จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 922 เจ้ามาเป็นพ่อของข้าแล้วกัน
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 922 เจ้ามาเป็นพ่อของข้าแล้วกัน
เมื่อหยุนถิงได้ยินคำพูดนี้ก็พลันนึกขึ้นว่า เดือนนี้ประจำเดือนของนางเลื่อนไปแล้วจริงๆ แต่ด้วยเหตุว่านางได้เข้าร่วมงานแต่งของเป่ยหมิงฉี่ เลยไม่มีสมาธิไปคิดเรื่องด้านนั้น หยุนถิงจึงรีบตรวจชีพจรให้ตนเอง
“ถิงเอ๋อร์ มันมีจริงๆแล้วใช่ไหม” จวินหย่วนโยวถามด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
ผ่านไปเวลาตั้งนาน หยุนถิงถึงได้ปล่อยมือ “วันเวลาสั้นเกินไป ชีพจรยังไม่ชัดเจนนัก รออีกครึ่งเดือนค่อยตรวจใหม่ อย่าเปิดเผยเลยนะ ข้าก็ยังไม่แน่ใจ เพราะวันเวลาสั้นเกินไป”
“ถิงเอ๋อร์ว่าอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น” จวินหย่วนโยวปลาบปลื้มมากจนหยุดยิ้มไม่ได้
ตอนนั้นเขาพลาดการกำเนิดของเสี่ยวเทียนและเสี่ยวเหยียน ครั้งนี้เขาจะปกป้องลูกของพวกเขาแน่นอน และชดเชยความผิดที่ผ่านมา
ณ ล้านบ้าน จวินเสี่ยวเทียนและจวินเสี่ยวเหยียนกำลังให้อาหารไก่และเป็ดด้วยข้าวสารและใบผักตามหวางเสี่ยวฝู เด็กน้อยสองคนนี้ปลื้มใจเป็นอย่างมาก
“ท่านพี่ ลูกไก่น่ารักจังเลย รีบมากินข้าวสารสิ” จวินเสี่ยวเหยียนหยิบข้าวสารหนึ่งกำมือและโรยไปทางลูกไก่
พวกลูกไก่เบียดเสียดเข้ามาพร้อมกันเพื่อแย่งชิงข้าวสารที่พื้น จวินเสี่ยวเหยียนเห็นแล้วก็รู้สึกมีความสุขมาก
ส่วนจวินเสี่ยวเทียนถือใบผักและให้อาหารลูกเป็ด “ทำไมพวกมันไม่กินเลยวะ”
“มาดูข้าเลย” หวางเสี่ยวฝูเดินเข้าไปในคอกโดยตรง หยิบลูกเป็ดตัวหนึ่งและไก่ตัวหนึ่งขึ้นมาแล้วก็ยื่นมาให้ “ถ้าพวกเจ้าชอบ อุ้มขึ้นมาให้อาหารก็ได้”
จวินเสี่ยวเหยียนรีบยื่นมือไปรับลูกไก่ “ว้าว ขนปุกปุย จับแล้วรู้สึกอบอุ่นมาก”
“ลูกเป็ดก็น่ารักมาก ดูสิ มันกินไปหมดแล้ว” จวินเสี่ยวเทียนก็รับลูกเป็ดด้วยความปลื้มใจ
“การแต่งตัวของพวกเจ้าค่อนข้างดูดี มองแวบเดียวก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นคุณชายคุณหนูของตระกูลที่ร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยให้อาหารเป็ดและไก่ด้วยซ้ำ น่าสงสารเลยนี่” หวางเสี่ยวฝูแขวะ
ซูหลินและเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เด็กตัวอ้วนคนนี้กล้าแขวะว่าซื่อจื่อน้อยและจวิ้นจู่น้อยน่าสงสาร
“เจ้าเด็กบ้าอย่าพูดเหลวไหลเลื่อนเปื้อน เจ้าจะไปตีค่าเรื่องของพวกคุณชายคุณหนูได้อย่างไร รีบไปอ่านหนังสือฝึกเขียนตัวอักษรเลย ขนาดชื่อของตนยังเขียนไม่เป็น ทีหลังจะเลี้ยงชีพได้อย่างไรกัน” เหล่าหวางถือไม้พลองไว้ในมือและเดินเข้ามา
“ขอโทษด้วย เจ้าเด็กบ้านี้ใช้ถ้อยคำไม่ถูกต้อง หวังว่าพวกท่านอย่าถือสาเลย” เหล่าหวางรีบกล่าวคำขอโทษต่อพวกซูหลิน
“ไม่เป็นไร เสี่ยวฝูน่ารักดี” ซูหลินตอบ อย่างไรนางก็ไม่สามารถพูดร้ายต่อหน้าพ่อของเขาได้เลย
เหล่าหวางจับหูของเสี่ยวฝูก็ลากเขาไปจากที่นี่แล้ว “เจ้าเด็กบ้า ถ้าวันนี้ยังเขียนชื่อของตนไม่เป็นก็ไม่ให้กินข้าวเลยนะ”
“อา เจ็บมาก ข้าเป็นลูกแท้ๆของท่านใช่ไหม ข้าเป็นเด็กที่ถูกท่านเก็บมาจากส้วมหลุมแน่” หน้าตาของหวางเสี่ยวฝูบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดและถูกลากจากไปแล้ว
ฉากนี้ทำให้จวินเสี่ยวเหยียนและจวินเสี่ยวเทียนต่างก็ขบขัน และทั้งสองก็เล่นด้วยกันต่อ
มีเสียงดุด่าของเหล่าหวางและเสียงกรีดร้องของหวางเสี่ยวฝูดังขึ้นจากห้องครัวด้านหลังเป็นระยะๆ ในตอนที่เหล่าหวางออกไปนำฟืนหวางเสี่ยวฝูก็ฉวยโอกาสนี้วิ่งออกมาหาอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวเทียน เสี่ยวเหยียน พวกเจ้าเขียนตัวอักษรเป็นไหม ข้าทำอย่างไรก็เขียนชื่อของตนไม่เป็น พวกเจ้าช่วยข้าหน่อยได้ไหม”
จวินเสี่ยวเทียนถามเขาว่าเป็นตัวอักษรอะไรบ้าง จากนั้นก็หยิบพู่กันและกระดาษขึ้นมาและเขียนลงไป ทำให้หวางเสี่ยวฝูปรบมือไชโยและรีบเรียนตามเขาทันที
หลังจากนั้นไม่นาน หวางเสี่ยวฝูก็เรียนรู้จนเป็น แม้ว่าลายมือของเขายังคงขยุกขยิกและดูไม่สวย แต่อย่างไรก็ถือว่าเขียนเป็นแล้ว
“ในที่สุดข้าก็เขียนชื่อของตนจนได้แล้ว พ่อสอนข้าเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว แต่ข้าก็ยังไม่เป็น เสี่ยวเทียนนี่เก่งจริงๆเลย เจ้าสอนสักพักข้าก็เป็นแล้ว เจ้าเก่งกว่าพ่อของข้าเป็นอย่างมาก เสี่ยวเทียน เจ้ามาเป็นพ่อของข้าแล้วกัน” หวางเสี่ยวฝูพูดออกมาตามจิตใต้สำนึก
คำพูดคำเดียวทำให้ตลกขบขัน
สีหน้าของจวินเสี่ยวเทียนมีความอึดอัดเล็กน้อย “ไม่ได้เลยนะ ข้าเองก็ยังเป็นเด็ก จะไปเป็นพ่อของเจ้าได้อย่างไรเล่า อีกอย่าง ถ้าข้าไปเป็นพ่อของเจ้าจริงๆแล้ว พ่อแม่ของเจ้าจะต้องกลืนข้าเข้าไปแน่”
“มันเป็นไปไม่ได้หรอก ข้าคิดว่าเจ้าฉลาดกว่าพ่อของข้า เห็นไหม เจ้ามาสอนข้าปุ๊บ ข้าก็เป็นแล้ว หรือว่าเจ้ามาเป็นพ่อบุญธรรมของข้าสิ” หวางเสี่ยวฝูเสนอ
ยังไม่ทันรอจวินเสี่ยวเทียนตอบ เหล่าหวางก็พุ่งเข้ามาหาด้วยความโกรธ “ไอ้เลว ใครสั่งให้เจ้าไปรับคนมาเป็นพ่อล่ะ แถมยังกล้าดูถูกข้าอีกด้วย ข้าจะตีก้นของเจ้าเลย”
“อา ช่วยด้วย แม่ ช่วยด้วย!” หวางเสี่ยวฝูวิ่งหนีพร้อมกับเสียงตะโกน
เหล่าหวางถือไม้พลองไล่ตามเขา ทำให้ทุกคนเห็นแล้วหัวเราะออกมา
ทันใดนั้น มีกลุ่มรถม้าหยุดนอกบ้าน ผู้นำของกลุ่มนั้นก็คือกู้จิ่วเยวียนนั่นเอง เขาเก็บข้อมูลข่าวสารในตลอดการเดินทาง และในที่สุดวันนี้ก็ได้ไล่ตามพวกหยุนถิงจนทัน
กู้จิ่วเยวียนเดินเข้าไปในลานบ้านอย่างรวดเร็ว และกวาดตามองคนที่อยู่ในลาน สุดท้ายสายตาของเขาจับจ้องไปที่หลงเอ้อ “ขอไปแจ้งซื่อจื่อเฟยว่า ข้ามีเรื่องที่ต้องขอช่วยเหลือ”
หลงเอ้อเหลือบตามองเขาปราดหนึ่ง “ท่านเป็นเสด็จอาเก้าของเริ่นเซวียนเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ หรือว่าเริ่นเซวียนเอ๋อร์เป็นอะไรไปหรือ”
“ไม่ได้เป็นเซวียนเอ๋อร์ เป็นข้าเองต่างหาก” กู้จิ่วเยวียนตอบ
“เอาล่ะ งั้นท่านรอสักครู่” หลงเอ้อรีบไปรายงาน
หยุนถิงและจวินหย่วนโยวที่อยู่ในห้องได้ยินว่ากู้จิ่วเยวียนมาแล้ว ต่างก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
“เขามาหาเจ้าทำไม” จวินหย่วนโยวขมวดคิ้ว
“อาจเป็นเพราะเรื่องของเริ่นเซวียนเอ๋อร์กระมัง ก่อนหน้านี้เริ่นเซวียนเอ๋อร์เคยส่งจดหมายมาบอกว่า กู้จิ่วเยวียนไม่ยอมรับนาง น่าจะเป็นเพราะกู้จิ่วเยวียนเกรงร่างกายของตน หลงเอ้อ ให้เขาเข้ามาเถอะ” หยุนถิงเอ่ย
“ขอรับ” หลงเอ้อรีบไปเรียกเขา
จวินหย่วนโยวประคองหยุนถิงให้ลุกขึ้นนั่งอย่างระมัดระวัง “ระวังหน่อยนะ”
“นายท่าน ข้าไม่ได้งอแงขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องละเอียดรอบคอบเพียงนี้ อาจไม่ได้ท้องก็ได้” หยุนถิงพูดติดตลก
“ไม่ได้ สุขภาพของเจ้าสำคัญที่สุด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ท้องก็ต้องระมัดระวังด้วย” จวินหย่วนโยวตอบอย่างแข็งกร้าว
หยุนถิงยิ้มอย่างจนปัญญาและไม่ได้พูดอะไรต่อ
กู้จิ่วเยวียนเดินเข้ามาตามหลงเอ้อ และทันทีที่เขาเข้ามาก็เห็นจวินหย่วนโยววางหมอนไว้ด้านหลังหยุนถิงอย่างเอาใจใส่เป็นอย่างมาก เพื่อให้นางพิงอย่างสบายยิ่งขึ้น
เขารู้มาโดยตลอดว่า จวินหย่วนโยวมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการโปรดปรานหยุนถิง แม้ว่ามันจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ก็สามารถมองเห็นความจริงใจของคนคนหนึ่งได้
“ถวายคำนับซื่อจื่อเฟยและจวินซื่อจื่อ ครั้งนี้ข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือจากซื่อจื่อเฟย!” กู้จิ่วเยวียนพูดตรงประเด็น
หยุนถิงเงยหน้ามองกู้จิ่วเยวียนปราดหนึ่ง เขาสวมชุดกาวน์สีดำที่มีลายงูเหลือมปักอยู่ ทำให้รูปร่างของเขาเรียวยาวและสูงตรงยิ่งขึ้น หน้าตาหล่อเหลาทระนง แต่ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย และมีความเหนื่อยล้าเล็กน้อยแฝงอยู่ด้วย ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้ทำให้เขาเหนื่อยมาก
เมื่อนึกถึงจดหมายที่เริ่นเซวียนเอ๋อร์ส่งมาให้นั้น หยุนถิงก็ถามขึ้นว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนี้ มีอะไรก็พูดโดยตรงสิ!”
“โปรดซื่อจื่อเฟยช่วยรักษาโรคของข้า ข้ารู้ดีว่าข้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสามปีแล้ว เมื่อก่อนข้าไม่สนใจชีวิตของตน อย่างไรข้าก็มีชีวิตที่มากพอแล้ว แต่ตอนนี้ทุกครั้งที่ข้าอยู่ต่อหน้าเซวียนเอ๋อร์ ข้าก็รู้สึกผิดต่อนางทุกที ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากปกป้องนางตลอดชีวิตโดยธรรมชาติ แต่ว่าร่างกายของข้า เฮ้!” กู้จิ่วเยวียนพูดพลางถอนหายใจ
หยุนถิงรู้ตั้งนานแล้วว่า กู้จิ่วเยวียนมีการปฏิบัติต่อเริ่นเซวียนเอ๋อร์ที่แตกต่างออกไป ตอนนี้เขาอุตส่าห์มาหา เห็นได้ชัดเลยว่าเขาอยากอยู่กับเริ่นเซวียนเอ๋อร์ตลาดชีวิตจริงๆ
“เซ่อเจิ้งอ๋อง ขอเดินเข้ามาใกล้ๆหน่อย ข้าจะตรวจชีพจรให้ท่าน” หยุนถิงพูด
“รบกวนแล้ว” เซ่อเจิ้งอ๋องรีบเดินเข้าไป
กู้จิ่วเยวียนยกที่นั่งขอบเตียงให้เขา และหลงเอ้อขนเก้าอี้หนึ่งตัวมาให้ กู้จิ่วเยวียนพูดด้วยความเกรงใจเป็นอย่างยิ่งว่า “ขอบคุณมาก!”
ทันทีที่หยุนถิงคิดจะยื่นมือออกไป ก็เห็นกู้จิ่วเยวียนหยิบผ้าไหมผืนหนึ่งมาวางบนข้อมือของกู้จิ่วเยวียน
หยุนถิงกลอกตาใส่เขาอย่างอดไม่ได้ คนนี้ช่างเป็นคนขี้งอแงเลย แต่หยุนถิงก็ไม่ได้ว่าอะไร และรีบตรวจชีพจรให้กู้จิ่วเยวียนทันที
ใบหน้าที่สงบแต่เดิมเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ
“ซื่อจื่อเฟย สุขภาพของข้าแย่มากใช่ไหม”กู้จิ่วเยวียนตึงเครียดจนหัวใจเต้นเร็วมาก