จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 919 ความคิดเล็กๆของกู้จิ่วเยวียน
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 919 ความคิดเล็กๆของกู้จิ่วเยวียน
เริ่นเซวียนเอ๋อร์ตกใจทันที หันกลับไปโดยสัญชาตญาณจึงได้ก็เห็นกู้จิ่วเยวียนยืนอยู่ด้านหลังของนางด้วยสีหน้าเย็นชา ดวงตาสีดำดั่งหมึกคู่นั้นกำลังจ้องมองตัวนางอยู่ด้วยความโกรธ เริ่นเซวียนเอ๋อร์ตกใจจนสะดุ้ง ถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยสัญชาตญาณ สุดท้ายเซไปก้าวหนึ่งแล้วกำลังจะล้มลงไปบนพื้นด้านข้าง
กู้จิ่วเยวียนมือไวตาไวรีบออกมือไปคว้านางไว้ทันที ออกแรงดึง เริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็พุ่งเข้ามาในอ้อมกอดเขาโดยตรง
สัมผัสได้ถึงหน้าอกอันแข็งแกร่งมั่นคง เริ่นเซวียนเอ๋อร์แก้มแดงในพริบตา อาลัยอาวรณ์เล็กน้อย จงใจเอาศีรษะพิงไว้บนหน้าอกของกู้จิ่วเยวียนไม่ยอมขึ้นมา
กู้จิ่วเยวียนที่เฉลียวฉลาดมองความคิดของสาวน้อยผู้นี้ออกเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่ได้เปิดโปงนาง เพียงแค่เอ่ยถามด้วยใบหน้าอันเย็นชาว่า “เจ้าต้องการเลือกพระสนมชายหรือ?”
ตอนนี้เริ่นเซวียนเอ๋อร์จึงได้เงยหน้าขึ้น “เสด็จอาเก้ารู้ได้อย่างไรเพคะ?”
“นอกท้องพระโรงล้วนมีแต่ชายหนุ่ม ข้าไม่อยากเห็นก็ไม่ได้!” กู้จิ่วเยวียนกล่าวด้วยใบหน้าเย็นชา
“ในเมื่อเสด็จอาเก้าเห็นแล้ว เช่นนั้นประเดี๋ยวก็ขอเชิญเสด็จอาเก้าช่วยให้คำแนะนำแก่ข้าสักหน่อย ดูว่าคุณชายท่านไหนเหมาะสมที่จะเข้าวังหลังของข้า!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์จงใจทำให้เขาโกรธ
“เจ้าเฝ้าหวังมากเลยหรือ?” ประโยคหนึ่งนี้ เสียงของกู้จิ่วเยวียนก็เย็นลงไปเล็กน้อย
“นั่นก็เป็นธรรมดาเพคะ ค่ำคืนที่ยาวนาน ทั้งเหงาทั้งหลับยาก หากว่ามีคนหนุนหมอนเคียงข้างก็ดีที่สุดเป็นธรรมดา” เริ่นเซวียนเอ๋อร์จงใจกล่าวด้วยความคาดหวัง
“นอนเหมือนหมูอยู่ทุกคืน ยังจะเหงาและหลับยากอีก เจ้าก็พูดออกมาได้”
“ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้านอนเหมือนหมู?” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ถามด้วยความไม่พอใจ
กู้จิ่วเยวียนหันหลังและเดินจากไป เขาจะไม่บอกเริ่นเซวียนเอ๋อร์หรอกว่า ตัวเขาเองกลัวว่านางจะนางนอนดิ้นถีบผ้าห่มโดนลมเย็นแล้วเป็นหวัดเข้าในตอนกลางคืน ดังนั้นทุกคืนกู้จิ่วเยวียนจึงได้รอให้นางหลับสนิทแล้วก็ไปดูนาง
เห็นเขาจากไป เริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็ร้อนใจแล้ว “เสด็จอาเก้าท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยนะ ท่านรอข้าก่อน”
กู้จิ่วเยวียนที่เดินไปไกลแล้วยกมุมปากขึ้นโค้งสูง จงใจไม่หันกลับมา
ทั้งสองเดินมุ่งไปยังท้องพระโรง แต่ด้านนอกท้องพระโรงได้รวบรวมชายหนุ่มนับร้อยกว่าคนไว้ล่วงหน้าแล้ว ทันทีที่พวกเขาเห็นฝ่าบาทและเซ่อเจิ้งอ๋องมาถึง ก็รีบคุกเข่าลงทำความเคารพทันที
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทอายุยืนนานหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี! เซ่อเจิ้งอ๋องอายุยืนนานพันปี!”
