จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 925 ทำไมเขาถึงได้อุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขน
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 925 ทำไมเขาถึงได้อุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขน
หยุนหลีเห็นเขาปรากฏตัวก็รีบรู้สึกตื่นตระหนกตกใจแล้ว “ท่านอา ข้าแค่พูดล้อเล่น อยากอวดดีต่อหน้าท่านพี่ไง ไม่ได้นึกว่าจะถูกท่านเห็นเข้าพอดี”
“อย่างนี้นี่เอง งั้นข้าจะทำเป็นไม่ได้ยิน เจ้าอวดต่อสิ” เสวี่ยเชียนโฉวพูดอย่างโปรดปราน
สีหน้าของหยุนหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านอา ท่านพูดจริงหรือ ทุกคนก็ได้ยินหมดแล้ว ข้าจะอวดต่อได้อย่างไรเล่า”
“ถ้าเจ้าอยากอวด ทุกคนก็สามารถทำเป็นไม่ได้ยินได้”
“จริงหรือ” หยุนหลีรีบหันไปมองพวกหยุนถิงและจวินหย่วนโยว
“ท่านอาของเจ้าโอ๋เจ้า แต่มันไม่ได้รวมพวกเราด้วย เราไม่ได้เป็นคนหูหนวก สิ่งที่ต้องได้ยินก็ได้ยินหมดแล้วแหละ” เสียงที่น่าเย่อหยิ่งดังมาจากกำแพง
“จ้าวเม่ยเอ๋อร์ เป็นเจ้านี่หรือ!” หยุนหลีตกใจเล็กน้อย เหมือนกับว่าไม่ได้เห็นนางเป็นเวลานานแล้ว
จ้าวเม่ยเอ๋อร์บินลงจากกำแพง “เป็นข้าเลยนะ ได้ข่าวว่าหยุนถิงกลับมาแล้ว ข้าก็มาหาโดยธรรมชาติ”
หยุนถิงหันไปมองจ้าวเม่ยเอ๋อร์ ตอนนี้ใบหน้าของนางแดงก่ำ สีหน้าค่อนข้างจะดี สายตาของหยุนถิงจับจ้องไปที่หน้าท้องของนาง “เจ้ามีลูกแล้วหรือ”
จ้าวเม่ยเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก “ครั้งหนึ่งข้าเมาจนประมาทไปเลยท้อง ท่องไปในยุทธจักรโดยคนเดียวมันเหงาเกินไป ข้าก็เลยอยากมีลูกเพื่อหาความสนุกบ้าง!”
มุมปากของหยุนถิงกระตุก นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเหตุผลแปลกๆเช่นนี้
“เม่ยเอ๋อร์ เรื่องแบบนี้เจ้าควรคิดดูให้ดีๆเลย การมีลูกไม่ใช่เรื่องเล่น” หยุนซูที่ยืนอยู่ในด้านข้างอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
เพราะหยุนซูเห็นท่านพี่และพี่สะใภ้ดูแลลูกๆกับตา จึงรู้ความยากลำบานในการมีลูก
“มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอะไรนัก บนภูเขาของข้ามีลูกน้องตั้งร้อยกว่าคน ให้พวกเขาดูแลลูกแทนข้าวันละหนึ่งคน เวลาหนึ่งปีก็ผ่านไปครึ่งกว่าแล้ว ข้าจะไปกลัวอะไร” จ้าวเม่ยเอ๋อร์พูดอย่างเมินเฉย
“ภูเขาอะไรนะ” หยุนถิงเลิกคิ้วและหันกลับมามอง
“ในเมื่อเร็วๆนี้ข้าได้ปราบและควบคุมภูเขาหนึ่งลูกไว้ โจรร้อยกว่าคนเหล่านั้นถูกข้าปราบจนไม่กล้าต่อต้านอีก ตอนนี้ข้าเป็นเจ้านายของพวกเขาเรื่องการวางเพลิง การฆ่า การข่มขืนและการปล้นทั้งหมดถูกข้าสั่งให้หยุดไว้แล้วด้วย ตอนนี้ข้าได้เปลี่ยนชื่อของพวกเขาเป็นเขาวีรบุรุษ ปล้นคนรวยเพื่อช่วยคนจน สร้างความเป็นธรรม และลงโทษคนร้าย” จ้าวเม่ยเอ๋อร์พูดอย่างภาคภูมิใจ
“จ้าวเม่ยเอ๋อร์นี่เก่งจริงๆนะ นี่มันก็เป็นโจรหญิงในตำนานไม่ใช่หรือ” หยุนหลีมองด้วยความอิจฉา
“โจรหญิงอะไรเนี่ย ข้าเป็นจอมยุทธ์หญิงต่างหาก” จ้าวเม่ยเอ๋อร์กลอกตาใส่นาง
“งั้นข้าไปอยู่กับเจ้าเลย!” หยุนหลีถามอย่างตื่นเต้น
ไม่รอให้จ้าวเม่ยเอ๋อร์ตอบ เสวี่ยเชียนโฉวก็เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเจ้าอยากไป ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า!”
