จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 920 เสด็จอาเก้าท่านช่วยสวมเสื้อผ้าให้ข้า
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 920 เสด็จอาเก้าท่านช่วยสวมเสื้อผ้าให้ข้า
“ดังนั้น ร้อยกว่าคนล้วนถูกท่านเลือกไปหมดแล้ว!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ย้อนถาม
“เป็นเพราะพวกเขาไม่คู่ควรกับฝ่าบาท!” กู้จิ่วเยวียนกล่าวด้วยเหตุผลที่จริงจัง
เริ่นเซวียนเอ๋อร์หมดคำจะพูด “เสด็จอาเก้าท่านทำเกินไปแล้ว”
“ข้าแค่ช่วยฝ่าบาทเลือกคนดี อย่างไรเสียอนาคตหากว่าต้องอยู่เคียงข้างฝ่าบาท ก็ต้องระมัดระวังหน่อยเป็นธรรมดา!” กู้จิ่วเยวียนอธิบาย
เริ่นเซวียนเอ๋อร์ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร หมุนแล้วเดินจากไปโดยตรง
รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้จิ่วเยวียนลึกล้ำยิ่งขึ้น ทั้งๆที่เขาควรจะอวยพรให้นาง แต่เห็นนางต้องการจะเลือกพระสนมชายจริงๆ กู้จิ่วเยวียนก็พบว่าตัวเองทำไม่ได้
เขาไม่มีทางมองดูเริ่นเซวียนเอ๋อร์อยู่กับผู้ชายคนอื่นได้อย่างนิ่งเฉย แต่เมื่อนึกถึงสุขภาพร่างกายของตัวเอง กู้จิ่วเยวียนก็ทอดถอนใจลึกๆ
“ไปสืบดู หยุนถิงพวกเขาถึงไหนแล้ว” กู้จิ่วเยวียนสั่งการ
“พ่ะย่ะค่ะ!” ทหารคนสนิทรีบไปจัดการทันที
ทางนี้ เริ่นเซวียนเอ๋อร์กลับมาถึงตำหนักบรรทมแล้ว ไม่เพียงไม่โกรธเหมือนตอนอยู่ต่อหน้ากู้จิ่วเยวียน แต่กลับดีใจจนทนไม่ไหว
“โจวมามา วันนี้เสด็จอาเก้าติเตียนว่าผู้ชายเหล่านั้นไร้ประโยชน์ ปฏิเสธไปทั้งหมด นี่หมายความว่าเขาก็ชอบข้าเหมือนกันใช่หรือไม่ ไม่หวังจะให้ข้าเลือกคนอื่น?” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ถาม
“บ่าวก็รู้สึกว่าเซ่อเจิ้งอ๋องปฏิบัติต่อฝ่าบาทไม่ธรรมดาเช่นกันเพคะ วันนี้คิดว่าเป็นเพียงแค่การทดลอง ดูเหมือนว่ายังต้องใส่ยาที่มีฤทธิ์รุนแรงอีกหน่อยถึงจะได้เพคะ” โจวมามากล่าววิเคราะห์
การเลือกพระสนมชายในครั้งนี้เป็นการเสนอของโจวมามา เริ่นเซวียนเอ๋อร์รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลวจึงนำมาใช้
“ยาที่มีฤทธิ์แรง ยาที่มีฤทธิ์แรงอะไร สุขภาพร่างกายของเสด็จอาเก้ารับการทรมานไม่ได้?” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวด้วยความกังวล
โจวมามายิ้มอย่างจนปัญญา “ฝ่าบาท พระองค์ลงโทษการข่มขืนและกำจัดความชั่วร้าย ท่องยุทธภพนั่นก็คือยอดฝีมือ แต่สำหรับวังหลังนี้พระองค์ก็ช่างไม่เข้าใจอะไรซะเลยเพคะ ยาฤทธิ์แรงที่บ่าวพูดถึง เป็นธรรมดาที่จะไม่ใช่ยากินที่มีฤทธิ์แรง แต่เพื่อให้เซ่อเจิ้งอ๋องสารภาพความในใจต่อพระองค์เพคะ”
