จอมนางข้ามพิภพ - บทที่640 ไปให้พ้น อย่าแตะต้องข้า
จอมนางข้ามพิภพ บทที่640 ไปให้พ้น อย่าแตะต้องข้า
หยุนถิงกับจวินหย่วนโยว ชางหลันเย่ไปในห้อง
“ข้าได้ข่าวว่า หลายปีมานี้ผิงหนานอ๋องแห่งแคว้นเทียนจิ่วนั้นได้อดกลั้นและไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นรู้ เขาแอบฝึกซ้อมกำลังอำนาจไว้มากมาย ส่วนแคว้นเทียนจิ่วก็อยู่ติดกับแคว้นชางเยว่ หากถึงตอนนั้นข้ากับซื่อจื่อเจออันตรายใดๆ ก็ขอให้ท่านช่วยด้วย!” หยุนถิงกล่าว
“ขอแค่เจ้าต้องการ ข้าจะทุ่มเทกำลังทั้งแคว้นเพื่อช่วยเจ้าอย่างแน่นอน!” ชางหลันเย่ตอบโดยไม่ต้องคิด
ชางหลันเย่เติบโตมาในแคว้นต้าเยียน ใช้ชีวิตอยู่อย่างตายทั้งเป็น เคยเห็นความไร้น้ำใจต่อกัน ความอบอุ่นของใต้หล้านี้ เขาไม่เชื่อใครอีกต่อไปแล้ว และยิ่งไม่เชื่อความจริงใจ แต่กลับปฏิบัติกับหยุนถิงไม่เหมือนกัน
เพราะนางเคยช่วยชีวิตชางหลันเย่ไว้ และเป็นเพียงความมั่นใจและศรัทธาเดียวของชางหลันเย่
จวินหย่วนโยวขมวดคิ้ว”หลายปีมานี้ผิงหนานอ๋องวางตัวอยู่ใต้องค์หญิงใหญ่มาโดยตลอด ส่งมอบกองทัพผิงหนานออกมา คนนอกรู้เพียงว่าองค์หญิงใหญ่นั้นหยิ่งยโสและโอ้อวด แต่กลับไม่รู้ว่าผิงหนานอ๋องอาศัยองค์หญิงใหญ่เพื่อปกปิดฝึกซ้อมกำลังของตัวเองอย่างลับๆ
คนเช่นนี้ เหมือนดั่งงูพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด หากเขาเป็นคนทำจริง พอได้จัดการก็ต้องทำให้สำเร็จ จะต้องไม่ให้โอกาสเขาได้หายใจ! ”
“ท่านพี่พูดถูก เมื่อก่อนไม่เคยสังเกตถึงผิงหนานอ๋องเลย ดูเหมือนว่าต้องค่อยๆปรึกษากันให้ดีก่อน” หยุนถิงครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
สีหน้าของชางหลันเย่จริงจัง หากไม่ใชช่หยุนถิงกับจวินหย่วนโยวพูดเช่นนี้ เขาก็ยังไม่สังเกตถึงผิงหนานอ๋องจริงด้วย ดูเหมือนว่าต้องกลับไปตรวจสอบดีๆแล้ว
หลังจากที่ทุกคนปรึกษาหารือกันเสร็จ ชางหลันเย่ก็จากไป
เพียงแต่ว่าเขายังไม่กลับไปเมืองหลวง แต่ไปที่ที่พักเปลี่ยนม้าหลวง
ในลาน หยุนถิงกับจวินหย่วนโยวพาลูกสองคนไปทานอาหารเย็น รั่วจิ่งพาซูหลินกับเยว่เอ๋อร์เดินเข้ามาจากด้านนอก
เยว่เอ๋อร์วิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้นและกอดนางเอาไว้”คุณหนู ท่านยังมีชีวิตอยู่ดีมากเลย ตอนนี้ข้าก็ยังรู้สึกเหมือนฝันอยู่เลย ดีมากเลย ในที่สุดข้าก็ได้พบท่านสักที”
“ยัยหนูโง่ ข้านะตายยาก ทำให้พวกเจ้ากังวลแล้ว” หยุนถิงตบหลังนางและพูดปลอบโยน
“ท่านแม่ ท่านแม่!” จวินเสี่ยวเทียนตะโกน
เยว่เอ๋อร์รีบปล่อยคุณหนู และมองดูเจ้าตัวน้อยสองคน”คุณหนู นี่คือลูกของท่านกับซื่อจื่อหรือ?”