เสวี่ยเชียนโฉวโปรดปรานหยุนหลีอย่างสุดขีดจริงๆเนี่ย แม้จะไปเป็นโจร เขาก็จะไปเป็นด้วยกัน
อยู่ๆพวกเขาก็มาแสดงความรักต่อหน้าจ้าวเม่ยเอ๋อร์ จนทำให้จ้าวเม่ยเอ๋อร์หมดคำพูดไปชั่วขณะ “เดี๋ยวก่อน แม้ว่าข้าจะเป็นจอมยุทธ์หญิง แต่เรื่องปล้นคนรวยเพื่อช่วยคนจน ราชสำนักมันไม่ได้อนุญาตให้ทำโดยเปิดเผยเนี่ย”
“พ่อของเจ้าเป็นหยุนเฉิงเซี่ยง พี่สาวใหญ่ของเจ้าเป็นซื่อจื่อเฟย และพี่เขยเป็นจวินหย่วนโยว ถ้าเจ้าไปเป็นโจรหญิงจริงๆ และถูกฝ่าบาทสั่งคนไปไล่ล่าล่ะ จะให้พวกเขาต้องเผชิญหน้าได้อย่างไรกัน เจ้ากลับไปกับเจ้าอุทยานเสวี่ยของเจ้าและไปเป็นฮูหยินเจ้าอุทยานดีกว่า”
หยุนหลีเม้มริมฝีปาก “มันก็ใช่เลยนะ ข้าไม่ควรให้ท่านพ่อและท่านพี่ต้องอึดอัด งั้นข้าแอบไปกับเจ้าก็แล้วกัน”
“น้องหญิงสี่ อย่าให้ท่านอาของเจ้าลำบากใจเลย” หยุนซูรีบเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะ”
“หยุนถิง ทำไมเจ้ากลับมาแล้วก็ไม่สั่งคนไปแจ้งทางจวนตระกูลหยุนนี่” หยุนเฉิงเซี่ยงจูงมือของหยุนซือถิงผู้ที่เป็นหลานชายของเขาและเดินเข้ามา
ซูชิงโยวเดินตามหลังพวกเขา และได้ถือผลไม้บ้างไว้ในมือด้วย
“หากไม่ใช่ว่าซูเอ๋อร์สั่งคนไปส่งข่าว เราก็จะไม่รู้เลยว่าพวกเจ้ากลับมาแล้ว พวกเจ้าได้เดินทางนานขนาดนี้ ท่านพ่ออยู่บ้านก็พูดถึงเรื่องของพวกเจ้าเสมอ” ซูชิงโยวพูดหยอกล้อ
หยุนถิงเดินเข้ามาและประคองแขนของหยุนเฉิงเซี่ยง “ข้าทำให้ท่านพ่อต้องกังวลแล้ว ครั้งหน้าถ้าข้าจะไปข้างนอก ก็จะพาท่านไปด้วยกัน”
“มันก็ควรเป็นแบบนี้แหละ” หยุนเฉิงเซี่ยงพูดด้วยความพอใจ และรีบมองดูลูกสาวของตนอย่างใกล้ชิดทันที เมื่อเห็นว่าหหยุนถิงไม่ได้รับคาวมเสียหายใดๆตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาถึงได้รู้สึกโล่งใจ
“ท่านนี้เป็นใคร” หยุนเฉิงเซี่ยงมองเห็นกู้จิ่วเยวียนที่อยู่ข้างๆ
“ข้าชื่อกู้จิ่วเยวียน ถวายคำนับหยุนเฉิงเซี่ยงและทุกคน” กู้จิ่วเยวียนเอ่ย
แม้จะเป็นเซ่อเจิ้งอ๋องผู้ที่อยู่ใต้คนๆเดียวและอยู่เหนือคนนับหมื่นของแคว้นเทียนจิ่ว ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ถืออำนาจบาตรใหญ่ แต่กลับใช้ถ้อยคำที่สุภาพมาก
