จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 917 เจ้าต้องการจะรับข้าไว้พิจารณาสักหน่อยหรือไม่
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 917 เจ้าต้องการจะรับข้าไว้พิจารณาสักหน่อยหรือไม่
ชายผู้นั้นสวมเสื้อคลุมยาวสีแดงเว่อร์ทั้งตัว เสื้อตรงหน้าอกเปิดออก ผิวสีขาวเหลืองที่ลำคอเผยออกมาภายนอก ดูร้ายกาจเล็กน้อย อวดดีเล็กน้อย
ดวงตาสีดำขลับลึกซึ้งเหมือนดั่งดวงดาวในท้องนภายามราตรี เจิดจ้าสะดุดตา สันจมูกสูงโด่ง ริมฝีปากบางๆอันเยือกเย็นเม้มขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มจางๆ มีความเป็นนักเลงและเจ้าชู้ ลมอ่อนๆนอกหน้าต่างพัดมา พัดโชยปอยผมของเขาขึ้น มีเสน่ห์เป็นที่สุด
แม้จะเป็นหยุนถิงที่เคยได้พบเห็นจวินหย่วนโยวและโม่เหลิ่งเหยียนที่มีรูปโฉมทำให้สวรรค์ต้องตะลึงมาก่อน ก็ถูกชายหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้ทำให้ตะลึงงันอย่างอดไม่ได้ เขาหน้าตาดีจริงๆ เหมือนดั่งปีศาจร้ายเช่นนั้น ร้ายกาจและเจ้าชู้ ทำให้คนละสายตาไปไม่ได้
จวินหย่วนโยวเก็บการแสดงออกบนใบหน้าของหยุนถิงไว้ในสายตาทั้งหมด และยืนบังไว้เบื้องหน้าของหยุนถิงในนาทีถัดมาทันทีขฌ “หากเจ้ากล้าพูดจาสามหาว ข้าจะไม่ออมมือเป็นอันขาด!”
โหลวซิงเจ๋อจงใจแสดงสีหน้าหวาดกลัว “จวินซื่อจื่อช่างเป็นคนที่อารมณ์ฉุนเฉียวจริงๆ ถิงเอ๋อร์คนงามเจ้าอยู่กับคนเช่นนี้จะไม่โดนรังแกตายหรอกหรือ ต้องการจะรับข้าไว้พิจารณาหรือไม่?”
ครั้งนี้ไม่ทันได้รอให้จวินหย่วนโยวลงมือ หยุนถิงก็คำรามขึ้นด้วยความโมโหว่า “หากเจ้าเรียกข้ามาเพียงเพื่อพูดคำเพ้อเจ้อเหล่านี้ ทำให้สามีข้าเข้าใจผิด ข้าไม่มีเวลาเล่นด้วย ท่านพี่พวกเราไปเถอะเพคะ!”
