จอมมารแค่อยากเป็นคนดี [反派少爷只想过佛系生活] - บทที่ 5 ดาร์ก เดม่อนพยายามเป็นนักเรียนอีกครั้ง
บทที่ 5 ดาร์ก เดม่อนพยายามเป็นนักเรียนอีกครั้ง
“หลังจากที่พวกเธอกลับไปแล้ว อย่าลืมใช้การ์ดคัดสรรตรวจสอบกฎเกณฑ์ข้อบังคับของสถาบันด้วยล่ะ สุดท้ายนี้ ฉันขอให้นักเรียนใหม่ค้นพบคุณค่าของตนเองในสถาบันเซนต์แมเรียนในอีกหกปีข้างหน้า!”
งานเลี้ยงเปิดภาคเรียนจบลงด้วยเสียงโห่ร้องยินดีของนักเรียน
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ไม่ได้บอกใบ้ตามพล็อตเหมือนที่อาจารย์ใหญ่ในภาพยนตร์โรงเรียนเวทมนตร์คนนั้นทำ
เรื่องนี้ทำให้ดาร์กสับสนเล็กน้อย
ทว่าเมื่อเขาคิดเกี่ยวกับมันอย่างถี่ถ้วน แม้ว่าจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น ตัวเอกก็จะจัดการเรื่องนี้ให้กับทุกคนอยู่ดี และมันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาที่อยู่ในฐานะตัวร้าย
ฉันควรดูแลตัวเองดีกว่า!
สถาบันเซนต์แมเรียนเป็นโรงเรียนประจำ นอกจากวันหยุดประจำปี จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกจากสถาบัน
เมื่อประตูใหญ่ของสถาบันปิดลง เงิน อำนาจ และเส้นสายทั้งหมดจะถูกตัดขาด
ความรู้ ความสามารถ และผลงานเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการจัดอันดับ
แม้จะเป็นบุตรชายของดัชเชส แต่ถ้ามีผลการเรียนย่ำแย่ เขาก็ยังรั้งท้ายชาวบ้านอยู่ดี
ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่สามารถเข้าสู่สถาบันเซนต์แมเรียนได้อนาคตย่อมเป็นจอมเวทที่ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของชนชั้นสูง
ดาร์กรู้ว่าชื่อเสียงของเขาไม่ได้ดีนัก ดังนั้นนักเรียนของบ้านขุนนางต้องการใกล้ชิดกับเขาก็เพียงเพราะเขาเป็นขุนนางเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น
แต่นั่นก็สอดคล้องกับความคิดที่จะลดการเข้าสังคมลง เขาก็จะสามารถฝึกฝนตัวเองในขณะที่ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และต้องศึกษาเกี่ยวกับองค์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อหาวิธีกำจัดสายเลือดจอมมารให้หมดก่อนที่มันจะตื่นเต็มที่!
นอกเหนือจากสถาบันโฮลี มิสเทอรีแล้ว สถาบันเซนต์แมเรียนก็เป็นสถานที่ที่มีมรดกตกทอดและตำราเยอะที่สุดในอาณาจักร หากไม่มีวิธีกำจัดเลือดของจอมมารก็แสดงว่าเกมนี้จบสิ้นแล้ว
…
พวกเขาเดินตามนักเรียนรุ่นพี่ออกจากห้องโถงใหญ่ ขึ้นบันไดหินอ่อน ข้ามทางเดินที่คดเคี้ยวซึ่งเต็มไปด้วยรูปคน และข้ามสะพานที่ยื่นสูง ในที่สุดนักเรียนใหม่ของบ้านขุนนางก็มาถึงหอคอยที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของสถาบัน มันคืออาคารหอพักของบ้านขุนนาง!
สถาบันเซนต์แมเรียนมีหอคอยอยู่สี่แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งมีเก้าชั้น และยังไม่นับรวมห้องใต้ดิน
ชั้นแรกเป็นห้องส่วนกลาง
ตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไปมีหอพักสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งถึงชั้นปีที่หกตามลำดับ
ชั้นแปดเป็นห้องซ้อมต่อสู้ และชั้นที่เก้าเป็นหอดูดาว!
ผู้พิทักษ์ของบ้านขุนนางเหมือนสิ่งมีชีวิตในตำนานซึ่งถูกเรียกว่า ‘อสรพิษขนนก’!
อสรพิษตนนี้มีปีกสีสันสดใส ทั้งฉลาด อ่อนโยน และสง่างาม
ผู้ใดก็ไม่สามารถโกหกมันได้ เพราะดวงตาที่มองทะลุความเท็จ และเห็นความจริง จึงถูกขนานนามว่าเป็น ‘ผู้เผยสัจจะ’!