เริ่นเซวียนเอ๋อร์เหลือบมองผู้ชายเหล่านั้นแวบหนึ่ง “ลุกให้หมด คิดไม่ถึงว่าผู้ชายในเมืองหลวงแคว้นเทียนจิ่วของพวกเราจะหน้าตาดีได้เพียงนี้”
เพิ่งจะสิ้นเสียง เริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเย็นเฉียบของใครบางคนที่อยู่ข้างๆอบอวลออกมา ทำให้นางสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว แต่เริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น
“วันนี้พวกเจ้ามีความสามารถอะไร ก็นำเสนอออกมาให้หมด แสดงได้ดี ข้ามีรางวัล!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์เอ่ยปากต่อ
“พ่ะย่ะค่ะ!” ผู้ชายทุกคนทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“ฝ่าบาท พระองค์ควรเข้าไปที่ท้องพระโรงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” กู้จิ่วเยวียนกล่าวด้วยความพอใจประโยคหนึ่ง
“ท้องพระโรงน่าเบื่อเพียงใด การว่าราชสำนักวันนี้ก็จัดขึ้นที่ด้านนอกท้องพระโรงเสียเลย จะได้ให้บรรดาเหล่าขุนนางอันเป็นที่รักช่วยข้าเลือกสรรให้ดีๆได้พอดี เคลื่อนเก้าอี้มาให้ข้า!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ขันทีสองคนรีบเคลื่อนบัลลังก์มังกรออกมาทันที เริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็นั่งลงตรงๆ
“เริ่มเถอะ ใครจะมาก่อน?”
“ฝ่าบาท ข้าก่อน!” หลิ่วเช่อรีบลุกขึ้นยืนทันที
“บังอาจ ต่อหน้าฝ่าบาทก็กล้าเรียกตัวเองว่าข้า ไม่รู้จักมารยาท หรือว่าหลิ่วซ่างซูไม่ได้สอนมารยาทเจ้า!” กู้จิ่วเยวียนตะคอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลิ่วเช่อตกใจจนตัวสั่น ตุบเสียงหนึ่งคุกเข่าลงกับพื้น “เซ่อเจิ้งอ๋องโปรดไว้ชีวิต ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลิ่วซ่างซูที่อยู่ด้านข้างก็ตกใจจนหน้าซีด คุกเข่าลงพื้นตาม “เซ่อเจิ้งอ๋องระงับโทสะ ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ได้สั่งสอนชี้แนะ ขอให้ฝ่าบาทโปรดลงโทษพ่ะย่ะค่ะ!”
ชายหนุ่มคนอื่นๆก็ตกใจกลัวด้วยเช่นกัน พวกเขาล้วนรู้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องเลือดเย็น โหดเหี้ยมดุร้าย คราวนี้หลิ่วเช่อจบเห่แล้ว
เริ่นเซวียนเอ๋อร์มองดูท่าอันโกรธเคืองของกู้จิ่วเยวียน คิดถึงคำพูดของโจวมามา ก็แอบดีใจ แต่บนใบหน้ากลับไม่สะทกสะท้าน
“เสด็จอาเก้าตรัสได้มีเหตุผลจริง ทว่าหลิ่วเช่อก็เพิ่งเข้าวังครั้งแรก ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะปฏิบัติตัวพลาดพลั้งไปชั่วขณะ เช่นนั้นเจ้าก็แสดงฝีมือความสามารถเถอะ หากว่าฝีมือความสามารถของเจ้ายอดเยี่ยมไร้เทียมทาน ก็เป็นการทำความดีชดเชย”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!” หลิ่วเช่อซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง หลิ่วซ่างซูก็รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทมาจากในจิตใจยิ่งกว่า
กู้จิ่วเยวียนหน้าดำเหมือนก้นหม้อ แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
หลิ่วเช่อเป็นผู้ที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงในเมืองหลวงแคว้นเทียนจิ่ว เขารีบให้คนยกพิณโบราณขึ้นมาทันที นิ้วมืออันเรียวยาวดึงสายพิณ
เสียงพิณเสนาะหู เสียงสูงต่ำไพเราะรื่นหู ซาบซึ้งกินใจ ทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
จบหนึ่งเพลง คนอื่นๆทุกคนต่างก็ปรบมือชื่นชม เริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็กล่าวชื่นชมอย่างอดไม่ได้ “ไม่เลว”
“เป็นผู้ชายที่ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงเช่นนี้มีประโยชน์อะไร หากว่าต่อไปขึ้นสนามรบจะไม่ใช่คนที่ถูกสังหารหรอกหรือ!”
