จอมนางข้ามพิภพ - บทที่35 ไม่ได้แปลกใจ แต่ตกใจมากกว่า
จอมนางข้ามพิภพ บทที่35 ไม่ได้แปลกใจ แต่ตกใจมากกว่า
“ได้เลย” จวินหย่วนโยวลุกขึ้น ทั้งสองเดินไปที่ลานบ้านด้วยกัน
ลานบ้านเงียบสงบมาก สายลมฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น ค่ำคืนอันมืดมิด และพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นบนท้องฟ้า น่ารื่นรมย์จิตมาก
หยุนถิงบิดขี้เกียจ: “ซื่อจื่อ คืนนี้จันทร์สวยมาก ใกล้จะเทศกาลโคมไฟแล้วเหรอ?”
“วันนี้วันที่สิบสี่ พรุ่งนี้สิบห้า” จวินหย่วนโยวตอบ
หยุนถิงนั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนใหญ่ รู้สึกอารมณ์ดีมาก ทันใดนั้นก็รู้สึกเบื่อที่จ้องพระจันทร์นานๆ
“ซื่อจื่อ ท่านดีดพิณเป็นไหม?”
“เป็นสิ เจ้าอยากฟังเหรอ?” จวินหย่วนโยวถาม
“อืม”
“พวกเจ้ามานี่สิ ไปเอาพิณของข้ามาสิ”
“ขอรับ”
ไม่นานข้ารับใช้ก็อุ้มพิณมา วางไว้บนโต๊ะหิน: “ซื่อจื่อ นำพิณมาแล้วขอรับ”
“อืม ลงไปได้” จวินหย่วนโยวเดินลงไปนั่ง นิ้วมือเรียวยาวเนียนขาวลูบสายพิณเบาๆ
เสียงพิณไพเราะเสนาะหู บางครั้งก็ไพเราะเหมือนน้ำพุ บางครั้งก็ไหลเหมือนน้ำตก ราวกับว่ามาจากหุบเขาลึกและภูเขาอันเงียบสงบ ไหลผ่านเส้นชีวิตผู้คน นำพาหัวใจไปหาจิตวิญญาณที่แท้จริง
“หมู่มวลเมฆลอยละล่องไร้จุดหมาย พัดตามสายลมไปยังฟ้าดินอันกว้างใหญ่” หยุนถิงนึกกลอนขึ้นมาได้
จวินหย่วนโยวเลิกคิ้วขึ้น เขารู้สึกแปลกใจมาก ไม่คิดว่าหยุนถิงจะฟังเสียงพิณของตัวเองออกแถมยังแต่งเป็นบทกลอนได้อีก เขาประหลาดใจมากจริงๆ นางยังมีความแปลกใจอะไรให้เขาอีกไหมนะ
พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆเห็นแล้วก็ดีใจมาก ไม่คิดว่าฮูหยินจะแต่งกลอนเป็น แถมยังแต่งได้ดีมากด้วย ไม่เหมือนกับข่าวลือด้านนอกจริงด้วย โดยเฉพาะหลีอ๋อง ตาบอดจริงๆเลยนะ
แต่ถ้าหลีอ๋องไม่ตาบอด จะให้ฮูหยินแต่งกับซื่อจื่อได้ยังไง จะว่าไปก็ต้องขอบคุณที่หลีอ๋องตาบอดเหมือนกันนะ
“ซื่อจื่อดีดพิณให้ข้าฟัง งั้นข้าเต้นให้ท่านดูดีกว่า” หยุนถิงพูด
“ได้สิ”
พอเห็นหยุนถิงเต้น จวินหย่วนโยวสีหน้ามืดมนลงทันที
ตอนแรกคิดว่าหยุนถิงจะรำเหมือนผู้หญิงทั่วไป ถ้าไม่ไหวก็เต้นท่าอะไรก็ได้ แต่นางกลับเต้นยั่วยวน ลูบขา จับนมและบิดเอวส่ายสะโพก ท่าทางช่างยั่วยวนเชื้อเชิญมาก
จวินหย่วนโยวรู้สึกหายใจติดขัด ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
