จอมนางข้ามพิภพ - บทที่ 940 อย่าคิดอีกเลย โม่เหลิ่งเหยียนไม่ชอบเจ้าหรอก
จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 940 อย่าคิดอีกเลย โม่เหลิ่งเหยียนไม่ชอบเจ้าหรอก
โม่ฉีเฟิงกับจี้อวี๋ตกตะลึงในเวลาเดียวกัน มองไปทางคนที่อยู่เหนือศีรษะโดยสัญชาตญาณ เห็นว่าเป็นองครักษ์นายหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างหลุมลึก
“เจ้าอยู่ตรงนั้นตลอดเลยหรือ?”
“เรียนแม่ทัพโม่ ใช่ขอรับ ข้าน้อยอยู่ที่นี่ตลอด!” องครักษ์ตอบไปตามความจริง
“เจ้าสารเลวคนนี้มองดูเราต่อสู้กันอยู่อย่างนี้หรือ?” โม่ฉีเฟิงกล่าวด้วยความโมโห
“แม่ทัพหยุนบอกแล้วว่าขฌ รอให้ทั้งสองคนสู้กันจนพอใจแล้วค่อยช่วยพวกท่านขึ้นมา!”
“หยุนไห่เทียนคนนี้ช่างไม่มีคุณธรรมจริงๆ ข้าค่อยกลับไปคิดบัญชีกับเขาในภายหลัง รีบช่วยเราขึ้นไปเร็วเข้า!” จี้อวี๋กล่าวด้วยความโมโห
องครักษ์โยนเชือกลงมาทันที และผูกปลายเชือกอีกด้านหนึ่งเอาไว้กับต้นไม้ใหญ่ โม่ฉีเฟิงกับจี้อวี๋ปีนขึ้นไป
สองคนที่เหนื่อยจนอ่อนแรงเป็นทุนอยู่แล้ว เดินช้ามาก ในตอนที่พวกเขาเดินออกมาจากพื้นที่ล่าสัตว์ ก็เห็นกระโจมและผู้คนที่อยู่ด้านนอกพื้นที่ล่าสัตว์ก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว
“คนล่ะ ทำไมถึงหายไปหมดแล้ว?” จี้อวี๋เต็มไปด้วยความมึนงง
“เกิดเรื่องขึ้นกับเมืองชิ่งหลวน จดหมายเร่งด่วน ฝ่าบาทพาทุกคนกลับไปแล้ว” องครักษ์ตอบ
“ทำไมเราถึงไม่รู้เลย?” จี้อวี๋ถาม
“เพราะแม่ทัพทั้งสองท่านล้มลงไปก็หมดสติเลย”
โม่ฉีเฟิงจ้องมองจี้อวี๋ด้วยความโมโหครู่หนึ่ง ไม่อยากจะพูดไร้สาระกับข้า ก้าวเท้าก็จากไป จี้อวี๋ก็รู้ว่าก่อเรื่องแล้ว ไม่กล้าพูดอะไรมาก รีบตามไปทันที
เพียงแต่ว่าเขายังไม่ทันถึงคอกม้า ก็เห็นทหารทั้งหมดของค่ายทหารกำลังเข้าแถวอยู่ และคนที่ยืนหน้าสุดของพวกเขาก็คือโม่เหลิ่งเหยียน
บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ โม่เหลิ่งเหยียนในชุดเกราะเต็มไปด้วยความห้าวหาญ พลังรัศมีรอบๆตัวแข็งแกร่ง โครงหน้าคมราวกับใบมีด เย็นชาโหดเหี้ยมน่าเกรงขามและเผด็จการ จี้อวี๋มองด้วยความตกตะลึง
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นซวนอ๋องสวมชุดเกราะ ช่างหล่อเหลาจริงๆ” จี้อวี๋ทำหน้าบ้าผู้ชายทันที
“อย่าคิดอีกเลย โม่เหลิ่งเหยียนไม่ชอบเจ้าหรอก!” โม่ฉีเฟิงทิ้งคำพูดเอาไว้ประโยคหนึ่งก็เดินตรงเข้าไป
“ชิ ใครอยากให้เขาชอบกัน” จี้อวี๋โต้กลับ
โม่เหลิ่งเหยียนพากองทัพห้าหมื่นนายจากไป ยิ่งใหญ่เกรียงไกร น่าเกรงขามอย่างมาก
………………………..
ท้องพระโรงพระราชวังแคว้นชางเยว่
ชางหลันเย่จ้องมองไปทางขุนนางสองสามท่านที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา “ในสายตาของพวกท่าน ความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองของแคว้นชางเยว่ก็คือการที่ข้ารับสนมและให้กำเนิดลูกหรือ?”