เริ่นเซวียนเอ๋อร์มุมปากกระตุก หลิ่วเช่อมีชื่อเสียงในด้านทรัพย์ปัญญาที่เป็นเลิศ แต่เขาไม่มีวิทยายุทธ นี่ไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าเขารูปร่างหน้าตาดีแต่ไม่มีความรู้หรอกหรือ
“มีความดีชดเชยความผิดได้ ถอยไปเถอะ!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวเบาๆประโยคหนึ่ง
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลิ่วเช่อรีบถอยไป หลิ่วซ่างซูรีบดึงลูกชายถอยไปอยู่ด้านหลังสุด
ตอนนี้เขายังจะหวังให้ลูกชายถูกเลือกได้อีกอย่างไร หวังเพียงแค่เซ่อเจิ้งอ๋องจะไม่จดจำความแค้นกับลูกชายตัวเองก็ดีแล้ว
“ฝ่าบาท ข้าน้อยหูเทียนร่ายรำเพลงดาบเพลงหนึ่ง ถวายแด่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” คนที่สองหูเทียนยืนขึ้นมา
“ดี!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์พยักหน้า
ครูพิณดีดพิณ หูเทียนชักดาบยาวออกมาและร่ายรำขึ้น ความห้าวหาญสูงล้ำพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า อิสระสง่าผ่าเผยดั่งเทพเซียน คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ เริ่นเซวียนเอ๋อร์มองดูจนดวงตาเปล่งประกาย
กู้จิ่วเยวียนเก็บการแสดงออกทั้งหมดของนางไว้ในตา ใบหน้าอันงดงามขมวดเป็นก้อน สีหน้าเย็นชาจนตกตะกอน
ขันทีไม่กี่คนเคลื่อนย้ายโต๊ะแปดเซียนมาตัวหนึ่ง ด้านบนวางขนมผลไม้และของกินอื่นๆไว้ เริ่นเซวียนเอ๋อร์พอใจเป็นที่สุด เอื้อมมือต้องการจะหยิบองุ่น มือสัมผัสไปโดนมือข้างหนึ่งพอดี ก้มหน้ามองนั่นก็คือมือของกู้จิ่วเยวียน
“เสด็จอาเก้า ท่านก็อยากกินองุ่นด้วยเหรอ งั้นท่านเอาก่อน!”
กู้จิ่วเยวียนไม่ตอบ และไม่ได้หลบให้ เอื้อมมือไปเด็ดองุ่นลูกหนึ่งและเขาก็ไม่ได้กิน แต่ยิงองุ่นในมือออกไปโดยตรง
หูเทียนที่กำลังระบำดาบอยู่ในเดิมทีรู้สึกถึงอันตราย ใช้ดาบยาวขวางไว้โดยสัญชาตญาณ สุดท้ายก็ขวางองุ่นเม็ดนั้นไม่ได้โดยสิ้นเชิง องุ่นโดนเข้าที่จุดฝังเข็มจุดหนึ่งบนตัวเขา หูเทียนล้มลงไปบนพื้นทั้งตัวทันที ล้มเหมือนสุนัขกินอึเช่นนั้น
“มีเพียงมวยจีนที่ฉาบฉวยท่าดีทีเหลว อ่อนแอรับการโจมตีไม่ได้!” กู้จิ่วเยวียนกล่าวด้วยความเหยียดหยาม
หูเทียนรู้สึกอายมากจนอยากจะหาโพรงบนพื้นมุดลงไป รีบเอ่ยปากว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องกล่าวได้ถูกต้อง ล้วนเป็นเพราะฝีมือที่ไม่ได้เรื่องของข้าน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้คนมา หามเขาลงไปเถอะ” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าว
องครักษ์สองคนหามเขาออกไป คุณชายวัยหนุ่มที่เหลืออยู่เหล่านั้นแม้ว่าจะหวาดกลัวเซ่อเจิ้งอ๋อง แต่เห็นได้ว่าเมื่อหูเทียนและหลิ่วเช่อสองผู้มีความสามารถชื่อดังจากไปแล้ว ก็รู้สึกว่าโอกาสของตัวเองมาแล้วเป็นธรรมดา
ดังนั้นทุกคนจึงกระตือรือร้นที่จะแสดงออก มีการแสดงการเขียนอักษร สุดท้ายกู้จิ่วเยวียนก็พูดจนการเหมือนกับไก่เขี่ยเช่นนั้น; มีวาดภาพ แต่กลับถูกกู้จิ่วเยวียนพูดจนกลายเป็นโพรงที่ไม่มีแก่นสาร; มีการแสดงมายากลก็ยิ่งถูกบอกว่าเป็นสิ่งไม่มีความรู้ความสามารถ——
ทุกคนแสดงจบ ทั้งหมดล้วนถูกเซ่อเจิ้งอ๋องปฏิเสธว่าไร้ประโยชน์ คราวนี้ทุกคนล้วนถูกทำให้กระทบกระเทือนแล้ว ยังไม่ทันรอให้ฝ่าบาทเอ่ยปาก พวกเขาก็ถอยออกไปเองอย่างรู้ตัว
เริ่นเซวียนเอ๋อร์มองดูด้านนอกท้องพระโรงที่ว่างเปล่า ใบหน้าน้อยๆที่มีดความโกรธเคืองจ้องมองไปทางกู้จิ่วเยวียน “เสด็จอาเก้าท่านต้องการจะทำอะไร หนึ่งคนสองคนท่านมองไม่เข้าตาไม่ว่า ผู้ชายมากมายเช่นนี้ล้วนถูกท่านปฏิเสธไปหมด ท่านจงใจใช่หรือไม่?”
กู้จิ่วเยวียนสีหน้าไม่สะทกสะท้าน “ฝ่าบาทตรัสไปถึงไหนพ่ะย่ะค่ะ ข้าก็แค่รับผิดชอบช่วยฝ่าบาทตรวจสอบเท่านั้น ตั้งใจช่วยฝ่าบาทคัดเลือก!”