เขาโตมาขนาดนี้ คิดว่าเคยเห็นผู้หญิงเต้นรำมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเห็นใครเต้นรำได้ยั่วยวนขนาดนี้มาก่อน ถึงแม้นักเต้นในหอนางโลมก็ไม่กล้าเต้นแบบนี้ มือที่ดีดพิณอยู่ของจวินหย่วนโยวก็สั่นเทา
นี่ไม่ใช่ความแปลกใจ แต่เป็นความตกใจมากกว่า
มองดูข้ารับใช้ที่ตกตะลึง สีหน้าของจวินหย่วนโยวก็เย็นชาลงทันที: “หยุดเต้นได้แล้ว” เขาพูดอย่างเย็นชา แล้วหยุดดีดพิณไป
หยุนถิงกำลังได้อารมณ์ ก็ถามอย่างไม่เข้าใจว่า: “ทำไมไม่ให้ข้าเต้นต่อล่ะ ไม่สวยเหรอ หรือยั่วไม่พอ ท่าเต้นนี้ไม่ค่อยเหมาะกับชุดโบราณเท่าไหร่ ข้าถอดเสื้อออกเต้นให้ท่านดูดีกว่าไหม”
จวินหย่วนโยวสีหน้าเย็นยะเยือก ขมวดคิ้วเป็นปม: “ไม่ได้”
เพราะโกรธมาก จวินหย่วนโยวไอกะทันหัน
หยุนถิงรีบวิ่งไปลูบหลังให้เขา จับชีพจรดู: “ก็แค่เต้นเอง ไม่เต้นแล้วก็ได้ เจ้าจะตื่นเต้นขนาดนั้นทำไม”
“ต่อไปห้ามเต้นแบบนี้อีก” จวินหย่วนโยวออกคำสั่ง
“รู่แล้วน่า รู้แล้ว ต่อไปข้าจะไม่เต้นแบบนี้อีก” หยุนถิงว่าแล้ว ก็เอาเข็มเงินออกจากผมแล้วฝังเข็มให้จวินหย่วนโยว
พอฝังเข็มเสร็จ จวินหย่วนโยวก็รู้สึกดีมากขึ้น
“เจ้าเอาเข็มเงินปักไว้ที่ผมเหรอ?” จวินหย่วนโยวรู้สึกแปลกใจ
“ใช่ ก็เอามาปกป้องตัวเองไง ก็เลยปักไว้ที่ผมด้วย” หยุนถิงอธิบาย
จวินหย่วนโยวก็ถึงรู้ตัว เขาประมาทเอง: “ต่อไปจะไปไหนให้หลงเอ้อติดตามเจ้า ปกป้องให้เจ้าปลอดภัย”
“ไม่ต้องหรอก องครักษ์เงามังกรต้องปกป้องเจ้าสิ เจ้าให้ทหารปกป้องข้าก็พอแล้ว ที่จริงข้าแค่กลัวหลีอ๋องจะมาแก้แค้นข้า” หยุนถิงอธิบาย
หลงเอ้อที่กำลังเดินเข้ามาได้ยินแล้วก็รู้สึกผิด เขาเป็นถึงองครักษ์เงามังกรเป็นตำแหน่งที่เขาภาคภูมิใจ ตอนนี้กลับถูกฮูหยินรังเกียจ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน หลงเอ้อจะไม่อยากปกป้องผู้หญิงคนเดียว หรือผู้หญิงที่ถูกทั้งแคว้นต้าเยียนดูถูก รังเกียจและหมั่นไส้แน่ แต่หลังจากสังเกตมาหลายวัน หลงเอ้อก็เห็นว่า หยุนถิงไม่ได้ไร้ความสามารถเหมือนในข่าวลือนั้น เพราะนางสามารถทำชานมที่เอร็ดอร่อยได้ หลงเอ้อรู้สึกว่าการติดตามนางก็ไม่ได้ไม่ดีอะไร
“ไม่เป็นไร องครักษ์เงามังกรมีอีกเยอะ ขาดไปคนหนึ่งก็ไม่เป็นไร ต่อไปให้เขาติดตามเจ้าแล้วกัน” จวินหย่วนโยวพูดเด็ดขาด
“ข้าน้อยจะปกป้องฮูหยินอย่างสุดความสามารถขอรับ” หลงเอ้อรีบรับคำสั่ง
“ก็ได้ งั้นต่อไป เจ้าก็ติดตามข้าแล้วกัน” หยุนถิงพูด
“ขอรับ”