“เพียงแค่ทำให้เสด็จอาเก้าตกลงที่จะอยู่กับข้าได้ ให้ข้าทำอะไรก็ยอม”
“สำหรับเซ่อเจิ้งอ๋องแล้วการร้องไห้เป็นอย่างแรกสองสร้างความวุ่นวายสุดท้ายแขวนคอแบบหญิงทั่วไปในวังหลังนั้นใช้การไม่ได้แน่นอน บ่าวจะต้องคิดวิธีการให้ดีๆเพคะ” โจวมามาตอบ
อย่างไรเสียเซ่อเจิ้งอ๋องก็ไม่ใช่คนธรรมดา วิธีการของหญิงสาวประเภทนั้นเขาจะต้องไม่สนอย่างแน่นอน
เพราะอารมณ์ดี เริ่นเซวียนเอ๋อร์และโจวมามาจึงไปพักผ่อนหย่อนใจที่อุทยาน ทั้งสองคนเดินมาถึงบนสะพานแล้วดวงตาของเริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็กลอกวนอย่างฉับพลัน มีความคิดแล้ว
“มามาเจ้าว่าข้ากระโดดลงไปจากตรงนี้ เสด็จอาเก้าจะเป็นห่วงข้าหรือไม่?”
โจวมามาตกใจในทันที “ฝ่าบาทพระองค์จะคิดไม่ตกไม่ได้นะเพคะ เรื่องของเซ่อเจิ้งอ๋องพวกเราคิดในระยะยาวได้ แต่ร่างกายที่ล้ำค่าของพระองค์จะเกิดเรื่องขึ้นไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นบ่าวจะอธิบายกับอดีตฮองเฮาอย่างไรล่ะเพคะ!”
“มามาเจ้ากลัวอะไร ฝีมือของข้าเจ้ายังไม่รู้อีกเหรอ ประเดี๋ยวเจ้าก็บอกว่าข้าก้าวพลาดตกลงไป!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์พูดพลาง ก็กระโดดลงไปจากสะพานโดยตรง
“ให้คนมา ฝ่าบาทตกน้ำ รีบให้คนมาช่วยฝ่าบาทเร็วเข้า!” โจวมามาตะโกนเสียงดัง แล้วรีบวิ่งลงมาจากสะพานทันที
องครักษ์ลาดตระเวนได้ยินเสียงตะโกน ก็รีบวิ่งพุ่งไปช่วยเริ่นเซวียนเอ๋อร์ขึ้นฝั่งทันที โจวมามารีบพุ่งเข้ามา “ฝ่าบาทท่านทำข้าตกใจหมดแล้วเพคะ ครั้งหน้าห้ามทำเช่นนี้อีกนะเพคะ”
“มามาข้าไม่เป็นไร ฮัทชิ้ว!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์จาม
ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว น้ำในแม่น้ำเย็นมาก ก็เป็นธรรมดาที่เริ่นเซวียนเอ๋อร์จะเย็นจนเป็นหวัด
“รีบส่งฝ่าบาทกลับไป เรียกหมอหลวง รีบไปบอกเซ่อเจิ้งอ๋องทันทีว่าฝ่าบาทตกน้ำและเป็นหวัดแล้ว!” โจวมามาสั่งการ
“ขอรับ!” องครักษ์รีบปฏิบัติตามทันที
เริ่นเซวียนเอ๋อร์กลับมาถึงตำหนักบรรทม โจวมามารีบสั่งการให้คนรับใช้ไปต้มน้ำขิง ยกน้ำร้อนเข้ามา และเอาเสื้อผ้าสะอาดเข้ามาเตรียมไว้ด้วย
“ฝ่าบาทอาบน้ำอุ่นก่อนเถอะเพคะ”
“ได้!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ถอดเสื้อผ้าและลงไปในถังทันที “ฮัทชิ้ว”