หอพักของบ้านขุนนางจึงเป็นหอคอยแห่งเดียวในสี่บ้านซึ่งสามารถผ่านเข้าไปได้โดยไม่ต้องใช้ ‘กุญแจ’ เช่น ข้อมูลประจำตัวและรหัสผ่าน ก็เนื่องจากการมีอยู่ของสัตว์ผู้พิทักษ์นี้
ตราบใดที่มีคนเดินผ่านหน้าอสรพิษขนนก มันก็จะรู้ทันทีว่าคนผู้นั้นเป็นนักเรียนของบ้านขุนนางหรือไม่
ดาร์กมองไดแอนนาที่เข้าไปในหอคอยอย่างเร่งรีบ ส่วนเขาก็เดินตามเธอไป
พอถึงตาที่ดาร์กต้องเดินผ่านหน้าอสรพิษขนนกซึ่งติดอยู่กับหน้าประตู มันก็เปิดรูม่านตาซึ่งมีพลังงานส่องสว่างขึ้นมา นี่ไม่เหมือนกับอสรพิษยักษ์ที่ไร้ชีวิตเลย!
เขาทำตัวนิ่งเงียบ
ทว่าแสงสีขาวที่ส่องออกมาจากดวงตาของอสรพิษขนนกเพียงแค่กวาดไปทั่วร่างกายของเด็กชายเพียงครั้งเดียวแล้วกลับมาบรรจบกัน
จากนั้นอสรพิษขนนกก็หลับตาลงและไม่ส่งเสียงอีก
ดาร์กรีบก้าวเท้าเดินเข้าไปในหอคอยก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“…นึกว่าสายเลือดจอมมารจะถูกจับได้ซะแล้ว!”
ตอนแรกที่ดาร์กเห็นว่าการตื่นขึ้นของสายเลือดจอมมารมีบางอย่างที่เหมือนกับแถบความคืบหน้า เขาก็คิดว่ามันคงมีช่องว่างให้พอฉกฉวยอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้ แม้ว่าจะปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ เขาก็ไม่สามารถหนีเนตรแห่งสัจจะของอสรพิษขนนกตัวนี้ได้!
“นี่เป็นความยากระดับตำนานหรือเปล่าเนี่ย?”
…
“ดาร์ก นายอยู่ห้องหมายเลขอะไรเหรอ?”
ไดแอนนาคว้าการ์ดคัดสรรแล้ววิ่งมาหาอีกครั้ง
ดาร์กเหลือบมองที่ประตูด้วยความหวาดกลัวและชักนำพลังเวทมนตร์เข้าไปในการ์ดคัดสรร
ลาย ‘มงกุฎ’ ที่ด้านหน้าของการ์ดคัดสรรจางหายไป เผยให้เห็นสิ่งที่เขาต้องการรู้
“หมายเลข 201”
“ฮะ? ไดแอนนาอยู่ตั้งห้องหมายเลข 233 ห่างกันมากเลยนะเนี่ย!”
“แต่ทุกคนก็อยู่ตึกเดียวกันไม่ใช่เหรอ?”
หลังจากพูดคุยสบาย ๆ ไม่กี่คำ ดาร์กก็เดินไปที่ชั้นสองอย่างรวดเร็วแล้วมองหาห้องที่อยู่แรก ๆ ของชั้นสอง
เขาไม่ได้ผ่อนคลายจนกระทั่งเข้าไปในห้องและลงกลอนประตูเสร็จสรรพ จากนั้นดาร์กก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
‘ต่อให้เอาสองชั่วชีวิตมารวมกัน ฉันก็ไม่เคยเครียดขนาดนี้มาก่อนเลย’
หอพักเป็นห้องพักเดี่ยว ไม่เพียงมีเตียงขนาดใหญ่ที่นุ่มน่านอน แต่ยังมีห้องน้ำแยกต่างหากอีกด้วย
ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันก็ใหม่เอี่ยม และชุดตำราเรียนปีแรกก็วางอยู่บนเตียงแล้ว
ในที่สุดดาร์กก็จัดเตียงเสร็จ เขาถึงกับหมดเรี่ยวแรง
“พรุ่งนี้ค่อยคิดละกัน”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ดาร์กลืมตาขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน เห็นนาฬิกาทองแดงที่แขวนอยู่บนผนังตรงข้ามหัวเตียง เข็มชั่วโมงเพิ่งชี้ไปที่เลขหก
“หกโมงเช้าแล้ว? ดูเหมือนว่าคาบเรียนจะเริ่มตอนแปดโมง… งั้นฉันขอนอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
[เกียจคร้าน +1]
ระบบแสนโหดร้ายพุ่งผ่านสายตาของเขาไปในทันใด
ดาร์กตกตะลึงและความง่วงนอนของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง!