“ซื่อจื่อ พวกเราพักผ่อนเร็วหน่อยไหม ต่อไปห้ามโกรธแบบนี้อีกนะ ข้ายังอยากเต้นให้ท่านอารมณ์ดีอยู่” หยุนถิงพูด
“ข้าเข้าใจ แต่ท่าเต้นของเจ้ามันไร้มารยาทมากจริงๆ” จวินหย่วนโยวเบะปาก
ต้องรู้ว่าท่าที่นางเต้นนั้น เขาควรจะให้นางเต้นในห้องสองต่อสอง เมื่อกี้มีคนมากมายในลานมองดู นางไม่รู้จักระวังตัวบ้างเลย
“ครั้งหน้า ครั้งหน้าข้าจะเต้นอย่างสง่างามให้ดู ก็ที่หมุนๆตัวก็พอ” หยุนถิงพยุงเขากลับเข้าห้อง
พ่อบ้านที่มองดูอยู่ด้านหลังก็อดไม่ได้ขมวดคิ้ว ผู้หญิงคนนี้ไร้ศีลธรรมมาก กลับเต้นแบบนั้นออกมา แถมยังทำให้ซื่อจื่อโกรธอีก
……
ณ จวนหลีอ๋อง
นางงามลั่วถูกคนในร้านเครื่องสำอางส่งกลับมา ก็หัวเราะตลอด กินข้าวไม่ได้และนอนไม่ได้ ดื่มน้ำก็ยังหัวเราะจนพ่นออกมา หลายวันมานี้นางทรุดโทรมมาก ใบหน้าซีดเซียวอย่างกับผี
หลีอ๋องเชิญหมอมารักษาหลายคน และยังเอาหมอหลวงมารักษาให้นางด้วย แต่ทุกคนกลับทำอะไรไม่ได้เลย ทำเอาหลีอ๋องโกรธมากกว่าเดิม
“พวกหมอไร้ประโยชน์ ถ้ารักษานางงามของข้าไม่ได้ พวกเจ้าอย่าคิดที่จะมีชีวิตออกจากจวนของข้าเลย” หลีอ๋องตะคอกด่า
ทุกคนตกใจจนคุกเข่าร้องขอชีวิตบนพื้น
หมอหลวงท่านหนึ่งพูดขึ้น: “ท่านอ๋องใจเย็นก่อน ข้าไม่เคยเจอโรคที่นางงามเป็นมาก่อน น่าแปลกประหลาดมาก ในเมื่อนางงามเป็นแบบนี้หลังจากที่เจอกับคุณหนูหยุน กระหม่อมรู้สึกว่าใครเป็นคนก่อคนนั้นก็ต้องมาแก้เอง ไม่แน่คุณหนูหยุนอาจจะมีวิธีก็ได้”
หยุนถิงสั่งสอนนางงามของหลีอ๋องต่อหน้าทุกคนแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมือง หมอหลวงหลิวก็ต้องเคยได้ยินมาก่อนอยู่แล้ว
โม่ฉือหานเหลือบตามองเขา ผู้นี้คือหมอมียศสูงน่าเชื่อถือในกรมหมอหลวง รักษามาสี่สิบกว่าปี รักษาโรคยากมานับไม่ถ้วน หากคนอื่นพูดแบบนี้ โม่ฉือหานอาจจะไม่เชื่อ แต่คำพูดของหมอหลวงหลิวก็ทำให้เขาครุ่นคิด
“เจ้าหมายความว่า นี่เป็นฝีมือของหยุนถิงยัยอัปลักษณ์นั่นเหรอ?” โม่ฉือหานมองไป
ยังไม่รอหมอหลวงหลิวตอบ นางงามลั่วก็รีบคุกเข่า ยื่นมือไปจับเสื้อคลุมของหลีอ๋องไว้ แล้วพยักหน้าอย่างแรง
นางพยักหน้าไปด้วยและหัวเราะไปด้วย ท่าทางนั้นน่าขำมากจริงๆ
“ให้ตายสิ ยัยอัปลักษณ์อำมหิตเกินไปแล้ว กล้าทำขนาดนี้เลยเหรอ พวกเจ้าเป็นถึงหมอหลวงแต่กลับเทียบกับยัยอัปลักษณ์ไม่ได้เลยเหรอ” โม่ฉือหานทำหน้าบึ้งตึง
“ท่านอ๋อง คุณหนูหยุนไม่ได้ใช้วิชาการแพทย์ แต่คงจะเป็นวิชาศาสตร์มืดอะไรสักอย่าง” หมอหลวงท่านหนึ่งตอบ