“ฝ่าบาท ครั้งนี้พระองค์วู่วามเกินไปแล้วเพคะ!” โจวมามากล่าวด้วยความสงสาร
“จะเป็นไปได้อย่างไร หากว่าไม่สร้างความเคลื่อไหวออกมาหน่อย เสด็จอาเก้าจะเป็นห่วงข้าได้ยังไง” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ตอบ
โจวมามาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “เช่นนั้นท่านแช่น้ำไปก่อน บ่าวจะไปดูว่าชาขิงพร้อมรึยังเพคะ”
“ไปเถอะ”
ร่างกายที่เย็นยะเยือกในเดิมทีของเริ่นเซวียนเอ๋อร์ เมื่อได้แช่น้ำร้อนก็อบอุ่นขึ้นมากจริงๆ แถมวันนี้ก็ตื่นเช้าด้วย เวลานี้แช่อยู่ในน้ำร้อน เริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็รู้สึกง่วงขึ้นมาในพริบตาแล้ว ไม่นานก็หลับไป
เริ่นเซวียนเอ๋อร์ที่ไม่รู้ว่าหลับไปนานเพียงใด รู้สึกเหมือนว่ามีคนกำลังจ้องมองตัวเองอยู่ จึงตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลสุดท้ายเมื่อแหงนหน้าขึ้นก็เห็นเงาร่างอันคุ้นเคยเงาหนึ่งหลังฉากกั้น
“เสด็จอาเก้า ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“มาซิดูว่าเจ้ารนหาที่ตายยังไง!” น้ำเสียงของกู้จิ่วเยวียนเย็นชาเล็กน้อย
เริ่นเซวียนเอ๋อร์มุมปากกระตุก และแสร้งทำเป็นรู้สึกไม่สบายในทันที “เสด็จอาเก้าท่านจะปลอบคนสักหน่อยไม่ได้หรือไง โอ๊ย ข้าเวียนหัวจังเลย ตัวก็ร้อน จะต้องเป็นหวัดแน่ๆ ข้าทรมานจังเลยเพคะ”
กู้จิ่วเยวียนไม่ขยับ “ดูเหมือนว่าสะพานจะสูงไม่พอ เจ้ายังมีแรงพูดได้อีก”
เมื่อเขาได้ยินว่าเริ่นเซวียนเอ๋อร์ตกจากสะพานลงไปในแม่น้ำก็รีบตามมาทันที สั่งการให้องครักษ์ลับตรวจสอบเรื่องนี้ คิดว่าหากผู้ใดกล้าผลักนางตกน้ำจะต้องดึงเอ็นถลกหนังของคนผู้นั้นให้ได้ สุดท้ายคิดไม่ถึงว่านางจะกระโดดลงไปเอง นี่ก็ทำให้กู้จิ่วเยวียนรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก
เด็กบ้าคนนี้ ช่างไม่ทะนุถนอมร่างกายของตัวเองซะจริงๆเลย
“เสด็จอาเก้า ทำไมท่านถึงยังได้ไม่รู้จักใส่ใจดูแลหญิงงามอีกนะ” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวด้วยความน้อยใจ
“ข้าว่าเจ้าแข็งแกร่งซะยิ่งกว่าหินในโถส้วมซะอีก ยังจะต้องให้คนอื่นดูแลเอาใจใส่อีกรึ” กู้จิ่วเยวียนย้อนถาม
“ทั่วหล้านี้ก็มีแค่เสด็จอาเก้าที่กล้าว่าข้าเป็นหินในโถส้วม ฮัทชิ้ว!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์บ่นพลางแล้วก็จาม