ขุนนางสองสามท่านตกใจจนคุกเข่าลงไปกับพื้น เฉิงเซี่ยงเอ่ยปาก “ฝ่าบาทอย่าได้โกรธไป กระหม่อมก็คิดเพื่ออนาคตของแคว้นชางเยว่เท่านั้น ฝ่าบาทก็ไม่ได้ทรงพระเยาว์แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีสนม ยิ่งไม่มีทายาท นี่ไม่สอดคล้องกับหลักจริยธรรมบรรพบุรุษจริงๆ”
“อย่าใช้จริยธรรมบรรพบุรุษมาข่มข้า ในเมื่อพวกท่านคิดเช่นนี้ก็ส่งลูกสาวของตัวเองเข้าวัง ข้าจะทำตามความต้องการของพวกเจ้า คัดเลือกนางในเดือนหน้า!”
บรรดาขุนนางล้วนประหลาดใจอย่างยิ่ง พากันโห่ร้องว่าฝ่าบาทปราดเปรื่องยิ่งนัก จากนั้นก็ถอยออกไปด้วยความเคารพนบนอบ
ท้องพระโรงที่กว้างใหญ่กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง ชางหลันเย่พิงอยู่บนบัลลังก์มังกรและหลับตาพักผ่อน
รั่วชูเดินเข้ามา วางชาโสมที่อยู่ในมือลง จากนั้นก็เดินไปข้างกายชางหลันเย่และยื่นมือไปนวดไหล่ให้เขา
“ฝ่าบาทอย่าหักโหมมากเกินไป สุขภาพสำคัญ”
“ตอนนี้ก็มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เป็นห่วงสุขภาพของข้า ให้กระทรวงครัวเรือนเตรียมคัดเลือกนางในเดือนหน้า” ชางหลันเย่ทอดถอนใจ
รั่วชูขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย “ฝ่าบาท พระองค์จะคัดเลือกนางในจริงหรือ?”
“ขุนนางเก่าแก่พวกนั้นเอาแต่จ้องวังหลังของข้าทุกวัน วังหลังของข้าว่างวันหนึ่งก็ไม่มีความสงบสุขวันหนึ่ง ก็แค่เลี้ยงผู้หญิงเพิ่มขึ้นกลุ่มหนึ่งเท่านั้น”
เจว๋เฟิงเดินเข้ามาจากด้านนอก “ฝ่าบาทจจ หลังจากที่จื่อยีจวิ้นจู่กลับไปแล้วก็ออกจากเมืองหลวงคืนนั้นเลย อ๋องเหลียนซานก็ขอย้ายออกไป ดูท่าต่อไปพวกเขาคงไม่กล้ามาที่เมืองหลวงอีกแล้ว”
“เช่นนั้นจะไม่ยิ่งดีหรอกหรือ” ชางหลันเย่กล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าไปเตรียมตัว พรุ่งนี้ข้าอยากไปล่าสัตว์ พาคนสนิทไปด้วยสองสามคนก็พอ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เจว๋เฟิงไปดำเนินการทันที
หลังเลิกประชุมเช้าวันรุ่งขึ้น ชางหลันเย่ก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลอง พาเจว๋เฟิงและคนอื่นๆออกจากเมืองไป
ชางหลันเย่ไม่มีความอ่อนแอเหมือนในเวลาปกติ ควบม้าไปข้างหน้า เต็มไปด้วยความองอาจห้าวหาญ “วันนี้เรากำหนดเวลาเอาไว้ที่พระอาทิตย์ตกดิน ใครล่าเหยื่อได้มากที่สุดก็ถือว่าคนนั้นชนะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” คนสนิททั้งหลายล้วนเป็นคนที่ติดตามชางหลันเย่มาหลายปี ทุกคนออกล่าอย่างสุดกำลัง
ตั้งแต่พวกเขากลับมาก็ต่อสู้กับองค์ชายรอง หยางเฟยและคนอื่นๆตลอด ต่อสู้กับเหล่าขุนนางพวกนั้นทั้งอย่างเปิดเผยและลับๆ เวลานี้ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น ความรู้สึกที่ผ่อนคลายอย่างสิ้นเชิงช่างดีจริงๆ
ม้าของชางหลันเย่อยู่ด้านหน้าสุด ยิงธนูออกไปติดต่อกันหลายดอกล้วนยิงถูกทุกดอก ทำให้เขาอารมณ์ดียิ่งขึ้น ขี่ม้าเข้าไปในส่วนลึกของป่า
เจว๋เฟิงติดตามไปทันที คนอื่นๆก็ตามหลังไปติดๆ
ทันใดนั้นชางหลันเย่ก็มองเห็นกวางสีขาวตัวหนึ่ง รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เขาไล่ตามไปทันที เพียงแต่กวางสีขาวตัวนั้นวิ่งตรงเข้าไปในป่าที่ลึกยิ่งกว่า ชางหลันเย่ไล่ตามไปได้ระยะหนึ่ง ไม่เห็นร่องรอยของกวางสีขาว เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติทันที
ใบหน้าของชางหลันเย่เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง ชำเลืองมองไปป่าที่อยู่บริเวณโดยรอบ “ในเมื่อมาแล้วเช่นนั้นก็ออกมาเถอะ”
ทันใดนั้น คนชุดดำสิบกว่าคนก็กระโดดตัวออกมาจากบริเวณโดยรอบของป่า กระบี่ยาวในมือแทงไปทางชางหลันเย่
“ปกป้องฝ่าบาท!” เจว๋เฟิงตะโกนเสียงดัง ขวางอยู่ตรงหน้าชางหลันเย่ทันที
แสงดาบเงากระบี่ ไอสังหารพลุ่งพล่าน พวกเขาฟันมาทางชางหลันเย่ แต่เจว๋เฟิงและคนอื่นๆปกป้องสุดชีวิต ไม่ให้โอกาสพวกเขาเลย
ชางหลันเย่เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ดึงกระบี่อ่อนที่อยู่ตรงบริเวณเอวออกมาต่อสู้กับคนชุดดำเหล่านั้น ทุกกระบวนท่าโหดเหี้ยม แค่พริบตาเดียวก็สังหารคนชุดดำไปหลายคน
คนชุดดำพวกนั้นก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า ฝ่าบาทที่ถูกฮ่องเต้ต้าเหยียนวางยาพิษมาตั้งแต่เด็กฝีมือจะยอดเยี่ยมได้ขนาดนี้ พากันบุกเข้ามาอย่างสุดชีวิต
คนชุดดำสองคนบุกเข้ามา เจว๋เฟิงขวางเอาไว้คนหนึ่ง อีกคนกลับลอบโจมตีจากด้านหลัง
“เจว๋เฟิงระวัง!” ชางหลันเย่ตะโกนเสียงดัง กระบี่ยาวในมือแทงเข้ามาด้วยกำลังภายใน
“อ๊าก!” คนชุดดำคนนั้นถูกแทงทะลุหัวใจโดยตรง ล้มลงไปกับพื้นทันที
ขณะเดียวกัน เกาทัณฑ์แขนเสื้อสามดอกก็ถูกยิงเข้ามาจากด้านหลัง ชางหลันเย่หลบไปได้สองดอก แต่แขนกลับถูกดอกที่สามยิงเข้า เขาเจ็บจนสีหน้าซีดขาว ทั่วทั้งร่างกายรู้สึกอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงทันที วิงเวียนศีรษะอย่างมาก คนทั้งคนล้มลงไปกับพื้น
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทพระองค์ทรงเป็นอย่างไรบ้าง?” เจว๋เฟิงตะโกนเสียงดัง
“ข้าไม่เป็นไร” ฝ่ามือของชางหลันเย่ฟันไปทางบางแห่งด้านหลังอย่างรุนแรง
“อ๊าก!” เสียงกรีดร้องดังมา จากนั้นก็มีคนถูกตีกระเด็นออกไป
เจว๋เฟิงวิ่งเข้ามาทันที ประคองชางหลันเย่เอาไว้ก็จากไป ผู้ใต้บังคับบัญชาสองสามคนอยู่จัดการกับคนชุดดำ
เจว๋เฟิงแบกชางหลันเย่ไปทางสถานที่ที่ปลอดภัย เดินออกมาไกลมากแล้วไม่เห็นคนไล่ตามมา เจว๋เฟิงถึงได้วางใจลง เขาหยิบเกาทัณฑ์แขนเสื้อออกมาและส่งสัญญาณขึ้นไปกลางอากาศทันที
ชางหลันเย่กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ กล่าวให้ถูกต้องคือเลือดสีดำหนึ่งคำ เจว๋เฟิงตกใจจนรีบจับชีพจรให้เขา “ฝ่าบาท บนลูกธนูเป็นพิษร้ายแรง ข้าน้อยต้องไปหายาถอนพิษเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นพระองค์จะตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
“อย่าไป ข้าไม่เป็นไร!” เสียงของชางหลันเย่อ่อนแอลงเล็กน้อย
ในเมื่อคนพวกนี้แสดงเจตนาลอบสังหารเขาอย่างชัดเจน แล้วจะให้ยาถอนพิษแก่เขาได้อย่างไร เจว๋เฟิงไปก็มีแต่รนหาที่ตายเท่านั้น
เจว๋เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง “ฝ่าบาทวางใจ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตข้าน้อยก็จะนำยาถอนพิษกลับมา จะให้พระองค์เป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด” พูดจบ เขาก็ตัดกิ่งไม้จำนวนหนึ่งมาบังชางหลันเย่เอาไว้ญญ แน่ใจว่าไม่ถูกคนสังเกตเห็นถึงได้จากไป
เพียงแต่ว่าเจว๋เฟิงเพิ่งเดินออกไปได้ไกล ต้นไม้ใหญ่เหนือศีรษะก็มีคนกระโดดลงมาคนหนึ่ง “ฮ่องเต้แห่งแคว้นชางเยว่ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว ลูกธนูอาบยาพิษดอกเดียวก็สามารถเอาชีวิตของเจ้าแล้วภด หากข้าส่งเจ้าออกไปตอนนี้ สามารถรับรางวัลได้เลยใช่ไหม?”