จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 129
จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 129
แก่นปีศาจนับพันกักเก็บพลังงานเอาไว้มหาศาล
หลังถูกดูดซับไปโดยฉินเทียนที่อยู่ในร่างปีศาจสวรรค์ พลังทําลายล้างของทักษะเงาโลหิตก็เพิ่มขึ้นทวีคูณ
หวังซีขมวดคิ้วมุ่น
เขาย่อมคาดไม่ถึงว่าฉินเทียนจะยังมีไม้เด็ดเก็บซ่อนไว้อีก ทั้งยังเป็นทักษะปีศาจที่มีพลังทําลายสุดสยอง จากความเข้าใจของเขา ทักษะเงาโลหิตเป็นทักษะชั้นสูงของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่สูญหายไปในประวัติศาสตร์ ส่วนเรื่องที่ฉินเทียนไปได้มันมาจากไหนนั้น ตอนนี้ไม่สําคัญอีกต่อไปแล้ว
เวลานี้มีเงาโลหิตกว่าหนึ่งหมื่นร่างอยู่ภายในตัวของเขา หวังซีรีบรวบรวมพลังสวรรค์เข้าสะกด ขอเพียงเขาป้องกันเอาไว้ได้ เขาก็ยังมีโอกาสที่จะรอด
ปราณเพลิงสีเขียวอมดําที่อยู่โดยรอบพลันถูกสูบเข้าร่างของหวังซี
“บึ้ม บึ้ม บึ้ม…”
ภายในร่างของเขายังคงเกิดการระเบิดอย่างต่อเนื่อง
ทุกคราที่เกิดการระเบิด ซีดหน้าของหวังซียิ่งมาก็ยิ่งย่ําแย่ สายจ้องมองฉินเทียนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ไฟโทสะคุกรุ่นอยู่ในใจ แต่ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ก็ทําได้เพียงถลึงตามองเท่านั้น เขาไม่มีเวลาไปลงมือต่อฉินเทียน หวังซีทําได้เพียงกัดฟันหันเหความสนใจเข้าสู่ร่าง ไม่กล้าวอกแวกใดๆ
อํานาจทําลายล้างของเงาโลหิตสูงจนน่ากลัว
การระเบิดจํานวนหลายร้อยครั้งของเงาโลหิตก็ทําให้อวัยวะภายในของเขาเจ็บช้ําอย่างหนักแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีพลังสวรรค์อยู่ ร่างกายของหวังซีคงระเบิดเป็นจุลไปแล้ว
ขนาดการระเบิดเพียงไม่กี่ร้อยร่างยังเป็นถึงขนาดนี้ แล้วอีกเก้าพันกว่าร่างที่เหลือเล่า? ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงสมองของหวังซี เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะสามารถยืนหยัดได้จนฝนร้ายนี้สิ้นสุดลง?
ในสนามประลองถูกปกคลุมไปด้วยปราณเพลิงสีม่วง ทําให้ผู้คนที่อยู่ด้านนอกมองไม่เห็นสิ่งใด
มองดูหวังซีที่กําลังดิ้นรนอย่างน่าสังเวช ฉินเทียนก็เผยยิ้มเย็น “ทั้งอึดอัดและเจ็บปวดใช่หรือไม่?”
“วางใจเถอะ อีกไม่นานก็จบลงแล้ว”
หวดฟาดสุนัขตกน้ํา นี่เป็นสิ่งที่ฉินเทียนเชี่ยวชาญที่สุด
ใบหน้าของหวังซีเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ขณะที่เขากําลังจะคําราม เงาโลหิตก็ระเบิดขึ้นอีกระลอก ทําให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างสุดแสน
“ฮ่าๆ…………………”
“แค่บรรลุขั้นสวรรค์ได้ก็คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่นักเหรอ อวดดีต่อไปสิ น้องสาวมันเถอะ บิดาล่ะ เกลียดนักเจ้าพวกที่ไม่เห็นหัวคนอื่นเนี่ย จงดูว่าบิดาจะฆ่าเจ้ายังไง” กล่าวจบก็กระโดดขึ้นฟ้า ปราณเพลิงสีม่วงที่ด้านหลังพลันก่อตัวเป็นกระบี่ปราณนับไม่ถ้วน กระบี่ปราณทั้งหมดหันเล็งไปทาง หวังซีเกิดเป็นบรรยากาศอันน่าหวาดหวั่นขึ้นมา
” ทักษะระดับอมตะ?”
“นี่เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าเพิ่งเข้าร่วมสํานักเทียนจได้ไม่นาน แล้วเจ้าจะไปเรียนรู้มันได้อย่างไร?”
หวังซีไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง ความหวาดกลัวแผ่ลุกลามไปทั่วร่าง
“หยางฮั่นไม่ได้บอกเจ้างั้นเหรอ?” ฉินเทียนถามหยั่งเชิง หวังตรวจสอบดูว่าหวังซิใช่รับคําสั่งมาจากหยางฮั่นหรือไม่!
หากว่าเขารับคําสั่งมา เช่นนั้นในอนาคตก็ต้องระวังมากยิ่งขึ้นแล้ว
แม้แต่ผู้บ่มเพาะขั้นสวรรค์ยังรับคําสั่งจากเขา นี่เป็นการบ่งบอกว่าหยางฮั่นมีฐานะไม่ต่ําทรามในกลุ่มชิงเทียน
หวังซีใบหน้ากระตุก ” หยางฮั่น ไอ้เดรัจฉาน กล้าหลอกลวงข้า! รอก่อนเถอะ ข้าบิดาออกไปได้ รับรองจะทําให้เจ้าเสียใจที่เกิดมา!”
ใช่จริงๆด้วย!
ฉินเทียนขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกตกตะลึง
หยางฮั่นมีฐานะสูงส่งเพียงนี้เชียว?
ฉินเทียนโบกมือก่อน ค่ายกลเจ็ดสังหารพลันเคลื่อนไหว กระบี่ปราณแต่ละเล่มล้วนแฝงไว้ด้วยพลังของคชสารทําละล้าง ทุกกระบี่ล้วนมีอํานาจทําลายล้างเข้าขั้นน่ากลัว กระบี่ทุกเล่มเชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่
” ค่ายกลเจ็ดสังหาร!”
” ทําลายให้ข้า!”
ฉินเทียนควบคุมค่ายกลเข้าโจมตีหวังซีจากเจ็ดทิศทาง
เห็นกระบุจํานวนไม่ถ้วนพุ่งเข้าหา หวังซีทราบก็ถึงความร้ายกาจของค่ายกลนี้ เขาสบถค่าทอก่อนจะถอนพลังสวรรค์ที่ใช้ป้องกันเงาโลหิตส่วนหนึ่งมาห่อหุ้มเป็นม่านกําบังสีเขียวอมดําอยู่รอบร่าง
หวังซีเพิ่งเหยียบย่างเข้าขั้นสวรรค์ได้เพียงไม่นาน ความชํานาญในการควบคุมบงการ พลังสวรรค์ย่อมไม่อาจเทียบกับหยางซาน หวังซีเพียงเป็นอยู่ในระดับหนึ่งขั้นสวรรค์ ดังนั้น พลังสวรรค์จึงยังบางเบา
เมื่อพลังสวรรค์ถูกถอนออกไปส่วนหนึ่ง การระเบิดของเงาโลหิตก็สามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่าเดิม
สุนัขที่ถูกบีบจนตรอกยังกระโจนข้ามกําแพง แล้วหวังซีที่มีพลังอํานาจมหาศาลเล่า?
หวังซีไม่อาจสะกดอดกลั้นได้อีกต่อไป โทสะพลันเข้าครอบงําสติ เขาถลึงมองฉันเทียนด้วยแววตาที่เปี่ยมจิตสังหาร
ชุดที่หวังซีสวมอยู่พลันระเบิดออก เผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริง
ร่างกายของเขาผอมแห้งราวกิ่งไม้ เนื้อหนังหุ้มติดกระดูกราวกับซากศพเดินได้ซากหนึ่ง
ทั่วร่างของหวังซีผอมแห้งเสียจนมองเห็นกระดูกได้อย่างชัดเจน มีแสงสีดําเริ่มหลั่งไหลออกมานอกร่าง
” พลังแห่งความมืด?!”
ฉินเทียนหัวใจบีบรัด ฉินเทียนเร่งโคจรพลังปราณอย่างบ้าคลั่ง เขาควบคุมค่ายกลให้โจมตีหวังซีอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันฉินเทียนก็ตรวจสอบพลังปราณที่เหลือไปด้วย
สีหน้าของฉินเทียนฉายแววเคร่งเครียด เขาตัดสินใจจะเดิมพันคราหนึ่ง
“เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า!”
ค่าพลังปราณหนึ่งแสนจุดถูกสูบออกไป ปราณเพลิงสีม่วงพุ่งขึ้นทะลุฟ้า เสียงสายฟ้าคําราม ครืนครัน การลงมือของฉินเทียนทําให้ทั่วทั้งเวทีประลองสว่างเจิดจ้า
หวังซีแสยะยิ้มชั่วร้าย ใบหน้าของเขาเหี้ยมเกรียมขณะที่แผดเสียงคํารามออกมา “มิติมืด จงกลืนกินทุกอย่างให้ข้า!… ”
”เป็นพลังความมืดจริงๆด้วย!”
