข้าเสมอ ส่วนโค่วซ่างซูก็เป็นพวกไม้หลักปักไม้เลย พอดีเลยได้อาศัยเรื่องพวกเจ้ามากำราบพวกเขาสักหน่อย” เป่ยหมิงฉี่ตอบอย่างเปิดอก
“เช่นนั้นเท่ากับข้ากับท่านพี่ช่วยเจ้าแล้วสิ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นข้าเลยให้คนเตรียมสุราอาหารไว้แล้ว” เป่ยหมิงฉี่บอก
“ไม่ต้องรีบหรอก มาพูดเรื่องเจ้ากับรั่วเฟิงซีดีหรือไม่?” หยุนถิงมองมา
เป่ยหมิงฉี่สีหน้าเครียดทันที “เหตุใดจู่ๆก็ถามเช่นนี้?”
“ตามหลักแล้วเป็นเรื่องในครอบครัวเจ้า และยิ่งเป็นเรื่องแคว้นเจ้า ข้าไม่ควรพูดมาก แต่ดูรั่วเฟิงซีแล้วนิสัยไม่เลว หากเจ้าไม่ชอบนาง ก็ควรจะปล่อยนางให้เป็นอิสระ!” หยุนถิงบอก
“นางบอกเจ้าว่าไม่อยากแต่งงานกับข้ารึ?” เป่ยหมิงฉี่ใจกระตุก
“ก็เปล่า แต่ในเมื่อนางเป็นฮองเฮาของเจ้า เจ้ากลับปล่อยให้นางโดนตามฆ่า มันดูจะใจไม้ไส้ระกำไปเสียหน่อย” หยุนถิงซุบซิบ
“ก็มีพวกเจ้าไม่ใช่รึ ข้าคำนวณว่านางจะได้เจอพวกเจ้า และเจ้ากับจวินหย่วนโยวก็ชอบช่วยเหลือคนอีก ย่อมไม่มีทางไม่ช่วยอยู่แล้ว”
“เป่ยหมิงฉี่ นี่เจ้าคิดแผนการกับข้างั้นรึ?” จวินหย่วนโยวพูดเสียงเย็นชาลอยมา
เป่ยหมิงฉี่สะท้าน “จวินหย่วนโยวเจ้าอย่าพูดซี้ซั้วนะ จะเรียกว่าคิดแผนการได้อย่างไร พวกเจ้าน่ะกล้าหาญ ชอบช่วยเหลือคน อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ใจดำกับนางนะ เพียงแต่ไม่อยากให้นางไม่อาจรับมือกับแผนการร้ายกับการแก่งแย่งชิงดีในวังหลังภายภาคหน้าได้”
หยุนถิงเห็นเขาพูดเช่นนี้ แอบถอนหายใจโล่งอก
ขันทีน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาช่วยชงชาให้เป่ยหมิงฉี่ อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังพูดกัน แสร้งเทผงยาในเล็บลงไปในถ้วยชาของเป่ยหมิงฉี่
ถึงจะทำอย่างลับๆ แต่จวินหย่วนโยวก็เห็นอยู่ดี
เป่ยหมิงฉี่พูดมานานก็เริ่มคอแห้ง เขาหยิบถ้วยชานั้นทำท่าจะดื่ม จวินหย่วนโยวสะบัดแขนเสื้อ กำลังภายในกล้าแกร่งโจมตีเข้ามา
เป่ยหมิงฉี่รับรู้ถึงพลังอันตรายที่โจมตีมาด้านหน้า ก็หลบทันที ถ้วยชาในมือย่อมหล่นลงพื้นทันที
“จวินหย่วนโยวเจ้าเป็นบ้าอะไรอีก?” เป่ยหมิงฉี่หลบฝ่ามือนั้นได้หวุดหวิด พลางสะบัดเสียงใส่
จวินหย่วนโยวไม่สนใจ ซัดฝ่ามือจนขันทีน้อยคนนั้นจนลอยกระเด็น “เมื่อครู่เขาใส่ยาพิษในถ้วยชาให้เจ้า ข้าช่วยเจ้าไว้ต่างหาก!”
เป่ยหมิงฉี่สีหน้าขึงขังทันที ถลึงตาใส่ขันทีน้องอย่างเกรี้ยวกราด “ทหาร จับมันไว้!”
ขันทีน้อยกระเด็นไปไกลหลายเมตรและล้มลงพื้นอย่างแรง เจ็บจนแยกเขี้ยว ร้องโหยหวนว่า “ลูกผู้พี่ อย่าจับนะ ข้าเอง!”