จอมนางข้ามพิภพ - บทที่733 ห้ามหลบหน้าข้า
จอมนางข้ามพิภพ บทที่733 ห้ามหลบหน้าข้า
“เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าตีข้า แม้ว่าการถีบครั้งนั้นจะทำให้ข้ากระเด็นออกไป แต่ข้าก็ชื่นชมความกล้าหาญและฝีมือของเจ้ามาก
ข้ารู้ว่าตัวเองในอดีตนั้นเป็นคนโอ้อวดและหยิ่งผยอง ได้รับการโปรดปรานจึงวางท่าทีหยิ่งยโสโอหัง แต่สองปีนี้ข้าเองก็พยายามเปลี่ยนนิสัย หากเจ้าไม่อยากเป็นพระราชบุตรเขย ข้าก็สามารถแต่งกับเจ้าได้” เป่ยจิงจิงกล่าวด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง
หลงเอ้อจ้องมองเท้าของตัวเองด้วยความโกรธ “ทำไมเจ้าถึงตาไม่ดีถึงขั้นไปยั่วยุนางจนได้ หากไม่ใช่เป็นเพราะต้องเก็บเจ้าไว้เพื่อปกป้องซื่อจื่อเฟย ข้าจะตัดเจ้าออกเลย”
เป่ยจิงจิงรู้สึกขบขันกับเขา “อย่าตัด ข้าชอบ”
หลงเอ้อรู้สึกปวดหัวมาก หมดคำพูด กำลังจะบินหนี ก็ถูกเป่ยจิงจิงจับชายเสื้อไว้
“ห้ามหลบหน้าข้าอีก”
“ปล่อย!” หลงเอ้อพูดด้วยความโกรธ
“ไม่ปล่อย!” มือของเป่ยจิงจิงที่จับชายเสื้อไว้นั้นแน่นยิ่งขึ้น
“ถ้ายังไม่ปล่อยอีก ข้าจะลงมือแล้วนะ!”
“มากที่สุดเจ้าก็ถีบข้าอีกครั้งสิ ข้าไม่กลัว” เป่ยจิงจิงกล่าวอย่างดันทุรัง
ในวินาทีนี้หลงเอ้อจึงค่อยเข้าใจคำกล่าวที่ว่ามีเพียงสตรีและคนถ่อยที่เลี้ยงยาก ทำไมถึงดันให้เขามาเจอจนได้
หลงเอ้อรีบหันมองไปขอความช่วยเหลือจากหยุนถิง “ซื่อจื่อเฟย ช่วยข้าด้วย!”
หยุนถิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงค่อยออกจากอ้อมแขนของจวินหย่วนโยว “องค์หญิงสี่ การชอบใครสักคนไม่ใช่การตามอย่างดันทุรัง ท่านทำเช่นนี้ก็มีแต่จะให้หลงเอ้อเกลียดท่านมากยิ่งขึ้น”
เป่ยจิงจิงได้ยินเช่นนี้ ก็ปล่อยมือในทันทีและวิ่งมา “ถ้าอย่างนั้น ซื่อจื่อเฟยท่านบอกข้าสิ ข้าควรทำอย่างไร ถึงจะให้หลงเอ้อชอบข้าได้?”
ทันทีที่นางปล่อยมือ หลงเอ้อก็รีบบินจากไปทันที ความเร็วนั้นเร็วจนน่าทึ่ง
“ท่านเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นหนึ่ง ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก และถูกล้อมไปด้วยความรุ่งโรจน์ที่นับไม่ถ้วน ส่วนหลงเอ้อเป็นองครักษ์เงามังกรของจวนซื่อจื่อ และใช้ชีวิตอย่างเสี่ยงตายมาตั้งแต่เด็ก พวกเจ้าทั้งสองไม่เหมาะสมกัน ดังนั้นข้าจึงอยากเตือนองค์หญิงสี่ว่าปล่อยมือเถอะ พวกเจ้าทั้งสองไม่มีวันได้อยู่ด้วยกันอย่างแน่นอน” หยุนถิงกล่าวอย่างจริงจัง
เป่ยจิงจิงถูกทำให้เสียหน้า สีหน้าดูแย่มาก อันที่จริงนางเองก็เคยคิดดูแล้วว่านางกับหลงเอ้อนั้นมีฐานะที่แตกต่างกันไปอย่างมาก แต่นางก็ไม่สามารถลืมหลงเอ้อได้
“อันที่จริงท่านไม่ได้ชอบหลงเอ้อ ทว่าในฐานะองค์หญิง ตั้งแต่เด็กๆก็ชินกับการยกย่อง เอาใจ และประจบสอพลอของผู้อื่น
จู่ๆก็มีคนที่ไม่เพียงแต่จะหักล้างท่าน แถมยังกล้าลงมือต่อท่านนั้นเข้ามาในชีวิต ซึ่งสิ่งนี้มันเกินความเข้าใจของท่านในก่อนหน้านี้ไปอย่างมาก แม้จะโกรธ แต่กลับทำให้ท่านรู้สึกน่าสนใจ