“ฟู่ว… อึก…”
ค่า [โทสะ] ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาหนึ่งหน่วย ดาร์กเช็ดเหงื่อของเขา
ตอนนี้ค่าชี้วัดที่มีช่องว่างให้พลาดน้อยที่สุดคือ [อัตตา] และ [โทสะ] ในขณะที่ [ริษยา] และ [ตะกละ] ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่นัก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ดาร์กเปลี่ยนเป็นชุดนักเรียนและตรงไปยังห้องนั่งเล่นส่วนกลางที่ชั้นหนึ่ง
ชุดนักเรียนของบ้านขุนนางเป็นสีดำขอบสีทอง มีมงกุฎเล็ก ๆ ประดับอยู่บนหน้าอก ทางสถาบันยังมอบกระเป๋าที่สามารถใส่การ์ดเวทมนตร์ได้ถึงยี่สิบเอ็ดใบให้กับนักเรียนทุกคน
ห้องส่วนกลางในเวลานี้เงียบมาก และดวงไฟเวทมนตร์ซึ่งลอยอยู่บนผนังจะสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อมีคนมา
พอหายง่วงอีกครั้ง ดาร์กก็หาที่นั่งลงด้วยท่าทางเศร้า ๆ แล้วหยิบตำราเรียนออกจากกระเป๋าสะพายทีละเล่ม
เพื่อที่จะกำจัดเลือดของจอมมาร นอกเหนือไปจากการค้นหาวิธีการที่ถูกต้องแล้ว ความรู้และความสามารถที่จำเป็นก็มีความสำคัญมากเช่นกัน
ลองนึกภาพว่ามันจะสิ้นหวังขนาดไหนถ้ามีตำราเวทมนตร์ที่บันทึกวิธีการกำจัดอย่างถูกต้องวางไว้ตรงหน้าเขา แต่เขากลับไม่เข้าใจมันเลย?
“สิ่งที่ตรงกันข้ามกับ [เกียจคร้าน] คือ [ความเพียร]”
ดาร์กหยิบตำราที่จำเป็นสำหรับคาบเรียนแรกของวันนี้ ‘คู่มือการอัญเชิญเบื้องต้น’ ออกมาจากกองหนังสือจำนวนมาก!
[การอัญเชิญ] คือวิธีปลุกพลังของการ์ดเวทมนตร์ ซึ่งถือว่าเป็นคาถาพื้นฐานที่จอมเวททุกคนต้องเชี่ยวชาญ!
คาบวิชาอัญเชิญถูกจัดเป็นคาบแรกของวันจันทร์เพื่อสอนให้นักเรียนใหม่รู้ถึงวิธีการอัญเชิญ ‘วิญญาณรับใช้’ จากการ์ดคัดสรร!
ภายใต้แสงสลัวรางเลือน ดาร์กเปิดตำราและเริ่มดูเนื้อหาของวิชาในห้องนั่งเล่นซึ่งปราศจากผู้คน
…
หลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาก็ค่อย ๆ เข้าสู่สมาธิ
ด้วยชีวิตก่อนหน้าที่ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ดาร์กจึงมีทักษะการตีความและทำความเข้าใจอยู่มาก
หากให้เทียบกับบรรดาจอมเวทในวัยเดียวกัน เขาคิดว่าไม่น่าจะมีใครที่มีทักษะความเข้าใจแข็งแกร่งกว่าเขา
“บางทีการเป็นนักเรียนอีกรอบก็ไม่เลวนะ?”
[อัตตา +1]
“…”
ดาร์กกลับมาได้สติทันที และเขาไม่แม้แต่จะสาปแช่ง
…
หากใครสามารถเข้าสู่สภาวะแห่งการเรียนรู้ได้ มันคงจะเป็นความรู้สึกที่ดีมาก
เพราะสามารถสัมผัสได้เลยว่าพวกเขากำลังพัฒนาอยู่จริง ๆ
ความกระหายใคร่รู้ของมนุษยชาตินั้นมีมาแต่กำเนิด มีเพียงการแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง การสำรวจสิ่งที่ไม่รู้ และการไขปริศนาเท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถเปลี่ยนโลกก้าวข้ามไปสู่ยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ได้
หลังจากเรียนหนักมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
[โลภะ +1]
“บ้าเอ๊ย!”
[โทสะ +1]