กู้จิ่วเยวียนที่รู้สึกโกรธเคืองอยู่ในเดิมทียื่นเสื้อผ้าที่พาดอยู่บนฉากกั้นให้ แต่ศีรษะกลับหันไปอีกด้านโดยสัญชาตญาณ “รีบขึ้นมา”
เริ่นเซวียนเอ๋อร์เห็นเสด็จอาเก้าเป็นเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งเขา “เสด็จอาเก้า ท่านช่วยข้าสวมหน่อย ข้ามือชา”
กู้จิ่วเยวียนรู้สึกเพียงแค่เลือดลมทั้งร่างกายพลุ่งพล่าน แม้ว่าจะไม่ได้หันกลับไป แต่เริ่นเซวียนเอ๋อร์กลับเห็นว่าใบหูของเขาแดงขึ้นเล็กน้อย จึงรู้ทันทีว่าเสด็จอาเก้าเขินอาย
“เลิกทำเป็นเล่น รีบออกมา ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นหวัดแล้ว” เสียงการพูดจาของกู้จิ่วเยวียนแหบพร่าเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้เล่น ตอนข้าเป็นเด็กเสด็จอาเก้าก็เคยสวมเสื้อผ้าให้ข้า ทั้งยังเคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ข้าด้วย”
กู้จิ่วเยวียนมีเส้นสีดำวาดผ่านที่หน้าผากสามเส้นด้วยจนปัญญา มุ่งตรงไปข้างเตียงโดยตรง หยิบผ้าห่มจากเตียงแล้วโยนไปบนตัวของเริ่นเซวียนเอ๋อร์ แล้วฉวยโอกาสคว้านางออกมาจากถังไม้ ห่อทั้งคนไว้โดยตรงแล้วโยนขึ้นไปบนเตียง
ตกลงไปบนเตียงนาทีนั้น เริ่นเซวียนเอ๋อร์กอดกู้จิ่วเยวียนไว้ด้วยสัญชาตญาณ “เสด็จอาเก้า ท่านก็ทำตามข้าเถอะนะ”
น้ำเสียงนุ่มนวล ความรู้สึกคลุมเครือ เหมือนดั่งประกายไฟที่จุดจนไหม้ลามในทรวงอกของกู้จิ่วเยวียนเช่นนั้น ไฟที่โหมกระหน่ำลุกโชนขึ้นในพริบตา
กู้จิ่วเยวียนรู้สึกเพียงแค่ทั้งร่างกายร้อนผ่าวจนไร้ที่เปรียบ ราวกับว่าตัวอยู่ในเตาไฟเช่นนั้น สาวน้อยเบื้องหน้าเป็นเหมือนดั่งเกสรของดอกไม้ตูมที่กำลังรอการเบ่งบาน รอให้เขาเด็ด
“นี่เจ้ากำลังเล่นกับไฟ!”
“แล้วเสด็จอาเก้ากล้ารึเปล่าเพคะ?” เริ่นเซวียนเอ๋อร์จงใจถามด้วยความท้าทาย
มองดูท่าทางที่จงใจใช้ลูกไม้ด้วยความอวดดีของนาง เหมือนดั่งจิ้งจอกน้อยแสนซนเช่นนั้น ช่างทำให้กู้จิ่วเยวียนคันจิตคันใจยากที่จะทนได้จริงๆ โดยเฉพาะเวลานี้ที่ทั้งสองอยู่ติดกันแนบแน่น ร่างกายของเริ่นเซวียนเอ๋อร์หลังจากอาบน้ำแผ่กระจายกลิ่นหอมสดชื่นจางๆ ทำให้กู้จิ่วเยวียนรู้สึกตื่นเต้นสับสนในชั่วขณะ
ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปี ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรก้าวข้ามก้าวนั้นออกไป แต่เวลานี้เผชิญหน้ากับดวงตาที่สดใสคู่นั้นของเริ่นเซวียนเอ๋อร์ กู้จิ่วเยวียนก็ขยับตัวเข้าไปใกล้นางด้วยสัญชาตญาณ
เข้าใกล้ใบหน้าของนาง เข้าใกล้ริมฝีปากของนาง และจูบลงไปเบาๆ