หากมีคนอื่นมาอีกหนึ่งคน ก็ทุบตีท่าน ดูถูกรังเกียจท่าน บางทีท่านก็อาจรู้สึกว่าคนคนนั้นก็แตกต่างจากคนอื่นออกไป
ดังนั้นท่านควรคิดให้ดี ตัวเองคิดอย่างไรกับหลงเอ้อกันแน่ อีกอย่างการชอบคนคนหนึ่งไม่ใช่การดันทุรัง ดึงไว้แน่ไม่ปล่อย แต่เป็นการทำให้สมหวัง
ชอบในสิ่งที่เขาชอบ รักในสิ่งที่เขารัก หากเขาชอบคนอื่นจริง ท่านก็ต้องพยายามยอมรับและให้เขาได้สมหวัง ไม่ใช่ทุกการชอบก็ต้องอยู่ด้วยกัน” หยุนถิงอธิบายอย่างมีความอดทน
เป่ยจิงจิงทำหน้างุนงง “ข้าเหมือนจะเข้าใจแล้ว แต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ ข้าต้องจัดการความคิดสักหน่อยแล้ว” หลังจากพูดจบก็เดินตรงไปที่หน้าประตู
หลงเอ้อที่ซ่อนตัวเอาไว้เห็นเป่ยจิงจิงไปแล้ว ก็รีบบินออกมาทันที “ซื่อจื่อเฟย ท่านนี่เก่งยิ่งนัก คำพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้นางกลับไปแล้ว”
หยุนถิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ต้องให้นางคิดให้ชัดเจนถึงจะได้”
“ข้าช่างซวยยิ่งนัก ถึงได้ถูกองค์หญิงแสนซนเช่นนี้ชอบได้” หลงเอ้อบ่น
หยุนถิงมองเขา “จริง ๆ แล้วหลงเอ้อ แม้ว่าเป่ยจิงจิงจะโอหังและหยิ่ง แต่หลายปีมานี้นางก็ไม่เคยเปลี่ยนใจกับเจ้าเลย เห็นได้ว่านางเป็นคนที่มีความรู้สึกที่ยาวนานและลึกซึ้ง นางยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อเจ้า เจ้าก็สามารถให้โอกาสนางลองดูหน่อยก็ได้?”
“ซื่อจื่อเฟยท่านปล่อยข้าไปเถอะ อย่าได้ผลักข้าลงไปในขุมนรกเลย” หลงเอ้อทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“ได้ เรื่องความสัมพันธ์มันขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง” หยุนถิงไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป
ทางนี่ หลังเฉินอ๋องโม่ฉือชิงกลับไป ยิ่งคิดก็ยิ่งคิดไม่ออก จึงรีบเรียกพ่อบ้านมา
“พ่อบ้าน เจ้าว่าทำอย่างไรข้าถึงจะชนะใจของโม่หลานได้ ให้นังหนูนั้นชอบข้า?”
พ่อบ้านตกตะลึงและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ท่านอ๋อง ข้าว่ามันน่าเป็นห่วงนัก ช่วงสองปีนี้มาอะไรที่ควรส่งไม่ควรส่งท่านก็ได้ส่งไปในจวนแม่ทัพหมดแล้ว แต่คุณหนูโม่ก็ไม่ได้มีความคิดในด้านนั้นกับท่าน มิสู้ท่านเปลี่ยนไปรักคนอื่นเถอะ ทำไมต้องปักใจไม่รักใครใหม่ด้วย!”
“เจ้าจะไปรู้อะไร ข้านะชอบนังหนูนั่น” โม่ฉือชิงจ้องมองด้วยโกรธ
“เอาล่ะ เอาล่ะ บ่าวพูดผิดไปเอง หากท่านอ๋องตัดสินใจว่าจะเอาเพียงคุณหนูโม่คนเดียว เช่นนั้นบ่าวว่าท่านสามารถไปเยี่ยมเยือนแม่ทัพเฒ่าโม่หน่อยได้ เขาเป็นพ่อของคุณหนูโม่ ว่ากันว่าการแต่งงานควรเป็นไปตามคำสั่งของพ่อแม่และการชักนำของแม่สื่อ” พ่อบ้านวิเคราะห์
“จริงด้วย ทำไมข้าถึงนึกไม่ได้ รีบไปเตรียมเหล้าหนู่เอ๋อร์หงอย่างดีมาให้ข้าสักสองสามไห แม่ทัพเฒ่าโม่ชอบดื่มสุราที่สุดแล้ว” โม่ฉือชิงพูดอย่างได้ใจ
“ขอรับ!”
จวนแม่ทัพ
แม่ทัพเฒ่าโม่ได้ยินว่าเฉินอ๋องมา ก็รีบลุกขึ้นและมาต้อนรับทันที “กระหม่อมคำนับเฉินอ๋อง มิทราบว่าท่านอ๋องทรงเสด็จมามีเรื่องใด?”