“ใช่ นี่คือเสี่ยวเทียน และนี่คือเสี่ยวเหยียน พวกเขาหนึ่งขวบกว่าๆแล้ว พึ่งพูดเป็น” หยุนถิงแนะนำ”เสี่ยวเทียน เสี่ยวเหยียน นี่คือป้าเยว่เอ๋ ป้าซูหลิน”
“ว้าว เสี่ยวเทียนกับเสี่ยวเหยียนน่ารักจังเลย คุณหนูพวกเขาเหมือนท่านกับซื่อจื่อมากเลย งดงามยิ่งนัก” เยว่เอ๋อร์พูดอย่างมีความสุขและรีบไปเล่นกับเด็กๆ
ซูหลินก็ขอบตาแดง”คุณหนูใหญ่ สองปีนี้ท่านไปอยู่ไหน เลี้ยงลูกสองคนไว้เพียงลำพังคงลำบากแย่เลย”
“สองปีนี้ข้าสูญเสียความทรงจำไป เมื่อเดือนก่อนข้าพึ่งจำได้ จึงได้หาวิธีติดต่อกับซื่อจื่อ เห็นเจ้ากับเยว่เอ๋อร์อีกครั้งดียิ่งนัก!” หยุนถิงกล่าวอย่างซาบซึ้ง
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ซื่อจื่อเป็นคนให้พวกเขามาแน่เลย
“คุณหนูใหญ่พูดอะไรกัน สามารถอยู่ติดตามคุณหนูใหญ่เป็นโชคของพวกข้า ความปลอดภัยของท่านสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด เด็กๆ เติบโตได้อย่างดีมาก” ซูหลินพูดและรีบไปดูเด็กๆ
เมื่อเห็นเสี่ยวเทียนและเสี่ยวเหยียนเล่นกับเยว่เอ๋อร์และซูหลินสนุกสนานเช่นนั้น หยุนถิงก็รู้สึกปลื้มใจมาก เช่นนี้นางก็สามารถแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว
……………………..
ทางนี้ เดิมทีหยุนหลีแอบตามจวินหย่วนโยวไปหาหยุนถิง แต่นางท้องร่วงระหว่างทาง และเมื่อนางทำธุระเสร็จออกมา ก็พบว่าคนของจวินซื่อจื่อหายไปแล้ว แถมยังเป็นทางแยกอีก หยุนหลีสำรวจไปตั้งนานสุดท้ายก็เลือกเส้นทางหนึ่งแล้วตามไป แต่สุดท้ายก็ไปในทิศทางที่ผิด
หยุนหลีเดินติดต่อกันมาสิบกว่าวัน และตอนนี้กำลังเดินถึงที่ป่าแห่งหนึ่ง และวนไปวนมาก็ยิ่งหลงทางเข้าไปอีก
นางหยิบอาหารแห้งที่ตัวเองนำมาและกิน เห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว หากยังออกไปไม่ได้อีกกลางคืนคงต้องอยู่พักที่นี่แล้ว ที่รกร้างไม่มีคนเช่นนี้ หากมีสัตว์ป่าจะทำอย่างไร หยุนหลีคิดไปคิดมาก็ร้องไห้ขึ้นมา
ในไม่ไกลนั้น มีคนตัดฟืนคนหนึ่งเดินมา ได้ยินเสียงร้องไห้ก็รีบเดินมา และเห็นหยุนหลี
“แม่นาง เจ้าเป็นอะไรหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ หยุนหลีก็หันมองคนตัดฟืนราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต”ท่านลุง ข้าหลงทาง โปรดช่วยข้าด้วย”
“ได้ เจ้าอย่าร้องแล้ว ป่านี้ใหญ่มาก คนนอกหลายคนมาก็หลงทาง ข้าอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีแล้ว คุ้นเคยกับมันดี บ้านข้าอยู่ด้านหน้าไม่ไกลนั้น จะมืดแล้ว เจ้าไปบ้านข้าหรือไม่ ดีกว่าที่เจ้าอยู่ในป่าแห่งนี้ทั้งคืน” คนตัดฟืนตอบ
“ท่านลุงท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้า ขอบคุณมาก ขอบคุณ พวกข้ารีบไปกันเถอะ!” หยุนหลีลุกขึ้นและเดินตามคนตัดฟืนไป
ไม่ถึงเวลาหนึ่งก้านธูป หยุนหลีก็ตามคนตัดฟืนออกมาจากป่า และเมื่อพวกเขามาถึงบ้านของคนตัดฟืนก็มืดแล้ว