“ดี!” จวินหย่วนโยวจูงมือหยุนถิงขึ้นมาแล้วต้องการจะเดินไป
“อย่าเพิ่งสิ ไม่รู้จักการหยอกล้อเช่นนี้——“ โหลวซิงเจ๋อยังพูดไม่จบจจ ก็ถูกจวินหย่วนโยวฟาดเข้าไปฝ่ามือหนึ่ง
“อ้า!” โหลวซิงเจ๋อรีบหลบทันที แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ชุดคลุมสีแดงยาวของเขาถูกพลังฝ่ามือของจวินหย่วนโยวฟาดไปถึงอีกมุมหนึ่ง ทำให้กรีดขาดเป็นสองท่อนทันที
“ป่าเถื่อนเกินไปแล้ว คนอื่นเขาอาศัยหน้าตาทำมาหากินเชียวนะ โชคดีที่ข้าวิ่งเร็ว ไม่เช่นนั้นใบหน้านี้ก็คงต้องถูกท่านฝ่าเป็นสองซีกแล้ว!” โหลวซิงเจ๋อบ่นพร่ำด้วยความขุ่นเคือง
“หากว่าเจ้าพูดไร้สาระ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะเปลี่ยนรายชื่ออันดับหนึ่งของเจ้าไปซะ!” จวินหย่วนโยวกล่าวด้วยความเกรี้ยวโกรธ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โหลวซิงเจ๋อก็ทำตัวดีขึ้นในพริบตา “จวินหย่วนโยวเจ้าใจร้ายไปแล้ว เอาเถอะไม่แกล้งพวกเจ้าแล้ว ข้ามีคำจะพูดเป็นการส่วนตัวกับถิงเอ๋อร์คนงาม”
“เขาเป็นสามีของข้า ยิ่งกว่านั้นก็เป็นคนที่ข้าไว้ใจมากที่สุดในโลกใบนี้ ไม่ต้องออกไป!” หยุนถิงกล่าวด้วยความหนักแน่น
เมื่อโหลวซิงเจ๋อเห็นสีหน้าที่จริงจังเช่นนี้ของนาง ก็จึจึปาก “ตอนนั้นท่านแม่ของเจ้าก็พูดเช่นนี้ แต่สุดท้ายก็ยังถูกวี่หานเชียนทำร้าย”
ทั้งใบหน้าของหยุนถิงเต็มไปด้วยความตกตะลึง “เจ้ารู้จักท่านแม่ของข้า?”
“ไม่งั้นข้าจะเรียกเจ้ามาทำไม มีบางเรื่องที่ข้าสามารถบอกกับเจ้าได้เพียงคนเดียวเท่านั้น อยากฟังก็ฟัง ไม่ฟังก็กลับไปซะ!” โหลวซิงเจ๋อพูดอย่างหมดความอดทน
“ถิงเอ๋อร์ ข้าไปรอเจ้าด้านนอก มีอะไรก็รีบเรียกข้า” จวินหย่วนโยวกล่าวด้วยความเอาใจใส่
เขารู้ว่าหยุนถิงเป็นห่วงแม่ของนางเป็นที่สุด คนผู้นี้ดูท่าทางอวดดีไร้มารยาท แต่สามารถพูดชื่อวี่หานเชียนออกมาได้ เห็นได้ว่าต้องรู้อะไรมา ด้วยเหตุนี้จวินหย่วนโยวจึงไม่อยากให้หยุนถิงพลาดโอกาสเพราะตัวเอง
“ขอบใจท่านพี่มากเพคะ” หยุนถิงกล่าวปลอบโยน
จวินหย่วนโยวเดินออกไป โหลวซิงเจ๋อก็ปิดประตูทันที หันกลับและเดินเข้าไปด้านใน หยิบกล่องผ้าไหมกล่องหนึ่งออกจากลิ้นชัก “นี่เป็นของที่ท่านแม่ของเจ้าทิ้งไว้ให้ เปิดดูสิ”
หยุนถิงรับกล่องผ้าไหมมาแล้วเปิดออก ด้านในมีหยกห้อยเอวสีแดงชิ้นหนึ่ง ลวดลายที่สลักอยู่บนนั้นตรงกับตราสัญลักษณ์บนรูปเหมือนของท่านแม่ของนาง
“นี่คืออะไร?”
“นี่คือสิ่งของที่ท่านแม่ของเจ้าทิ้งไว้ บอกว่ารอให้เจ้าโตขึ้นแล้วมอบให้เจ้า ตอนนี้ของได้กลับคืนสู่เจ้าของแล้ว!” โหลวซิงเจ๋อตอบ
“แล้วเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับท่านแม่?” หยุนถิงถามถึงประเด็นสำคัญ
“ปีนั้นท่านแม่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ตอนนี้ข้ามอบหยกห้อยเอวชิ้นนี้ให้เจ้าก็เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ อย่าให้คนอื่นเห็นหยกห้อยเอวนี่ รวมทั้งจวินหย่วนโยวด้วย” โหลวซิงเจ๋อตอบ
“ทำไม?”