“ข้าไม่ได้เจอแม่ทัพเฒ่าโม่เป็นเวลานาน คิดถึงยิ่งนัก ดังนั้นวันนี้จึงนำสุราชั้นดีมาโดยเฉพาะ” โม่ฉือชิงให้คนยกเข้ามา
โม่ฉือชิงคิดในใจว่าเข้ามาก็พูดเรื่องโม่หลาน คงไม่เหมาะสม รอเขากับแม่ทัพเฒ่าโม่ดื่มได้พอเหมาะหน่อยแล้วค่อยพูดก็คงจะดีหน่อย
ว่ากันว่าเป็นหนี้บุญคุณเล็กๆ ทำอะไรก็ต้องเกรงใจ ก็เป็นเหตุเช่นนี่แหละ
“เช่นนั้นก็ดีนะสิ เช่นนั้นกระหม่อมก็ขอบคุณเฉินอ๋องก่อนแล้ว!” แม่ทัพเฒ่าโม่พูดอย่างไม่เกรงใจ
“เกรงใจเกินไปแล้ว”
พ่อบ้านนำชามขนาดใหญ่สองชามมา และยังให้พ่อครัวทำอาหารที่เหมาะเป็นกับแกล้มเหล้ามาโดยเฉพาะ จากนั้นโม่ฉือชิงก็เริ่มดื่มกับแม่ทัพเฒ่าโม่ทันที
พ่อบ้านเหลือบมองเฉินอ๋อง คิดไปคิดมาก็ให้คนรับใช้ไปแจ้งคุณหนูใหญ่ที่ค่ายทหาร
ส่วนโม่หลานในค่ายทหาร เมื่อได้ยินว่าโม่ฉือชิงมาดื่มสุรากับพ่อตัวเอง ก็ตกตะลึงในทันที
“ไอ้โง่นี่ไม่รู้หรือไงว่าพ่อข้าดื่มพันถ้วยก็ไม่เมา!” โม่หลานแบะปาก นางก็ไม่มีเวลามาสนเรื่องฝึกซ้อมแล้ว รีบกลับไปทันทีเลย
ทว่าทันทีที่นางพึ่งเข้าประตูบ้าน ก็เห็นในลานนั้น พ่อของตัวเองกำลังอุ้มไหไว้แล้วดื่ม แต่เฉินอ๋องโม่ฉือชิงกลับมุดเข้าไปในใต้โต๊ะแล้ว หน้าแดงราวกับกุ้งนึ่ง กอดเก้าอี้หินไว้แล้วพึมพำอยู่คนเดียว เหมือนคนโง่ชัดๆเลย
เมื่อแม่ทัพเฒ่าโม่เห็นลูกสาวตัวเองมา ก็พูดทันทีว่า “โม่หลานเจ้ามาได้ทันเวลาพอดีเลย มา มาชิมดู สุราที่เฉินอ๋องเอามาไม่เลวนัก”
“พ่อ มีคนเช่นท่านด้วยหรือ ดื่มสุราดื่มจนคนมุดเข้าใต้โต๊ะไปเลย ยังไงเขาก็เป็นถึงท่านอ๋องนะ” โม่หลานเดินเข้ามาและพูด
“เจ้าไม่ชอบเขาท่านอ๋องผู้นี้ไม่ใช่หรือ ความจุระดับสุราเช่นนี้แล้วยังอยากให้ข้าดื่มจนเมา แต่กลับถูกข้าทำให้เมาแทน พ่อเก่งมาใช่หรือไม่” แม่ทัพเฒ่าโม่กล่าวอย่างได้ใจ
โม่หลานกลอกตาใส่เขา และยื่นมือไปดึงเฉินอ๋องที่อยู่ใต้โต๊ะ “โม่ฉือชิงลุกขึ้น จะนอนก็กลับไปนอนที่จวนเฉินอ๋องของท่านซะ”
โม่ฉือชิงที่เมาได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เงยหน้าขึ้นก็เห็นโม่หลาน และยิ้มให้นาง “โม่หลาน ข้ารู้ว่าเจ้าต้องกลับมา” จากนั้นก็ยืนขึ้นอย่างโงนเงนในขณะที่พูด
เพียงแต่ว่าเขาดื่มเยอะเกินไป คนทั้งคนไม่สามารถยืนมั่นคงได้ กอดโม่หลานและคว่ำนางลง
เพราะเขาสูงกว่าโม่หลานไปต่างเยอะ และตอนนี้ก็เมามาก โม่หลานก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะกระโจนเข้ามาอย่างกะทันหัน ไม่ทันได้เตรียมตัวเลย ชั่วครู่หนึ่งก็ถูกโม่ฉือชิงทับไว้ด้านล่าง บังเอิญยิ่งนัก ในขณะที่ล้มลมโม่ฉือชิงก็จูบกับริมฝีปากที่บางของโม่หลานพอดี?