จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 149
จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 149
คลื่นทะเลสาดกระทบฝั่ง ลมหนาวโชยพัดเอื่อยเฉื่อย แม้จะหนาวเหน็บหากแต่ก็ให้ความสดชื่น
แสงสว่างที่ตกกระทบได้สาดส่องทั่วพื้นที่ หินทะเล ปะการัง และสาหร่ายทะเลหลากชนิดหลากสีสันที่ปรากฏขึ้นโดยรอบล้วนแต่ทําให้ผู้คนรู้สึกละลานตา
เมื่อร่างของฉินเทียนจมลงไปในพื้นหอ สายตาของเขาก็มัวแต่จับจ้องไปยังเหล่าโฉมงามที่เบื้องหน้าโดยไม่ได้สนใจสภาพพื้นที่โดยรอบแม้แต่น้อย เมื่อสตรีสูงศักดิ์ส่งเสียงกระแอมมาจากบัลลังก์ ฉินเทียนก็ได้สติและพบว่าเวลานี้ตนเองกําลังอยู่ที่ก้นทะเลแล้ว
เมืองอสูรตั้งอยู่ในพื้นที่ทุรกันดารทางเหนือ พื้นที่ส่วนใหญ่ล้วนปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี ฉินเทียนไม่ทราบว่าตนเองอยู่ตําแหน่งแห่งหนไหน เขาเพียงทราบว่าตนถูกหอสีดําหลังนั้นดูดจมลงไปเป็นไปได้หรือไม่ว่าหอแห่งนั้นจะดึงตนดําดิ่งถึงกันทะเลเลย?
หากว่าหอทมิฬนั้นนําตนลงถึงกันทะเลจริง เช่นนั้นที่นี่ก็คงอยู่ในเขตน่านน้ําทมิฬแล้ว ทว่าน้ําทะเลในน่านน้ําทมิฬเป็นสีดํา ต้องไม่ใสเช่นนี้
ดูเหมือนว่าหอทมิฬจะเป็นโลกมิติซึ่งแยกเป็นเอกเทศ หรือว่าศาลเจ้าใต้ทะเลนี้ก็เป็นโลกมิติด้วย?
ตัวตนสูงส่งอย่างผู้บ่มเพาะขั้นจักรวาลสามารถใช้พลังฟ้าดินมาสร้างมิติเอกเทศ หรือว่าศาลเจ้าใต้ทะเลนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยประมุขแห่งเมืองอสูร?
ฉินเทียนจมอยู่ในภวังค์ความคิด หากแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า
ร่างกายของเขาไม่ได้เปียกชื้นจากน้ําทะเลโดยรอบเพราะผลจากมุกหลีกวารี ฉินเทียนสามารถขยับเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระไม่ต่างจากอยู่บนบก
ฉินเทียนมองาตรีที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก่อนจะเรียกหาอย่างเคารพ “ประมุขเจ้าเมือง”
ไหงื่อเยว่เผยยิ้มบาง ใบหน้าที่งามสง่าของนางยามยิ้มแย้มแทบจะทําให้ทุกคนผู้ลุ่มหลงงมงาย นางโบกมือเบาๆคราหนึ่ง น้ําทะเลจากพื้นที่โดยรอบพลันควบแน่นกลายเป็นเก้าอี้คริสตัลตัวหนึ่งที่ด้านหลังของฉินเทียน นัยน์ตาสีม่วงอ่อนมองมาทางเขาเป็นเชิงเชื้อเชิญ “นั่งเถอะ”
ทุกอริยาบถของนางล้วนงามสง่าหมดจด นี่ทําให้ฉินเทียนนึกไปถึงการวางตัวของฮองเฮาที่อยู่ในรั้วในวัง
เมื่อบรรลุถึงเขตขั้นจักรวาล ทุกการเคลื่อนไหวล้วนส่งผลต่อพลังฟ้าดิน ฉินเทียนไม่กล้าลังเล เขาพลันตัวทรุดลงนั่งทันที
เหล่าสตรีที่งดงามราวเทพธิดาซึ่งยืนอยู่สองฝั่งแถวต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ น้อยคนนักที่ท่านประมุข เจ้าเมืองอสูรจะเชื้อเชิญให้นั่งลง ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็เป็นเพียงผู้บ่มเพาะระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณ ไม่ว่าผู้ใดในหมู่พวกนางก็ล้วนแต่สามารถปลิดปลงเอาชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ เช่นนี้แล้วเขายังมีคุณสมบัติในการนั่งพูดจาอีกหรือ?
ฉินเทียนรู้สึกราวกับตนกําลังนั่งบนอยู่หนามแหลม หากต้องทนรับความกดดันเช่นนี้ไม่สู้ยืนไปเลยจะประเสริฐกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องนั่งบนเก้าอี้ที่เย็นยะเยือกเช่นนี้ ความเย็นสุดขั้นไหลผ่านตามร่างกายเข้าสู่หัวใจ ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทิ้ม ริมฝีปากแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ํา แต่แม่ในใจจะก่นด่าสักเพียงใด ฉินเหี้ยนก็ยังปั้นหน้ายิ้มพลางกล่าวขอบคุณออกไป “ขอบคุณประมุขเจ้าเมือง”
ว่าแต่เก้าอี้คริสตัลตัวนี้ถึงกับสร้างขึ้นได้ในพริบตาเลยหรือ?
เห็นสีหน้าเหยเกของฉินเทียน เหล่าหญิงสาวก็ยกมือปิดปากพลางหัวเราะคิกคัก ตอนนี้พวกนางเข้าใจแล้วว่าท่านประมุขกําลังกลั่นแกล้งคนผู้นี้อยู่
เจ้าเมืองอสูรไหงื่อเยวอดยิ้มออกมาไม่ได้ ว่าข้าเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าพันปีงั้นรี โดนเช่นนี้แหละดีแล้ว
หุหุ….
นับตั้งแต่ที่ฉินเทียนใช้สามทักษะออกพร้อมกัน นางก็ฝั่งเมล็ดวิญญาณไว้ในห้วงจิตของฉินเทียนแล้ว เขาคิดอะไร มีหรือที่นางจะไม่ทราบ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่จู่ๆร่างจําแลงเลิกรากลางคัน
แม่ในใจจะหัวเราะอยู่ แต่นางยังคงปั้นหน้าจริงจัง “ฝึกฝนในหอทมิฬใช่รวดเร็วดีหรือไม่?”
“ขอรับ ขอบคุณสําหรับความเมตตาของประมุขเจ้าเมือง”
ฉินเทียนยังคงสั่นเทา บริแวณก้นเริ่มแข็งจนแทบติดกับเก้าอี้ไปแล้ว เลือดลมภายในร่างเริ่มไหลช้าลง คนคล้ายเพิ่งออกไปตากกลางพายุหิมะ ฉินเทียนได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจ ท่านย่าเอ่ย ตอนนี้ให้ข้าลุกขึ้นได้หรือยัง?
“ยัง!”
จู่ๆก็มีเสียงตอบกลับมาในห้วงความคิดของฉินเทียน เป็นเสียงของเจ้าเมืองอสูร ฉินเทียนตกตะลึงพึงเพลิด ในใจเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว
นางล่วงรู้ความคิดของข้าได้ยังไงกัน?
ยอดฝีมือขั้นจักรวาลไม่เพียงแต่สามารถควบคุมฟ้าดิน แต่ยังสามารถอ่านใจคนได้ด้วย?
“ประมุขเจ้าเมือง ท่าน….”ฉินเทียนจ้องมองไห่ซื้อเยว่ด้วยความตกตะลึง
“อุ” ใบหน้าของนางขึ้นเล็กน้อย นางตกใจจนเผลอกัดลิ้น ในใจได้แต่ร่ําร้องว่าความแตกแล้ว!!
ใบหน้าที่ขึ้นสีของนางทําให้นางดูเยาว์วัยและซุกซน ทําให้ผู้คนอยากจะจินตนาการได้ว่าผู้บ่มเพาะขั้นจักรวาลเช่นนี้จะมีรอยยิ้มซุกซนเช่นนี้
ไม่ใช่ว่าผู้บ่มเพาะขั้นจักรวาลล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ฝึกฝนเป็นพันๆปีหรอกเหรอ?
สรุปแล้วนางใช่ประมุขแห่งเมืองอสูรจริงๆเหรอ?
“แค่กๆ…..” ไหงื่อเยว่กระแอมเบาๆสองสามคราก่อนที่สีหน้าจะกลับไปเคร่งขรึมเหมือนเดิม นางมองฉินเทียนอย่างเย็นชา นัยน์ตาสีม่วงอ่อนมีประกายแสงปรากฏขึ้นวูบ นางเอ่ยปากออกไปอย่างสง่างาม “เจ้าว่ายังน่านน้ําทมิฬเพราะต้องการเพลิงทะเลลี้ลับ? เจ้าเข้าใจหรือว่าเพลิงทะเลล์ลับคืออะไร?”
ได้ยินคํากล่าวของไหจื่อเยว่ ใบหน้าของเหล่าหญิงสาวโดยรอบก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกนางขมวดคิ้วพลาง เผยสีหน้าอาฆาตแค้นออกมา หากไม่ใช่เพราะที่ตรงนี้มีประมุขเจ้าเมืองนั่งดูอยู่พวกนางคงคลุ้มคลั่งไปแล้ว
มีความแค้น?” ฉินเทียนสัมผัสได้ถึงความเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดแจ้งยามเมื่อไหงื่อเยว่เอ่ยถึงเพลิงทะเลลี้ลับ เป็นไปได้หรือไม่ว่าทางสํานักเทียนจตกหล่นข้อมูลใดไป?
อ้างอิงจากรายละเอียดของภารกิจแล้ว เพลิงทะเลลี้ลับก็คือเพลิงอันเป็นหัวใจสําคัญของน่านน้ําทมิฬ มันเป็นเพลงที่สามารถแผดเผาทุกสิ่งในโลก
หรือมันยังมีคุณสมบัติอื่น?
ตัดสินจากสีหน้าท่าทางของพวกนางแล้ว ดูเหมือนว่าเพลิงทะเลล์ลับนี้จะมีความสําคัญต่อพวกนางอย่างมาก รวมถึงยังมีความสําคัญต่อประมุขแห่งเมืองอสูรด้วย เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
“อันที่จริงแล้วพวกข้าเป็นชนเผ่าหนึ่งในน่านน้ําแห่งนี้”
เสียงของไหงื่อเยวที่จู่ๆก็ดังขึ้นในห้วงความคิดทําให้ฉินเทียนพลันสะดุ้งตกใจ
ชัดเจนแล้ว นางสามารถอ่านใจข้าได้จริงๆ ฉินเทียนทอดถอนอยู่ในใจ กระนั้นปากก็ยังกล่าวออกไปว่า “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อตามหาเพลิงทะเลล์ลับซึ่งความเข้าใจที่มีต่อมันก็น้อยยิ่ง ขอประมุขเจ้าเมืองโปรดชี้แนะ”
ไหงื่อเย่วจมลงในห้วงความคิด แววตาของนางเหม่อลอย หากแต่ยังแฝงไว้ด้วยความเกลียดชังอย่างลึกล้ํา ครู่ต่อมานางก็ถอนใจยาวก่อนจะลุกขึ้นเดินลงมาจากบัลลังก์ ใบหน้าอันงามงดพลันปรากฏแววโศกเศร้า ทําให้ผู้ ที่ชมดูต้องรู้สึกปวดใจ
นางเดินวนอยู่หลายก้าวก่อนจะหยุดมองฉินเทียน คิ้วที่ขมวดของนางค่อยๆคลายตัวลง “เพลิงทะเลล์ลับนั้น ก็คือเพลิงวิเศษของชนเผ่าข้า มันเป็นเพลงที่มาจากส่วนที่ลึกที่สุดของน่านน้ําทมิฬ มันบรรจุไว้ด้วยพลังที่มิ อาจจินตนาการได้ เป็นพลังที่สามารถแผดเผาฟ้าดิน ที่โลกภายนอกเล่าลือกันว่ามันเป็นเพลิงแก่นพิภพ ซึ่ง ความจริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น มีเพียงแต่ชนเผ่าของข้าเท่านั้นที่ทราบจุดกําเนิดที่แท้จริงของมัน มันคือแดนศักดิ์ สิทธิ์”
“แดนศักดิ์สิทธิ์?!”
“โลกที่เต็มไปด้วยเหล่าทวยเทพน่ะหรือ?”
ในใจฉินเทียนบังเกิดระลอกคลื่น เคล็ดมังกรฟ้าภายในร่างพลันสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
“แดนศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนของเหล่าเทพ เป็นดินแดนที่เหล่าเซียนจะเผชิญกับอุปสรรคจากเจตจํานงแห่งสวรรค์ ล้มเหลวหมายถึงดับสูญ หากสําเร็จก็จะบรรลุมรรคากลายเป็นเซียนเพลิงวิเศษก็มาจากที่นั่นเอง เมื่อหลายหมื่นปีก่อน เผ่าพันธุ์ปีศาจโบราณได้พ่ายแพ้ในสงคราม จ้าวแห่งปีศาจที่อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ใช้พลังเซียนของตนส่งเพลิงที่น่าหวาดกลัวที่สุดมายังทวีปเทียนหยวน ในตอนนั้นน่านน้ําทมิฬยังคงเป็นป่าทมิฬ เพลิงวิเศษจุติลงมาบนโลก มันค่อยๆทรงอํานาจขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็แผดเผาแผ่นดินจนหลอมละลาย ทุกแห่งหนกลายเป็นทะเลเพลิง”
“ในเวลานั้นเอง ชนเผ่าหมิงไห่ก็ถือกําเนิดขึ้น บรรพบุรุษของเราเองก็เป็นเซียน ท่านได้ชักนําเอาวารีสีดํา น้ําแข็งและน้ําทะเลมามันสะกดเพลิงวิเศษไว้ และนั่นก็ทําให้ทุ่งราบทางเหนือแปรเปลี่ยนเป็นมหาสมุทร”
“แม้ว่าเพลิงลี้ลับนี้จะถูกสะกดเอาไว้ แต่มันก็ไม่เคยมอดดับ มันถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดในชนเผ่าหมิงไห่ ชนเผ่าหมิงไห่ได้พิทักษ์เพลิงนี้ไว้หลายชั่วอายุคนจนกระทั่งมาเกิดเรื่องเมื่อสามพันปีก่อน”
เล่ามาถึงตรงนี้ แววตาของไหงื่อเยว่ก็เปลี่ยนไป ความอาฆาตแค้นล้วนแสดงออกมาอย่างเด่นชัด
ท่ามกลางความแค้นนั้นยังเผยความคิดฆ่าฟันอย่างลึกล้ํา
ฉินเทียนสยิวกายด้วยความขนลุก
“คนผู้นั้นเป็นอัจฉริยะของชนเผ่าหมิงไห่เรา ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดของชนเผ่า กระนั้นเขากลับเกิดความทะเยอทะยานขึ้นมา เขาไม่สนใจผู้คนที่ต่างก็เอ่ยคัดค้าน คนผู้นั้นดําดิ่งลงสู่ใจกลางโลกและใช้อํานาจของเพลิงลี้ลับหลอมกลั่นร่างกาย….”
“หลังจากนั้นสามปีเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ยามเมื่อพวกเราคิดว่าเขาตายไปแล้ว เขาก็กลับมาพร้อมกับเพลิงลี้ลับบางส่วน ในตอนนั้นความสําเร็จของเขาอยู่ในระดับสูงสุดขั้นจักรวาลแล้ว ร่างกายของเขาถึงกับแข็งแกร่งกว่าผู้ที่อยู่ในขั้นไร้มลทินเสียอีก เป็นความแข็งแกร่งที่อยู่เหนือจินตนาการ…”
“การกลับมาของเขาได้ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมในชนเผ่าหมิงไห่ ท่านประมุข เหล่าผู้อาวุโสสูงสุด และยอดฝีมือของชนเผ่าล้วนแต่ตกตายด้วยมือของเขา ความแข็งแกร่งที่เขาครอบครองล้วนได้รับมาจากเพลิงลี้ลับนั้น ร่างกายของเขาบรรลุถึงขั้นคงกระพันเนื่องเพราะเขาได้กลืนกินเพลิงลี้ลับบางส่วนเข้าไป”
“เขาเข้าปกครองชนเผ่าหมิงไห่ ผู้ที่มีความเห็นแย้งล้วนแล้วแต่ถูกเนรเทศ และพวกข้าก็คือหนึ่งในนั้น”
ไหงื่อเยว่กวาดมองเหล่าสตรีที่อยู่โดยรอบก่อนจะถอนหายใจ ไม่ทราบในใจรู้สึกรวดร้าวเพียงใด
ครูต่อมานางก็หันมามองฉินเทียนพร้อมด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ นางเดินมาหาฉินเทียนก่อนจะวางฝ่ามืออันนวลเนียนลงบนไหล่ของเขา ใบหน้ายื่นนางยื่นเข้ามาใกล้หูของเขาก่อนจะกล่าวอย่างนุ่มนวล “ข้ามีบางอย่างอยากให้เจ้าช่วย…..”
“ตั้ง!”
เสียงจากระบบพลันดังขึ้นแจ้งเตือน
ฉินเทียนเบิกตากว้างก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นซีดเผือด….