“แม่นางเจ้านั่งตามสบาย ดื่มน้ำและกินผลไม้ก่อน ข้าจะทำอาหาร แม่นางเจ้าวิ่งออกมาคนเดียวได้อย่างไร คนในบ้านเจ้าล่ะ?” คนตัดฟืนเทน้ำและเอาผลไม้ให้นางอย่างใจดี
“ข้าออกมาหาพี่ใหญ่ข้า ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ข้าเกิดเรื่อง แต่พี่เขยข้าได้ข่าวว่านางยังมีชีวิตอยู่ จึงพาคนไปหา เพียงแค่ว่าข้าหลงทางเอง” หยุนหลีพูดทุกอย่างออกมาโดยไม่คิดเลย
มือที่จับกาน้ำชาของคนตัดฟืนนั้นกำแน่น”โชคไม่ดีเสียเลย ทว่าพี่ใหญ่เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ก็ไม่รีบ รอพรุ่งนี้เช้าตรู่ฟ้าสว่างเจ้าค่อยออกเดินทาง ข้าจะบอกทางให้เจ้า กลางดึกเช่นนี้บอกไปเจ้าก็ไม่รู้จัก”
“ขอบคุณท่านลุง” หยุนหลีก็ไม่ได้คิดมาก หยิบถ้วยชาขึ้นมาและดื่มน้ำไปหนึ่งแก้ว
คนตัดฟืนเดินไปทำอาหารทันที และไม่นาน อาหารสี่อย่างกับซุปหนึ่งอย่างก็ทำเสร็จแล้ว”แม่นาง ข้าทำเสร็จแล้ว ต่างก็เป็นพวกผักป่า และไก่ฟ้าที่ข้าล่าได้ในเมื่อคืนนี้ อย่าได้รังเกียจ”
หยุนหลีเดินมาทันที ดมกลิ่นหอมนั้นน้ำลายก็ไหลเลย”ขอบคุณท่านลุง”
หยุนถิงหยิบตะเกียบขึ้นมาและกินไปคำหนึ่ง รสชาติดีมาก ระหว่างทางนางมัวแต่รีบตามหาพี่ใหญ่ ไม่ได้กินดีๆเลย ตอนนี้ได้กินกับข้าวที่ร้อนๆเช่นนี้ หยุนหลีก็กินได้เยอะมาก กินหมั่นโถวไปสามลูก
“ท่านลุง ฝีมือการทำอาหารของท่านยอดเยี่ยมจริงๆเลย!” หยุนหลีพูดชมเชย
“กินอิ่มแล้วหรือ?
“ใช่ อร่อยมากเลย” หยุนหลีกำลังจะลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นก็รู้สึกเวียนหัวยิ่งนัก”ท่านลุง ทำไมข้าถึงเวียนหัวขนาดนี้?”
คนตัดฟืนจ้องมองหยุนหลีอย่างตาโต มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก”เจ้ากินอิ่มแล้ว ก็ต้องถึงตาข้ากินแล้ว
“หมายความว่าอย่างไร?” หยุนหลีไม่เข้าใจ
คนตัดฟืนยื่นมือไปแตะมือเล็ก ๆ ของหยุนหลี”ดูสิมือที่ขาวและนุ่มเช่นนี้ ทำให้คนชอบยิ่งนัก ข้าไม่ได้พบแม่นางที่ดูดีเช่นเจ้ามานานแล้ว คืนนี้ให้ลุงได้ปรานีเจ้าดีๆสักหน่อยเถอะ”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของหยุนหลีขมวดคิ้ว และใช้แรงทั้งหมดสะบัดมือของคนตัดฟืนออกด้วยความรังเกียจ”ไปให้พ้น อย่าแตะต้องข้า!”
คนตัดฟืนกลับไม่โกรธเลย เมื่อเห็นหน้าที่แดงก่ำของหยุนหลี ก็ทนไม่ได้อีกต่อไป”หวานใจ นิสัยดุดี ข้าชอบคนเช่นเจ้าแหละ คืนนี้ข้าจะให้เจ้าได้สบายจนขึ้นสวรรค์เลย”
ขณะที่คนตัดฟืนพูด ก็กระโจนเข้าไปหาหยุนหลี
หยุนหลีอยากจะหลบ แต่ร่างกายกลับไม่มีเรี่ยวแรงเลย คนทั้งคนตกลงจากเก้าอี้ไปที่พื้นโดยตรง เจ็บจนนางหน้าซีดไปหมด
“หวานใจ ข้ามาแล้ว!” คนตัดฟืนกระโจนเข้ามาอีกครั้ง เอื้อมมือไปดึงเข็มขัดของหยุนหลี
“ไปให้พ้น อย่ามาแตะต้องข้า!” หยุนหลีสาปแช่งและดิ้นรน
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงอันเยือกเย็นดังขึ้น คนตัดฟืนยังไม่ทันได้เห็นหน้าคนที่มาอย่างชัดเจน ก็ถูกคนเตะกระเด็นออกไป