“เป็นเซ่อเจิ้งอ๋องของแคว้นเทียนจิ่วเองหรือ เชิญตามสบายเลย” หยุนเฉิงเซี่ยงพูด
หยุนเฉิงเซี่ยงก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก เพราะเขารู้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องมานี่ย่อมต้องมีเรื่องใหญ่ มิฉะนั้นมาแคว้นต้าเยียนทำไม
“ได้!”
“ท่านตา พวกเราได้ซื้อของขวัญมาให้ท่าน!” จวินเสี่ยวเทียนและจวินเสี่ยวเหยียนวิ่งเข้ามาและพูด
ใบหน้าที่บึ้งตึงของหยุนเฉิงเซี่ยงนั้นกลับมีรอยยิ้มอีก “ที่รักของปู่เอ่ย พวกเจ้ากลับมาได้สักที ปู่คิดถึงพวกเจ้ามาก เข้ามาให้ปู่ดูดีๆสิ ทีหลังอย่าเรียกปู่ว่าตา ให้เรียกว่าปู่โดยตรง คำว่าตาไม่น่าฟังเลย”
“ได้เลยท่านปู่ อาหารการกินของแคว้นเป่ยลี่ดีมากเลย ข้ากินข้าวชามใหญ่ทุกมื้อเลยนะ” จวินเสี่ยวเทียนพูด
“ที่เป็นของขวัญที่ข้าและท่านพี่เลือกให้ท่าน!” จวินเสี่ยวเหยียนยื่นมาให้
“ในระหว่างทางกลับ เด็กทั้งสองอุ้มมันไว้ตลอดทาง และบอกว่าจะส่งให้ปู่ด้วยมือของพวกเขาเอง” จวินหย่วนโยวพูด
พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตตั้งนาน หยุนเฉิงเซี่ยงก็ถือว่าเด็กทั้งสองนี้เป็นคนใกล้ชิดที่สุด คำว่าปู่และตาเป็นเพียงแค่ชื่อเรียกเท่านั้น จวินหย่วนโยวก็ไม่ถือสาเรื่องนี้
“ถิงเอ๋อร์ ผักและผลไม้ที่ข้าปลุกไว้ในบ้านสุกแล้ว ข้าจึงเอามาให้เจ้าบ้าง” ซูชิงโยวถือตะกร้าและเดินเข้ามา
“ขอบคุณพี่สะใภ้ ทุกคนเข้าไปนั่งเถอะ” หยุนถิงพูด
ทุกคนจึงรีบเดินเข้าไปข้างในด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ ต่างก็มีความสุขมาก เมื่อเห็นครอบครัวใหญ่อย่างพวกเขาสามารถอยู่ด้วยกันกลมเกลียวและสบายใจได้ ดวงตาของกู้จิ่วเยวียนก็มีความอิจฉาเล็กน้อย ตั้งแต่เขาเกิดมา เขาก็ยืนอยู่เหนือมวลชนและอยู่โดดเดี่ยว มีแต่เซวียนเอ๋อร์เพียงคนเดียวที่กล้าเข้าใกล้เขา
“ช่างนี้พี่ชายใหญ่และเสี่ยวลิ่วเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมไม่เห็นพี่ห้านะ” หยุนถิงถาม
“พี่ชายใหญ่เจ้าและเสี่ยวลิ่วอยู่ในค่ายทหารตลอด ช่วงนี้เสี่ยวลิ่วสร้างคุณูปการอีกแล้ว เขาทำได้ดีมาก ส่วนพี่ห้าของเจ้า เฮ้ ให้ซูเอ๋อร์เล่าให้เจ้าฟังแล้วกัน” หยุนเฉิงเซี่ยงถอนหายใจ