“ต่อไปเจ้าก็จะรู้เอง เจ้าไปได้แล้ว” โหลวซิงเจ๋อไม่พูดมากอีกญญ
“ขอบใจมาก!” หยุนถิงเก็บหยกห้อยเอวแล้วเดินออกมา
จวินหย่วนโยวที่อยู่ที่ประตูเห็นนางไม่ได้เป็นอะไร จึงได้วางใจ ทั้งสองรีบจากไปทันที
“ถิงเอ๋อร์ เขาไม่ได้ทำร้ายเจ้าหรอกนะ?” จวินหย่วนโยวซักถาม
“ท่านพี่วางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไร” หยุนถิงตอบ
นางไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องหยกห้อยเอว ไม่ว่าที่โหลวซิงเจ๋อพูดจะเป็นความจริงหรือโกหก รอนางสืบจนกระจ่างแล้วค่อยบอกกับจวินหย่วนโยว
ทั้งสองกลับวัง หลงยีและคนอื่นล้วนจัดเก็บสัมภาระเดินทางเสร็จสรรพหมดแล้ว พวกเขาบอกลาเป่ยหมิงฉี่ แล้วออกเดินทางกลับแคว้นต้าเยียนในวันนั้น
ยืนอยู่หน้าประตูวังภด มองดูรถม้าของจวินหย่วนโยวดำเนินไปไกล สีหน้าของเป่ยหมิงฉี่ก็เคร่งขรึมลึกซึ้ง
“ตรวจสอบว่าคนสำนักหิมะปะปนเข้ามาในวังได้อย่างไรกระจ่างแล้วหรือไม่?” เป่ยหมิงฉี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยตรวจสอบคนที่เข้าวังทั้งหมดในช่วงสองสามเดือนนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว พบว่าป้ายคำสั่งของจวนอ๋องเก้ามีการเข้าออกพระราชวังมากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!” คนสนิทตอบ
ดวงตาเฉียบคมดั่งตาเหยี่ยวของเป่ยหมิงฉี่หรี่ลงเล็กน้อย “อ๋องเก้า ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินน้องชายผู้นี้ต่ำไปแล้ว”
…………
แคว้นเทียนจิ่ว
หลังจากที่เริ่นเซวียนเอ๋อร์สืบทอดบัลลังก์ กลายเป็นจักรพรรดินีคนแรกของแคว้นเทียนจิ่ว ทำงานสำคัญเพื่อประเทศอย่างขยันขันแข็งทุกวัน เหนื่อยจนไม่ไหว
เวลานี้เริ่นเซวียนเอ๋อร์อ่านสาสน์ทูลข้อราชการเบื้องหน้า หนังตาก็กำลังต่อสู้กัน สุดท้ายก็หลับไป ศีรษะโขกเข้ากับโต๊ะ
มือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นเข้ามา รองรับคางของเริ่นเซวียนเอ๋อร์ไว้ เอาศีรษะของนางพิงไว้บนขาของตัวเองด้วยความระวัง เมื่อเห็นว่าเริ่นเซวียนเอ๋อร์ไม่ตื่น บนใบหน้าของกู้จิ่วเยวียนก็มีความอ่อนโยนเล็กน้อย
แม่สาวน้อยคนนี้อ่านและสั่งการสาสน์ทูลราชการอยู่ยังจะสามารถหลับได้ ไม่มีใครเหมือนแล้ว ก่อนหน้านี้เริ่นเซวียนเอ๋อร์มีนิสัยอิสระตามใจตัวเองขนาดนั้น ให้นางจัดการเรื่องสำคัญอยู่ในตำหนักทุกวัน ก็ลำบากนางแล้วจริงๆ
กู้จิ่วเยวียนเอื้อมมือไปหยิบสาสน์ทูลราชการที่เริ่นเซวียนเอ๋อร์อ่านและสั่งการมา ช่วยนางตรวจสอบสั่งการ
ทำเสร็จหมดทุกอย่างก็ค่ำคืนดึกดื่นแล้ว เห็นเริ่นเซวียนเอ๋อร์ยังไม่ตื่นขึ้นมา แต่ศีรษะน้อยๆของนางนั้นถูไถอยู่ที่ข้างขาของเขาไม่หยุด เหมือนดั่งลูกแมวขี้อ้อนเช่นนั้น กู้จิ่วเยวียนมองแล้วก็รู้สึกอุ่นใจ
ท่าทางที่นางพึ่งพาอาศัยเขาเช่นนี้ เหมือนตอนเด็กๆทุกประการ
กู้จิ่วเยวียนรู้สึกถึงความเย็นเล็กน้อย จึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าบางทีสาวน้อยคนนี้อาจรู้สึกหนาวก็ได้ มือข้างหนึ่งของเขายกศีรษะของเริ่นเซวียนเอ๋อร์เบาๆ จากนั้นมืออีกข้างก็ออกแรงค้ำยันรถเข็นแล้วยืนขึ้นด้วยความระมัดระวัง
ในช่วงเวลานี้ กู้จิ่วเยวียนกินยาโอสถที่เริ่นเซวียนเอ๋อร์ให้เขาด้วยความมุ่งมั่นมาโดยตลอด ตอนนี้ร่างกายดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก และมีแรงมากขึ้นด้วย ตอนนี้เขาสามารถเดินเหินเหมือนคนปกติได้แล้ว
กู้จิ่วเยวียนอุ้มเริ่นเซวียนเอ๋อร์ขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง จึงสังเกตได้อย่างฉับพลันว่าสาวน้อยผู้นี้ตัวเบามาก เหมือนไม่มีความหนักเช่นนั้น มองดูขอบตาดำคล้ำของนาง ในจิตใจของกู้จิ่วเยวียนก็คิดว่าเดี๋ยวจะต้องให้นางบำรุงดีๆ
เห็นว่ากู้จิ่วเยวียนกำลังจะเดินไปถึงขอบเตียงแล้ว จู่ๆเท้าก็สะดุดโดยไม่ได้ระวัง กู้จิ่วเยวียนอุ้มเริ่นเซวียนเอ๋อร์ล้มลงไปบนเตียง
ในขณะนั้น กู้จิ่วเยวียนกอดเริ่นเซวียนเอ๋อร์ไว้แน่นด้วยสัญชาตญาณ ทั้งสองล้มลงไปบนเตียงเช่นนี้ และกู้จิ่วเยวียนก็ทับลงไปบนตัวของเริ่นเซวียนเอ๋อร์พอดี
เริ่นเซวียนเอ๋อร์ที่หลับอยู่ในเดิมที จู่ๆก็โดนแรงมากมายทับไว้เช่นนี้จึงตื่นขึ้นเป็นธรรมดา ทันทีที่ลืมตาก็เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาสง่างามใบนั้นเบื้องหน้าพอดี ทั้งคนก็อึ้งไปเล็กน้อย
“เสด็จอาเก้า ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเพคะ?”
กู้จิ่วเยวียนเก้ๆกังๆเป็นที่สุด เขารีบอธิบายว่า “เมื่อครู่เจ้าหลับไป ข้ากลัวว่าเจ้าจะหนาว อยากจะอุ้มเจ้าไปพักที่เตียง คิดไม่ถึงว่าจะสะดุดล้มแล้ว”
ทั้งคู่อยู่ใกล้กันขนาดนี้ ขณะที่พูดเริ่นเซวียนเอ๋อร์สามารถสัมผัสได้ถึงอายอุณหภูมิความร้อนของกู้จิ่วเยวียน ซึ่งแฝงไปด้วยกลิ่นหอมของยาจางๆ ใบหน้าของเริ่นเซวียนเอ๋อร์จึงแดงขึ้นในพริบตา
กู้จิ่วเยวียนก็ตระหนักได้ว่าตัวเองเสียมารยาทแล้ว กำลังจะลุกขึ้น แต่กลับถูกมือทั้งสองข้างของเริ่นเซวียนเอ๋อร์คล้องคอไว้ ยกใบหน้าน้อยๆขึ้นจูบไปที่ริมฝีปากบางๆของเขา