ฉินเทียนตะลึง ฉินเทียนตัดสินใจทุ่มแทงหมดหน้าตัก พลังปราณทั้งหมดพลันถูกใช้ออก “บิดาไม่เชื่อว่าทําทั้งหมดนี้แล้วจะฆ่าเจ้าไม่ได้! ถล่มน้องสาวเจ้า จงตายไปซะ!”
ครืน………………………………
สายฟ้าและเปลวเพลิงโหมกระหน่ําในเวทีประลอง เกิดเป็นพลังทําลายล้างมหาศาลเข้าน้ํานั่นกัน
พลังทําลายล้างกวาดซัดทั่วเวทีประลองอย่างต่อเนื่อง ม่านพลังป้องกันเวทีประลองส่องกระพริบอย่างถี่ยิบ ไม่นานก็เริ่มหม่นแสงลง พลังทําลายล้างภายในสนามประลองบางส่วนเริ่มรั่วไหลออกมาและก่อตัวเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่พัดกรรโชกเข้าใส่อัฒจรรย์ ทั่วทั้งบริเวณเริ่มตกอยู่ในอันตราย……….
ผู้ตัดสินพลันนิ่วหน้าลง
เขายกฝามือทั้งสองก่อนที่บนมือจะปรากฏลําแสงสีขาวขึ้นสองสายบินไปซ่อมแซมม่านพลังส่วนที่เสียหาย
ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าผู้ตัดสินชราจะมีฝีมือลึกล้ําเช่นนี้
เมื่อม่านพลังได้รับการซ่อมแซม ศิษย์หลายคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่สิ่งที่พวกเขากังวลสนใจที่สุดไม่ใช่เรื่องม่านพลังป้องกันได้รับการซ่อมแซม หากแต่เป็นผลลัพธ์ของการต่อสู้ภายในสนามประลอง
ฉินเทียนเอนหลังพิงม่านพลังงานพลางหอบหายใจอย่างหนัก ใบหน้าของเขาซีดขาว ในใจยังรู้สึกกลัวไม่หาย “พลังสวรรค์จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว”
มิติมืดที่สร้างจากพลังสวรรค์ทรงพลังมากเกินไป
โหมดปีศาจสิ้นสุดลง ฉินเทียนกลับร่างเดิม หากไม่ได้เคล็ดมังกรฟ้าคอยปกป้อง ตัวเขาก็คงถูกมิติมืดกลืนกินเข้าไปแล้ว สายตาของเขามองไปยังหวังซี่ที่ห่างออกไปไม่ไกล ฉินเทียนพรูลมหายใจออก จากนั้นจึงสาวเท้าเดินเข้าหาหวังซีด้วยความคิดฆ่าฟันเต็มเปี่ยม
หวังซีในตอนนี้อนาถถึงที่สุด
เขานอนแผ่อยู่บนพื้น ตามผิวหนังมีบาดแผลที่ลึกจนสามารถมองเห็นกระดูกขาวโพลนแทงออกมา เห็นฉินเทียนเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตาของเขาก็เบิกค้าง
“เจ้าไม่อาจฆ่าข้า ไม่อาจ…กลุ่มชิงเทียนจะไม่ปล่อยเจ้าไป ประมุขน้อยจะต้องฆ่าเจ้าแน่…………..”
“ข้าเป็นหนึ่งในสิบสองผู้ดูแล เจ้าฆ่าข้าไม่ได้!”
เห็นฉินเทียนยังไม่หยุดฝีเท้า หวังซีก็รีบกล่าวข่มขู่อย่างลนลาน
” หากไม่ฆ่าเจ้า วันนี้บิดาก็ถือว่ามาเสียเที่ยว”
“หากไม่ฆ่าเจ้า บิดาก็เท่ากับขาดทุนย่อยยับ”
แก่นทั้งห้าภายในร่างหมุนเร็วรี่เพื่อฟื้นฟูพลังปราณที่สูญเสียไป หลังจากได้พักครู่หนึ่ง พลังปราณก็ฟื้นฟูขึ้นมาบางส่วน ฉินเทียนหมุนมือคราหนึ่ง พลังปราณพลันควบแน่นกลายเป็นหอกสีม่วง ฉินเทียนเผยยิ้มเย็นเยียบ หอกในมือเสือกแทงออกไป
หวังซีตกตาย
การเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่!
เห็นข้อความแจ้งเตือนจากระบบแสดงขึ้นไม่หยุด ใบหน้าของฉินเทียนก็ปรากฎรอยยิ้มกว้าง…….