“ท่านพี่ ตั้งแต่พี่ห้ารู้ว่าหงหลิงหักหลังเขา ก็ซึมเซาจนไร้ชีวิตชีวา นอกจากนี้เขายังถูกซวนอ๋องสั่งให้ขังไว้ในคุกหลวงเป็นเวลาครึ่งเดือนอีก หลังจากพี่ห้ากลับมาก็ล้มป่วยจนเสื่อมโทรมมาก เราลองหาวิธีหลากหลายก็ไม่เป็นผล” หยุนซูพูดทอดถอนใจ
“ท่านพี่กลับมาก็ดีแล้ว ท่านรู้จักวิธีมากมายเสมอ ย่อมสามารถช่วยพี่ห้าได้แน่” หยุนหลีเอ่ย
“ได้ ข้าจะไปหาพี่ห้าหลังกินอาหาร”
“หยุนห้าเป็นคนหัวดื้อจริงๆเนี่ย ทำไมต้องผูกคอตายใต้ต้นไม้ที่เอียงไปแล้วเล่า มีผู้หญิงหลายพันคนในโลกนี้ ไปหาผู้หญิงใหม่ก็จบเรื่องแล้วไง”จ้าวเม่ยเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะแขวะ
“ถ้าพี่ห้าจะคิดเหมือนเจ้า มันก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว” หยุนซูทอดถอนใจ
“เรื่องความรักเขาต้องต่อสู้ด้วยตนเอง เซ่อเจิ้งอ๋องยากที่จะได้มาสักที วันนี้ไม่เมาไม่กลับนะ!” เป็นแค่เรื่องผู้หญิงคนเดียวเอง ก็เสื่อมโทรมถึงเพียงนี้ หยุนเฉิงเซี่ยงพูดเหมือนปวดหัวเรื่องลูกชายของตนใช้การไม่ได้
“ได้เลย!” กู้จิ่วเยวียนยกแก้วสุราอย่างรู้จักกาลเทศะ
ทุกคนจึงดื่มสุราอย่างร่าเริง ส่งเสียงโห่ร้อง และทานอาหารอย่างตามสบายใจโดยมีความสุขมาก
อารมณ์ของกู้จิ่วเยวียนดีมากจนได้กินข้าวสองชาม ในขณะนี้กู้จิ่วเยวียนอิจฉาจวินหย่วนโยวเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นจวินหย่วนโยวมองหยุนถิงด้วยสายตาที่อ่อนโยนก็สามารถรู้ได้ว่า เขารักหยุนถิงเป็นอย่างยิ่ง อาจจะเป็นเพราะว่าหยุนถิงเป็นผู้ที่ทำให้เขารับรู้ถึงความรักที่แท้จริงในโลกนี้กระมัง
หลังจากทานอาหารเสร็จ หยุนถิงก็ออกจากบ้านกับพวกหยุนซูและหยุนหลีแล้ว เรื่องความรักมันจะทำร้ายจิตใจของคนมากที่สุด หวังว่าพี่ห้าสามารถปล่อยวางมันได้
รถม้าเดินไปผ่านถนนสามสาย หยุนถิงได้มองเห็นร่างที่คุ้นเคยอยู่ข้างถนน และคนคนนั้นยังอุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขนด้วย
“โม่ฉือหาน ทำไมเขาถึงได้อุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขน”